เมื่อ 'ถุงแป้ง' คือแฟชั่นแห่งการเอาชีวิตรอด ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

เมื่อ 'ถุงแป้ง' คือแฟชั่นแห่งการเอาชีวิตรอด ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

แฟชั่นเสื้อผ้าจาก "ถุงแป้ง" มีจุดเริ่มต้นจากความจำเป็นในการเอาชีวิตรอดของชาวอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression)

KEY

POINTS

“Use it up, wear it out, make it do, or do without.”

(ใช้ให้หมด สวมจนเปื่อย ซ่อมวนไป หรืออยู่โดยไม่มีมัน)

คำขวัญแห่งยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ (The Great Depression 1929–1939) ที่ชาวอเมริกันท่องจำขึ้นใจ สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากอย่างที่สุดของผู้คนในช่วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังสั่นคลอนจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

ชีวิตที่เคยมั่งคั่งกลับพังทลายในชั่วพริบตา หลังตลาดหุ้นวอลล์สตรีตทรุดตัวลงเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 หรือที่เรียกกันว่า Black Thursday ผู้คนตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว บริษัทปิดตัว รายได้หดหาย ข้าวของเครื่องใช้ถูกขายทอดตลาดเพื่อประทังชีวิต แม้แต่เสื้อผ้าที่เคยเต็มตู้ก็ต้องคัดขายทิ้ง เหลือไว้เพียงชุดที่ดีที่สุดเพียงไม่กี่ชุด

แต่อย่างที่รู้ เสื้อผ้าเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มนุษย์ไม่อาจขาดได้ เหล่าแม่บ้านอเมริกันในชนบทจึงเริ่มมองหาทางรอด จนพบว่า ‘ถุงบรรจุอาหาร’ ที่มักจะอัดแน่นไปด้วยแป้งสาลี อาหารสัตว์ ไปจนถึงมันฝรั่ง อาจเป็นคำตอบของชีวิตในยามคับขัน

เพื่อให้สมกับคำขวัญที่พวกเขาท่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่บ้านจึงเริ่มนำถุงเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในห้วงเวลาแห่งความข้นแค้น และไม่น่าเชื่อว่าการเย็บผ้าจากกระสอบจะกลายเป็นแฟชั่นของทั้งประเทศ

บริษัทผู้ผลิตอาหารเองก็เริ่มมองเห็นโอกาส พวกเขาพิมพ์ลวดลายสวยงามลงบนถุงผ้า เพิ่มสีสันและลวดลายหลากหลาย เพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้อยากซื้อเพราะลายถุง มากกว่าซื้อเพราะของข้างใน แม้แต่ ‘มาริลิน มอนโร’ (Marilyn Monroe) ยังเคยใส่ชุดกระสอบอาหารถ่ายแบบ จนภาพนั้นกลายเป็นแฟชั่นระดับตำนาน

ภาพจาก Getty Images

เมื่อ ‘ถุงแป้ง’ เดินทางข้ามโลก

“ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเย็บเสื้อผ้าจากถุงบรรจุอาหาร และนำมาเป็นของใช้ภายในบ้าน เช่น เดรส ชุดชั้นใน ผ้ากันเปื้อน ผ้าเช็ดจาน ผ้ารองผ้าห่ม และผ้าม่าน ทั้งหมดนี้เป็นของที่คุ้มค่าอย่างมาก เพราะมันทั้งทนทานและยัง ‘ฟรี’ อีกด้วย จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาทำเครื่องนุ่งห่ม”

‘เคนดรา บรานเดส’ (Kendra Brandes) และ ‘ลอริส คอนนอลลี’ (Loris Connolly) สองนักเขียนผู้ศึกษาแฟชั่นในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ย้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของแฟชั่นถุงอาหารที่เริ่มต้นจากความจำเป็น

