17 ส.ค. 2568 | 16:30 น.
KEY
POINTS
เมื่อเสียงนกหวีดจบการแข่งขัน ไม่ได้หมายถึงจุดจบของเกม… แต่เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม
จากมุมมองของคุณ อะไรที่สามารถเป็นประกายไฟที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามได้บ้าง? ความขัดแย้งในเชิงพื้นที่ การแบ่งสรรปันส่วนที่ไม่ลงตัวกันของทรัพยากร ความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางความคิดและการปกครอง หรือโดยเฉพาะกับความเกลียดชังที่ฝังลึก ทว่าในบางคราว สงครามที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นจากอะไรที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เช่น ‘ฟุตบอล’
ในปี 1969 โลกได้เห็นหนึ่งในสงครามที่ดูไร้เหตุผลที่สุดในประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งที่จุดชนวนจากการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง ‘เอลซัลวาดอร์’ (El Salvador) กับ ‘ฮอนดูรัส’ (Honduras) นี่ไม่ใช่แค่เกมที่ตัดสินกันด้วยการครองบอลหรือยิงประตูเท่านั้น เพราะเบื้องหลังเสียงเฮในสนามคือรอยร้าวทางประวัติศาสตร์ เบื้องหลังธงชาติที่สะบัดคือความคลั่งชาติที่พลุ่งพล่าน และเบื้องหลังสกอร์ที่เปลี่ยนไปคือชะตาชีวิตของผู้คนนับพันที่ถูกพรากไปด้วยกระสุนและไฟสงคราม
บทความนี้จะพาไปสำรวจเรื่องราวของความขัดแย้งที่ถูกจดจำในชื่อ ‘สงครามฟุตบอล’ (Football War) หรือ ‘สงครามร้อยชั่วโมง’ (The 100-Hour War) ที่เป็นประกายไฟที่จุดเพลิงความเกลียดชังที่ถูกบ่มมาอย่างยาวนานระหว่างสองประเทศ จนกระทั่งพวกเขาได้เวียนมาเจอกันอีกครั้งบนสนามฟุตบอล จากเสียงโห่ร้องของกองเชียร์ในโลกกีฬาจึงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามและควันปืนที่แลกมาด้วยความเสียหายและชีวิตอีกมากมาย
เพื่อจะเข้าใจชนวนไฟแห่งความขัดแย้ง เราต้องย้อนกลับไปมองฉากหลังของทั้งสองประเทศ ฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์ แม้จะตั้งอยู่เคียงกันในอเมริกากลางราวกับเพื่อนบ้านร่วมผืนแผ่นดิน แต่แท้จริงแล้ว ต่างฝ่ายต่างแบกรับความตึงเครียดสะสมมานานนับศตวรรษ—ทั้งความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และโครงสร้างภายในที่บิดเบี้ยว ปัญหาเหล่านี้มิได้ถูกแก้ไข หากกลับถูกหยิบมาใช้เป็นข้ออ้างในการผลักภาระและโยนความผิดให้กันครั้งแล้วครั้งเล่า
ฮอนดูรัสมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเอลซัลวาดอร์ถึงห้าเท่า ทว่าประชากรของเอลซัลวาดอร์กลับหนาแน่นกว่ามาก ในปี 1969 เอลซัลวาดอร์มีประชากรราว 3.7 ล้านคน มากกว่าฮอนดูรัส (2.6 ล้านคน) ถึง 40% ทำให้ตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 มีชาวเอลซัลวาดอร์กว่า 300,000 คนอพยพเข้าสู่ฮอนดูรัสเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าและที่ดินทำกิน
