11 ส.ค. 2568 | 19:21 น.
KEY
POINTS
เสียงเพลงปลุกใจรักชาติของ ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ ยังคงก้องกังวานในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเพลง “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” ที่เด็กนักเรียนยังร้องกันตามโรงเรียนทั่วประเทศ หรือเพลง ‘เพลงกรุงธน’ จากละครเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ยังคงถูกนำมาใช้ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ อีกทั้งเพลงอย่าง ‘เลือดไทย’ ก็สะท้อนความรักชาติและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย เพลงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างและหล่อหลอมจิตสำนึกรักชาติของคนไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
วันนี้ 11 สิงหาคม คือวันเกิดของ ‘กิมเหลียง วัฒนปฤดา’ เด็กชายจากอุทัยธานีที่เรารู้จักในนาม ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ ปัญญาชนผู้เขียนเพลงปลุกใจและบทละครที่กลายเป็นสถาปนิกสำคัญในการสร้างชาติไทยสมัยใหม่
ปี 2441 บนแพไม้ไผ่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เด็กชายคนหนึ่งเกิดขึ้นมาในครอบครัวธรรมดา บิดาชื่ออิน มารดาชื่อคล้าย ชีวิตเริ่มต้นด้วยความเรียบง่าย แต่จุดหมายปลายทางคือการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของทั้งชาติ
เขาบวชเรียนที่วัดมหาธาตุ หัดอ่านเขียนไทย ศึกษานักธรรม-บาลี จนสอบได้เปรียญ 5 ประโยค เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ได้รับประกาศนียบัตรหมายเลข 1 จากพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 6 โดยตรง
แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่หยุดแค่นั้น เขาเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสด้วยตนเอง ก้าวข้ามขีดจำกัดของเด็กบ้านนอกจนได้ทุนไปศึกษาต่อที่ซอร์บอนน์ ปารีส เมืองแห่งแนวคิดเสรีนิยมและชาตินิยม
ช่วงปี 1938-1957 ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของ ‘การสร้างชาติ’ (Nation Building) อย่างเป็นระบบ ภายใต้การนำของ ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ นายกรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน นั่นคือการเปลี่ยนไทยให้กลายเป็น “ชาติที่ทันสมัย เข้มแข็ง และมีเกียรติ”
ในบริบทโลกที่กำลังเผชิญสงครามโลกครั้งที่ 2 และกระแสชาตินิยมที่ปรากฏทั่วโลก จอมพล ป. เชื่อว่าการอยู่รอดของชาติไทยขึ้นอยู่กับการสร้าง ‘คนไทยใหม่’ ที่มีจิตสำนึกรักชาติ มีวินัย และพร้อมเสียสละเพื่อชาติ
นโยบาย ‘รัฐนิยม’ กลายเป็นแกนหลักของการปกครอง รัฐเข้าไปกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การแต่งกาย (ห้ามผู้หญิงใส่ผ้าซิ่น บังคับให้ใส่กระโปรง) การใช้ชีวิต (ให้คนไทยกินด้วยช้อนส้อม แทนการกินด้วยมือ) ไปจนถึงความคิดและความรู้สึกของประชาชน
การสร้างชาติในยุคนี้ใช้เครื่องมือ 3 อย่างหลัก ได้แก่ การศึกษา (ปรับหลักสูตรให้เน้นความรักชาติ), สื่อมวลชน (วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยที่เพิ่งก่อตั้ง), และ ศิลปะการแสดง (ละคร เพลง และภาพยนตร์) เพื่อหล่อหลอมจิตสำนึกของประชาชนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ในยุคสร้างชาตินี้เอง หลวงวิจิตรวาทการได้กลายเป็น ‘หัวหอกทางความคิด’ ที่สำคัญที่สุด เขาไม่ใช่เพียงข้าราชการธรรมดา แต่เป็น ‘สถาปนิกแห่งความคิด’ ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อปลุกจิตสำนึกรักชาติ
ความสำเร็จทางวิชาการและประสบการณ์จากยุโรปทำให้หลวงวิจิตรวาทการกลายเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการสร้างชาติไทยสมัยใหม่ เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมศิลปากร และต่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
หลวงวิจิตรวาทการไม่ใช่เพียงนักประพันธ์ เขาคือผู้ใช้บทเพลงและบทละครเป็นเครื่องมือในการปลูกฝังอุดมการณ์ชาติ ภายใต้นโยบายการสร้างชาติของจอมพล ป.
เมื่อเขาเขียนบทละคร ‘เลือดสุพรรณ’ ในปี 2479 หรือ ‘พระเจ้ากรุงธนบุรี’ ในปี 2480 เขาไม่ได้เล่าประวัติศาสตร์ เขากำลัง ‘สร้าง’ ประวัติศาสตร์ใหม่ที่จะหล่อหลอมคนไทยให้มีจิตสำนึกรวม ตรงตามเป้าหมายของรัฐบาลพิบูลสงครามที่ต้องการสร้าง ‘คนไทยใหม่’
เพลง ‘กรุงธน’ และ ‘เลือดไทย’ ไม่ได้เป็นเพียงเพลงประกอบละคร แต่กลายเป็นเครื่องมือการเมืองที่มีประสิทธิภาพ ถูกเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ขับร้องในโรงเรียนทั่วประเทศ จนซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคนไทยทั้งประเทศ
ในปี 2497 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 และเร่งผลักดันนโยบายสร้างชาติอย่างเข้มข้น หลวงวิจิตรวาทการได้แต่งเพลง ‘ในน้ำมีปลาในนามีข้าว’ ประกอบละคร ‘อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง’
เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเฉลิมฉลองอดีต แต่เป็นการสร้างภาพอนาคตที่คนไทยควรยึดถือ ภายใต้วิสัยทัศน์ของจอมพล ป. ที่ต้องการให้คนไทยภาคภูมิใจในความเป็นไทยและมั่นใจในศักยภาพของชาติ คำว่า “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” กลายเป็นมากกว่าเนื้อเพลง มันกลายเป็น ‘คำสัญญา’ ของแผ่นดินไทยที่มีต่อลูกหลาน
เพลงนี้สะท้อนอุดมการณ์หลักของยุคสร้างชาติ คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (ในน้ำมีปลาในนามีข้าว), ความเข้มแข็งทางการเมือง (อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง), และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ไทย ครบองค์ประกอบของ ‘ชาติไทยใหม่’ ที่จอมพล ป. ใฝ่ฝันไว้
นอกจากความสามารถด้านการประพันธ์ ความสามารถทางภาษาและการทูตของเขา ก็ช่วยให้หลวงวิจิตรวาทการรอดพ้นจากการกวาดล้างทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่หลายคนถูกขับออกจากสนามการเมือง ท่านกลับสามารถปรับตัวและรักษาตำแหน่งไว้ได้
นี่คือความชำนาญของผู้รู้เท่าทันการเมือง การใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเกราะป้องกัน เมื่อการเมืองผันผวน บทเพลงและบทละครของท่านยังคงอยู่ และส่งผลต่อจิตใจคนไทย ตราบจนทุกวันนี้