พวกเธอเล่าว่า เดิมทีสินค้าอาหารในอเมริกาบรรจุในถังไม้ แต่หลังทศวรรษ 1840 เครื่องจักรเย็บผ้าถูกประดิษฐ์ขึ้น ทำให้ถุงผ้าถูกผลิตได้รวดเร็วและราคาถูกลง หลังสงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1861–1865) ที่ทำให้ฝ้ายขาดแคลน โรงงานต้องนำเข้าป่านจากอินเดีย ถุงจึงมีเนื้อหยาบแต่ทนทาน เหมาะสำหรับนำกลับมาใช้ซ้ำ เช่น เช็ดมือ หรือทำความสะอาด

ต่อมาในทศวรรษ 1910 ถุงอาหารเริ่มเปลี่ยนจากผ้าป่านหยาบมาเป็นผ้าฝ้ายทอเนื้อนุ่ม น้ำหนักเบา และมีลวดลายรวมถึงสีสันเพิ่มขึ้น ทำให้ถุงที่เคยเป็นแค่บรรจุภัณฑ์ธรรมดา กลายเป็นของมีค่าในบ้าน

ส่วนจุดเริ่มต้นของชาวอเมริกันที่นำถุงบรรจุอาหารมาทำเป็นเสื้อผ้านั้น พวกเขาได้ไอเดียมาจากประเทศเบลเยียม หลังจากสหรัฐฯ ส่งแป้งกว่าล้านปอนด์ไปช่วยให้ชาวเบลเยียมรอดพ้นจากความอดอยากในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914–1918) พวกเขาจึงนำถุงเหล่านั้นมาทำเป็นเสื้อผ้า ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ก่อนจะส่งเป็น ‘ของขวัญ’ ให้กับสหรัฐฯ

เมื่อ \'ถุงแป้ง\' คือแฟชั่นแห่งการเอาชีวิตรอด ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

คอนนอลลี อธิบายว่า ชาวเบลเยียมได้นำถุงเหล่านี้มาเย็บเป็นเสื้อผ้าธรรมดา แต่บางคนก็ตกแต่งอย่างประณีตด้วยงานปัก ลงสี ประดับด้วยลูกไม้ทำมือ และลูกปัด ก่อนจะส่งคืนถุงอาหารหลายร้อยใบกลับมายังสหรัฐฯ เพื่อเป็นการขอบคุณ ซึ่งถุงเหล่านั้นถูกเรียกว่า ‘ถุงแป้งวิจิตร’ (art flour sacks) 

แต่เมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามในปี 1916 ความต้องการถุงบรรจุอาหารเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว พวกเขาต้องการอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต แน่นอนว่าในช่วงสงครามเช่นนี้ ของเหล่านั้นกลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง กลายเป็นว่าจากเดิมที่พวกเขาต้องส่งถุงอาหารไปช่วยเหลือประเทศอื่นไกล ตอนนี้พวกเขากลับต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด

และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงอเมริกันเริ่มมองเห็นคุณค่าของถุงบรรจุอาหาร มากกว่าให้ความสำคัญแค่กับของที่อยู่ข้างใน เพราะนี่คือสิ่งจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตรอดอยู่ได้โดยยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ต้องเปลือยเปล่าเพราะความยากจน

ชีวิตที่ต้องดิ้นรนหลังสงครามสงบ

ในปี 1921 นิตยสาร Vogue เขียนถึงงานเลี้ยง Beggars’ Balls โดยผู้ร่วมงานจะต้องแต่งกายด้วยชุดที่มีราคาต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ หนึ่งในชุดที่ปรากฏในภาพคือหญิงสาวที่แต่งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยถุงแป้ง (ที่ยังเห็นโลโก้ชัดเจน) และสวมตะแกรงร่อนแป้งบนหัวแทนหมวก

เมื่อภาพปรากฎออกไป ความเห็นของผู้คนก็แตกเป็นสองฝั่ง บ้างก็บอกว่านี่คือการเอา ‘ความจน’ มาล้อเล่น บ้างก็บอกว่านี่คือ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ถึงมุมมองจะต่างกันสุดขั้ว สุดท้ายผู้ที่จะทำประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้คงหนีไม่พ้นนายทุน