แต่การอพยพจำนวนมหาศาลนี้กลับสร้างแรงกดดันให้กับสังคมฮอนดูรัส เกิดความรู้สึกไม่พอใจและต่อต้านผู้อพยพในหมู่ประชาชนท้องถิ่น รัฐบาลฮอนดูรัสจึงออกกฎหมายปฏิรูปที่ดินในปี 1962 (เริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 1967) ให้อำนาจรัฐในการยึดที่ดินคืนจากชาวเอลซัลวาดอร์ และจัดสรรให้กับชาวฮอนดูรัสที่ขาดแคลน
ผลที่ตามมาคือ ชาวไร่ชาวนาเอลซัลวาดอร์จำนวนมากต้องสูญเสียที่ดิน หลายครอบครัวถูกบีบให้ออกจากประเทศ บางรายถูกขับไล่หรือบังคับให้เดินทางกลับบ้านเกิดของตนเอง ท่ามกลางบรรยากาศของความเกลียดชังและการคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงอย่าง ‘มันชาบราบา’ (Mancha Brava) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุทำร้ายและสังหารผู้อพยพชาวเอลซัลวาดอร์
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ความตึงเครียดระหว่างสองชาติจึงขยับเข้าใกล้ถึงจุดเดือด เศรษฐกิจฝืดเคือง ความรู้สึกเป็นศัตรูระหว่างประชาชน และการสูญเสียที่ดินทำกิน กลายเป็นเชื้อเพลิงที่รอเพียงประกายไฟเล็ก ๆ สุดท้าย แรงสะสมแห่งความบาดหมางก็ถูกจุดชนวน โดยสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดนั้นคือ ฟุตบอล
ชนวนสุดท้ายที่จุดไฟให้ความตึงเครียดที่สั่งสมมาระหว่างสองประเทศให้ลุกโชนจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 1969 ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนคอนคาเคฟ ซึ่งทีมชาติเอลซัลวาดอร์และฮอนดูรัสต้องลงสนามฟาดแข้งกันถึงสามนัดเพื่อชี้ชะตาว่าใครจะได้สิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่เม็กซิโกในปีถัดไป ทว่าการแข่งขันที่ควรจะเป็นเพียงเรื่องของกีฬา กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบแห่งอารมณ์ชาติ
ในการพบกันนัดแรก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่กรุงเตกูซิกัลปา เมืองหลวงของฮอนดูรัส บรรยากาศก่อนเกมเต็มไปด้วยความกดดัน แฟนบอลเจ้าถิ่นรวมตัวกันหน้าที่พักของนักเตะเอลซัลวาดอร์ ปาข้าวของ ด่าทอ และส่งเสียงดังตลอดทั้งคืนเพื่อรบกวนสมาธิทีมเยือน วันถัดมา ฮอนดูรัสเฉือนชนะไป 1-0 แต่ชัยชนะในสนามกลับถูกบดบังด้วยโศกนาฏกรรม ‘อาเมเลีย โบลาญอส’ (Amelia Bolaños) หญิงสาวชาวเอลซัลวาดอร์วัย 18 ปี ยิงตัวตายเพราะไม่อาจทนเห็นทีมรักพ่ายแพ้ รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ใช้เหตุสลดนี้ปลุกกระแสชาตินิยม จัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่และถ่ายทอดสดทั่วประเทศ จนความโกรธแค้นต่อฮอนดูรัสยิ่งทวีความรุนแรง
ผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว การแข่งขันนัดที่สองก็จัดขึ้นที่กรุงซานซัลวาดอร์ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1969 คราวนี้ฝั่งแฟนบอลเจ้าบ้านไม่ยอมแพ้ ก่อกวนและข่มขวัญทีมฮอนดูรัสคืนบ้าง ความดุเดือดในสนามไม่ต่างจากนอกสนาม เอลซัลวาดอร์ถล่มเอาชนะไป 3-0 แต่ผลลัพธ์กลับตามมาด้วยการตอบโต้ที่โหดร้าย ชาวฮอนดูรัสบางส่วนก่อเหตุจลาจล เผาบ้านเรือน และขับไล่ชาวเอลซัลวาดอร์ที่อาศัยอยู่ในฮอนดูรัส ความรุนแรงที่เริ่มจากเกมฟุตบอล กำลังบานปลายเป็นความเกลียดชังระหว่างประชาชนสองชาติ
