‘ไมเคิล ฟาราเดย์’ ชายผู้ค้นพบหลักการที่ทำให้โลกมีไฟฟ้าใช้จนถึงปัจจุบัน

‘ไมเคิล ฟาราเดย์’ ชายผู้ค้นพบหลักการที่ทำให้โลกมีไฟฟ้าใช้จนถึงปัจจุบัน

จากเด็กยากจนผู้ไร้โอกาสทางการศึกษา สู่ผู้พลิกโฉมโลกด้วยพลังไฟฟ้า ‘ไมเคิล ฟาราเดย์’ พิสูจน์ให้เห็นว่าความมหัศจรรย์ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม หากคุณกล้าที่จะตั้งคำถามและมุ่งมั่นค้นหาคำตอบผ่านการทดลอง

KEY

POINTS

  • ความยากจนและการขาดโอกาสทางการศึกษาไม่ใช่อุปสรรคต่อความสำเร็จ หากมีความมุ่งมั่นและใฝ่เรียนรู้ ดังที่ฟาราเดย์พิสูจน์ให้เห็นผ่านการอ่านหนังสือและทดลองด้วยตนเอง
  • การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากความกล้าที่จะตั้งคำถามและทดลอง ฟาราเดย์เปลี่ยนไฟฟ้าจากปรากฏการณ์ประหลาดให้กลายเป็นพลังงานที่มนุษย์ควบคุมได้ด้วยวิธีนี้
  • ความเชื่อมั่นในกฎธรรมชาติและการพิสูจน์ผ่านการทดลองคือหัวใจของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนผ่านคำพูดของฟาราเดย์ที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่มหัศจรรย์เกินไปที่จะเป็นจริง หากมันสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติ

“ไม่มีสิ่งใดที่มหัศจรรย์เกินไปที่จะเป็นจริง หากมันสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติ และการทดลองคือวิธีการทดสอบที่ดีที่สุดสำหรับความสอดคล้องนั้น”

คำกล่าวอันทรงพลังนี้เป็นของ ‘ไมเคิล ฟาราเดย์’ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งไฟฟ้า’ ผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าความมหัศจรรย์ทั้งปวงสามารถเป็นจริงได้ หากสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ และการทดลองคือเครื่องพิสูจน์ความจริงที่ดีที่สุด 

ปรัชญานี้ได้นำทางให้เขาค้นพบสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก โดยเฉพาะการค้นพบการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า และการประดิษฐ์ไดนาโม ที่เปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า และเป็นพื้นฐานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าเพื่อส่งไปยังบ้านเรือนในปัจจุบัน

ฟาราเดย์เกิดในครอบครัวยากจนที่หมู่บ้านนิวอิงตัน เซอร์เรย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของลอนดอนใต้ บิดาเป็นช่างตีเหล็กที่อพยพมาจากภาคเหนือของอังกฤษในปี 1791 เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ส่วนมารดาเป็นหญิงชนบทผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและความสงบนิ่ง คอยเป็นกำลังใจให้บุตรชายตลอดวัยเยาว์อันแสนลำบาก

ฟาราเดย์และพี่น้องอีกสามคนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากบิดามักป่วยและไม่สามารถทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ เขาเคยเล่าว่าต้องประทังชีวิตด้วยขนมปังเพียงก้อนเดียวตลอดทั้งสัปดาห์เพราะความยากจน ครอบครัวของเขานับถือนิกายคริสต์เล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘แซนเดมาเนียน’  ซึ่งกลายเป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณของเขาตลอดชีวิต และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวิธีที่เขามองและทำความเข้าใจธรรมชาติ
 

แม้จะได้รับการศึกษาเพียงขั้นพื้นฐานจากโรงเรียนวันอาทิตย์ของโบสถ์ แต่ความกระหายใคร่รู้ของฟาราเดย์ไม่เคยจางหาย เมื่ออายุ 14 ปี เขาได้เป็นลูกมือร้านเข้าเล่มหนังสือ ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้อ่านหนังสือมากมาย โดยเฉพาะบทความเรื่องไฟฟ้าในสารานุกรมบริทานนิกา ที่จุดประกายความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ให้กับเขา จนถึงขั้นทดลองประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิตอย่างง่ายจากวัสดุเหลือใช้

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของฟาราเดย์เกิดขึ้นในปี 1812 เมื่อเขาได้รับโอกาสฟังการบรรยายของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ‘จอห์น เททัม’ และ ‘เซอร์ฮัมฟรีย์ เดวี’ ด้วยความช่วยเหลือจากพี่ชายที่จ่ายค่าฟังบรรยายให้ ฟาราเดย์ได้จดบันทึกการบรรยายอย่างละเอียดจนกลายเป็นสมุดบันทึกหนา 300 หน้า เมื่อส่งให้เดวีดู ความทุ่มเทของเขาได้สร้างความประทับใจจนนำไปสู่การได้งานเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการ

โอกาสครั้งสำคัญมาถึงอีกครั้งเมื่อฟาราเดย์ได้ร่วมเดินทางกับเดวีและภรรยาในการทัวร์ยุโรปเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ได้พบปะนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำมากมาย แม้จะต้องเผชิญกับการดูถูกจากภรรยาของเดวีเพราะชาติกำเนิดอันต่ำต้อย แต่การเดินทางครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนการได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีกำแพงกั้น

หลังจากฝึกงานกับเดวีจนเชี่ยวชาญในปี 1820 ฟาราเดย์ได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถไม่แพ้ผู้ใดในยุคนั้น การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเกิดขึ้นในปี 1831 เมื่อเขาค้นพบการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของหม้อแปลงไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การค้นพบนี้ได้เปลี่ยนไฟฟ้าจากปรากฏการณ์ประหลาดให้กลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สามารถควบคุมและใช้ประโยชน์ได้

นอกจากนี้ ฟาราเดย์ยังมีผลงานสำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งการค้นพบเบนซีน การประดิษฐ์ตะเกียงบุนเสนรุ่นแรก และการบัญญัติศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ที่ยังใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น electrode (ขั้วไฟฟ้า), cathode (แคโทด) และ ion (ไอออน) แม้ในช่วงปลายชีวิตสุขภาพจะทรุดโทรม แต่เขาก็ได้รับเกียรติให้พำนักที่แฮมป์ตันคอร์ต จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 25 สิงหาคม 1867

‘ไมเคิล ฟาราเดย์’ ไม่เพียงค้นพบกฎธรรมชาติ แต่เขายังเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการทำสิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริง จากเด็กยากจนที่ไร้การศึกษา เขากลายเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมโลกด้วยพลังไฟฟ้า เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ ที่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเป็นไปไม่ได้?”

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images 

อ้างอิง: 

"Theory of Electrochemistry." Britannica, https://www.britannica.com/biography/Michael-Faraday/Theory-of-electrochemistry. Accessed 5 Feb. 2025.

"Michael Faraday (1791 - 1867)." BBC History, https://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/faraday_michael.shtml. Accessed 5 Feb. 2025.

"Michael Faraday: The British Scientist Who Transformed Electrical Power." History Hit, https://www.historyhit.com/michael-faraday-the-british-scientist-who-transformed-electrical-power/. Accessed 5 Feb. 2025.

IPST (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - สสวท.)
"ไมเคิล ฟาราเดย์ นักเคมีและนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่." IPST, https://www.ipst.ac.th/knowledge/knowledge-calendar/5301/michaelfaraday.html. Accessed 5 Feb. 2025.