ในปี 1925 Women’s Wear ผู้นำกระแสด้านแฟชันเครื่องแต่งกายผู้หญิงนามานนับร้อยปี รายงานว่า บริษัท George P. Plant Milling Co. ในเมืองเซนต์หลุยส์ เริ่มพิมพ์ฉลากด้วยหมึกจากพืชที่ล้างออกได้ง่าย เพื่อช่วยลดความอับอายจากการสวมเสื้อผ้าที่ทำจากถุงรีไซเคิล ถุงแป้งสีขาวธรรมดาถูกแทนที่ด้วยถุงลายตารางสีชมพู-น้ำเงินภายใต้ชื่อ Gingham Girl ที่เมื่อซักแล้วจะได้ผ้าลายสวยไว้เย็บเป็นเดรสหรือผ้ากันเปื้อน

ตลาดถุงบรรจุอาหารเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 สมาคมผู้ผลิตถุงผ้า (Textile Bag Manufacturers Association) ได้ตีพิมพ์หนังสือ Sewing with Flour Bags ราวปี 1928 เพื่อสอนแม่บ้านเย็บเสื้อผ้าจากถุงอาหาร คู่มือที่กลายเป็นทั้งแนวทางเอาชีวิตรอด และกลยุทธ์เพิ่มยอดขายในเวลาเดียวกัน

เมื่อ \'ถุงแป้ง\' คือแฟชั่นแห่งการเอาชีวิตรอด ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

ว่ากันว่านี่เป็นเทคนิคที่ทำให้ผู้ชายยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือ เพื่อมอบให้กับผู้หญิงที่เขารัก ขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยชาติประหยัดอีกทางหนึ่งเช่นกัน เพราะความต้องการของประชาชนไม่ได้มีสูงนัก พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าจากถุงอาหารได้โดยไม่รู้สึกอับอายแต่อย่างใด 

จากแฟชั่นที่เริ่มจากความข้นแค้น ตอนนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ แม้แต่ประธานาธิบดี แคลวิน คูลิดจ์ (Calvin Coolidge) ผู้นำที่มีชื่อเสียงด้านความประหยัด ยังได้รับของขวัญเป็นชุดนอนที่ทำจากถุงแป้งจำนวน 5 ถุง ในปี 1928 ตัดเย็บโดยสมาคมสตรีแห่งโบสถ์ Millard Avenue Presbyterian Church ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ 

“เมื่อย้อนกลับไปมอง เราจะเห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้คนในยุคนั้น เห็นถึงความพยายามในการนำถุงอาหารสัตว์มาใช้ดำรงชีวิต เช่น การทำผ้าเช็ดตัว การทำเสื้อผ้า หรือปลอกหมอน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อดำรงชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำให้บ้านสวยงามอีกด้วย

“แม้แต่ด้ายที่ใช้เย็บถุงก็สามารถนำออกมาและนำกลับมาใช้ใหม่ได้” แอนดริว กุสตาฟสัน (Andrew Gustafson) ภัณฑารักษ์ผู้ดูแลการแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Johnson County ให้ความเห็น

ประหยัดเพื่อชัยชนะ

เมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1941 การปันส่วนทรัพยากรถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวด รัฐบาลจัดตั้งสำนักงานบริหารราคาสินค้า (Office of Price Administration) เพื่อควบคุมการกระจายสินค้าและกำหนดราคา ผลิตภัณฑ์หลายชนิดถูกจำกัดการใช้ รวมถึงน้ำมัน กาแฟ น้ำตาล เนื้อสัตว์ รองเท้า และผ้าฝ้าย 

รัฐบาลออกคำขวัญ Make Do and Mend (ใช้ซ้ำ ซ่อมวนไป และอยู่ให้ได้) เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการประหยัด

ในปี 1943 คณะกรรมการผลิตเพื่อสงคราม (War Production Board) สำรองผ้าฝ้ายไว้เฉพาะงานทหารและอุตสาหกรรม แต่ในความสิ้นหวังยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เมื่อถุงสินค้าโภคภัณฑ์ถือเป็นหมวดการใช้งานอุตสาหกรรม จึงยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ 

ผู้ผลิตถุงผ้าและองค์กรการค้าใช้โอกาสนี้เปิดแคมเปญโฆษณาทั่วประเทศในชื่อ การประหยัดผ้าแม้เพียงเล็กน้อย ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสแห่งชัยชนะ และนั่นทำให้หญิงชาวอเมริกันทั่วประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการเย็บผ้าห่มช่วยชาติ โดยจะตัดเย็บมาเป็นลวดลายธงชาติ สะท้อนถึงชาตินิยมอันแข็งแกร่ง เพื่อระดมเงินสนับสนุนสงคราม

เมื่อ \'ถุงแป้ง\' คือแฟชั่นแห่งการเอาชีวิตรอด ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

ขณะเดียวกันในชนบทของสหรัฐฯ มักจัดกิจกรรมเปลี่ยนผ้าถุงผ้ากันในชมรม Sack and Snack เพราะเดรสสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งชุด ต้องใช้ถุงอาหาร 2-3 ถุง จึงไม่แปลกที่เหล่าแม่บ้านจะจัดงานสลับถุงอาหาร เพื่อแลกเปลี่ยนลวดลายที่พวกเธอต้องการ

แม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เช่น Time, Reader’s Digest, Business Week และ The American Magazine ก็หยิบเรื่องการใช้ถุงบรรจุอาหาร ที่ถูกนำมาตัดเย็บเสื้อผ้ามาตีพิมพ์ ส่งผลให้ยอดขายถุงแป้งพุ่งสูงสุดในช่วงสงคราม

ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ผลิตแป้งและอาหารสัตว์ว่าจ้างที่ปรึกษาและดีไซเนอร์ รวมถึงตั้งแผนกวิจัยเพื่อติดตามการแข่งขันและแนวโน้มตลาด กระแสนี้แรงถึงขั้นที่ร้านค้าปลีกอย่าง Macy’s และ Sears เริ่มจำหน่ายสินค้าแฟชั่นถุงอาหาร เพื่อให้คนเมืองได้สัมผัสแฟชั่นแห่งการเอาตัวรอดเช่นเดียวกับหญิงชนบท

เมื่อสงครามจบลง ความมั่งคั่งใหม่ของอเมริกาเริ่มกลับมา อุตสาหกรรมแฟชั่นหันไปใช้วัสดุใหม่ที่มีราคากว่า ส่วนบริษัทผู้ผลิตอาหารเริ่มใช้ถุงกระดาษสองชั้นแทนถุงผ้า ถึงอย่างนั้น ในทศวรรษ 1950 ‘มาริลิน มอนโร’ ก็ได้ถ่ายแบบในชุดถุงบรรจุอาหาร ภาพเซตนั้นของเธอกลายเป็นกระแสฮือฮา ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าชุดจากถุงอาหารที่เกิดจากความข้นแค้นในอดีต ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นแห่งยุคสมัยก็ว่าได้ 

และหลังจากนั้นในปี 1961 แฟชั่นจาก ‘ถุงแป้ง’ ก็สิ้นสุดลง จบยุคสมัยที่ผู้คนต้องพึ่งพาถุงแป้งในการเอาชีวิตรอดอย่างเป็นทางการ

 

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

 

อ้างอิง

FASHION IN FEED BAGS. 

Great Depression Food Sacks Became a Necessary (and Marketable) Fashion. 

How Midwestern Women Pioneered Feed Sack Fashion.

Make Do: Feed-Sack Fashion in the First Half of the Twentieth Century.

ชนชั้นกลางอเมริกันอยู่กันอย่างไรในช่วง 10 ปีที่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่.