มาจนถึงเกมนัดที่สาม นัดตัดสิน จัดขึ้นที่สนามกลางในกรุงเม็กซิโก ซิตี วันที่ 26 มิถุนายน 1969 เอลซัลวาดอร์เฉือนชนะฮอนดูรัส 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าสิทธิ์ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เม็กซิโก แต่ชัยชนะนี้กลับไม่อาจหยุดยั้งโศกนาฏกรรมที่กำลังก่อตัวนอกสนามได้ เพราะคืนก่อนแข่ง รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับฮอนดูรัส กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเพิกเฉยต่อ ‘การล้างเผ่าพันธุ์’ และไม่ชดเชยความเสียหายให้พลเมืองเอลซัลวาดอร์ นั่นคือสัญญาณชัดเจนว่าไฟสงครามกำลังปะทุ และในที่สุด ไม่ถึงสามสัปดาห์หลังเกม เสียงปืนใหญ่ก็ดังก้องขึ้นเหนือน่านฟ้าฮอนดูรัส
วันที่ 14 กรกฎาคม ปี 1969 สงครามระหว่างเอลซัลวาดอร์และฮอนดูรัสได้ปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อกองทัพเอลซัลวาดอร์เปิดฉากโจมตีทางอากาศ พร้อมส่งทหารราบ รถถัง และปืนใหญ่บุกข้ามพรมแดนเข้าสู่ฮอนดูรัสในสองแนวรบหลัก ปฏิบัติการเชิงรุกครั้งนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ กองทัพเอลซัลวาดอร์สามารถรุกคืบลึกเข้าไปในดินแดนของฮอนดูรัสได้ถึง 25-30 กิโลเมตรภายในเวลาไม่กี่วัน
ฝั่งฮอนดูรัสตอบโต้ด้วยการเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายในเอลซัลวาดอร์ ขณะที่แนวรบภาคพื้นดินเต็มไปด้วยการปะทะดุเดือด ความขัดแย้งที่เคยสั่งสมมาหลายสิบปี และถูกกระตุ้นด้วยการแข่งขันฟุตบอล กลายเป็นสงครามจริงที่พรากชีวิตและทิ้งบาดแผลไว้กับทั้งสองประเทศ
แม้สงครามจะดำเนินไปเพียงไม่กี่วัน แต่นานาชาติก็ไม่ได้นิ่งเฉย องค์การนานารัฐอเมริกา (OAS) เข้าทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยอย่างเร่งด่วน จนในที่สุด ทั้งสองฝ่ายตกลงยุติการสู้รบในคืนวันที่ 18 กรกฎาคม สงครามกินเวลาราว 100 ชั่วโมงพอดี กลายเป็นที่มาของชื่อเล่น ‘สงครามร้อยชั่วโมง’
หลังสงครามยุติ กองทัพเอลซัลวาดอร์เริ่มทยอยถอนกำลังออกจากดินแดนฮอนดูรัสในช่วงต้นเดือนสิงหาคม แต่ความสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 2,000–3,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และอีกหลายพันคนได้รับบาดเจ็บ
ผลพวงของสงครามยังส่งผลกระทบทางสังคมครั้งใหญ่ ชาวเอลซัลวาดอร์ราว 300,000 คนที่เคยอาศัยอยู่ในฮอนดูรัสต้องอพยพกลับประเทศอย่างฉับพลัน ท่ามกลางความโกลาหลและไร้การเตรียมรับมือจากรัฐ เมื่อกลับถึงบ้านเกิด พวกเขากลับต้องเผชิญกับประเทศที่ยากจน แออัด และแทบไม่มีโอกาสในการตั้งหลักใหม่
การกลับบ้านที่ไม่มีใครต้อนรับ และการดิ้นรนของผู้ลี้ภัยในประเทศที่แทบไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว กลายเป็นเชื้อเพลิงสะสมทางสังคม และในที่สุด ความไม่พอใจของผู้คนเหล่านี้ได้ปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งภายในที่ลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเอลซัลวาดอร์ในเวลาต่อมา
สงครามที่เริ่มต้นจากลูกบอลลูกเดียว จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของทั้งสองชาติ
แม้จะถูกขนานนามว่า ‘สงครามฟุตบอล’ ชวนให้เข้าใจว่าเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากเกมลูกหนัง แต่แท้จริงแล้ว ฟุตบอลเป็นเพียงประกายไฟสุดท้ายที่จุดระเบิดกองเชื้อเพลิงแห่งปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาการแย่งชิงที่ดิน การอพยพข้ามแดน และกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกปั่นโดยรัฐบาลทั้งสองฝั่ง สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องของกีฬา หากแต่เป็นภาพสะท้อนของโลกที่ความเกลียดชังและความกลัวสามารถนำพาผู้คนไปสู่หายนะได้ง่ายดายเพียงใด
เมื่ออคติและความไม่เข้าใจถูกปล่อยให้สะสมโดยไร้การเยียวยา เหตุการณ์เล็กน้อยอย่างการแข่งขันฟุตบอลก็อาจกลายเป็นชนวนระเบิดทางการเมืองและมนุษยธรรม สงคราม 100 ชั่วโมงระหว่างเอลซัลวาดอร์กับฮอนดูรัสจบลงโดยไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง มีเพียงร่างของผู้บริสุทธิ์นับพัน และความเจ็บปวดที่ยังฝังลึกในความทรงจำของทั้งสองชาติ
แม้เสียงปืนจะเงียบลงในเดือนกรกฎาคม 1969 แต่ความขัดแย้งกลับยืดเยื้อยาวนาน ทั้งสองประเทศต้องใช้เวลากว่า 11 ปีจึงสามารถลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพได้ในวันที่ 30 ตุลาคม 1980 และต้องรออีกกว่าทศวรรษกว่าที่ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนจะได้รับการตัดสินโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ทว่าความสงบที่มาถึงช้าเกินไป ก็ไม่อาจชุบชีวิตของผู้คนที่ล้มตายจากสงครามที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น สงครามฟุตบอลจึงกลายเป็นอุทาหรณ์ที่โลกไม่ควรลืม ว่าแม้กีฬาอาจเป็นภาษาสากลของมวลมนุษย์ แต่มันก็ไม่อาจอยู่นอกเหนือบริบททางสังคม การเมือง และประวัติศาสตร์
และเมื่อชาตินิยมถูกผลักให้สุดขอบ มันไม่เพียงสร้างเส้นแบ่งระหว่างสองประเทศ หากยังทิ้งรอยแผลไว้ในหัวใจของผู้คนที่ต้องลี้ภัยกลับบ้านโดยไร้ที่พึ่ง กีฬาที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพกลับถูกบิดให้กลายเป็นเชื้อเพลิง จุดเปลวไฟแห่งสงครามที่ลุกลามไกลเกินกว่าจะดับลงได้ และในที่สุด ไฟชาตินิยมที่เริ่มจากศึกกับเพื่อนบ้าน ก็หันกลับมาเผาผลาญเอลซัลวาดอร์เอง นำพาประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อยาวนาน
อ้างอิง
วิกิพีเดีย. (n.d.). สงครามฟุตบอล. ใน วิกิพีเดีย.
Zinn Education Project. (n.d.). July 14, 1969: Soccer war.
BBC News. (2019, June 20). The football war: When Honduras and El Salvador clashed. BBC.
SumUp Thailand. (2022, July 14). บอลแพ้คนไม่แพ้ แถมก่อสงคราม!