31 ต.ค. 2568 | 08:40 น.

KEY
POINTS
นี่มิใช่เพียงการเปิดตัวซิงเกิลใหม่ หากแต่เป็นการเปิดบทสนทนาแห่งชีวิตที่ยาวนานกว่า 60 ปีในวงการดนตรี เสมือนการบอกลาอย่างสง่างามของศิลปินผู้สร้างสรรค์เสียงเพลงที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอเมริกัน และความทรงจำของผู้คนทั่วโลก
แมนิโลว์ ซึ่งเลือกที่จะนำ Once Before I Go บทเพลงเก่าที่เขานำมาบันทึกเสียงใหม่ในช่วงปลายชีวิตการทำงาน เผยว่า เขาไม่เคยร้องเพลงนี้ได้อย่าง ‘จริงใจ’ จนกระทั่งถึงเวลานี้ เพราะเนื้อหาของเพลงเกี่ยวข้องกับการจากลา และการสะท้อนถึงสิ่งที่เขาได้ทำไว้ในชีวิต
เพลงนี้เขียนโดย ‘ปีเตอร์ อัลเลน’ (Peter Allen) และ ‘ดีน พิตช์ฟอร์ด’ (Dean Pitchford) ภายใต้การโปรดิวซ์ของ ‘เคนเนธ เบบี้เฟซ เอ็ดมอนด์ส’ (Kenneth Babyface Edmonds) และ ‘เดมอนเต โพซีย์’ (Demonte Posey) ซึ่งช่วยเติมเต็มความละเมียดละไมทางดนตรีให้กับบทเพลงที่เปรียบเสมือนจดหมายลาต่อแฟนเพลงทั่วโลก
‘แบร์รี แมนิโลว์’ (Barry Manilow) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1943 ในนครนิวยอร์ก โดยใช้ชื่อจริงว่า ‘แบร์รี อลัน พินคัส’ (Barry Alan Pincus) เขาเติบโตในย่านบรูคลินในครอบครัวเชื้อสายยิว และมีพื้นฐานชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี
แมนิโลว์ เป็นบุตรของ ‘เอ็ดนา แมนิโลว์’ (Edna Manilow) และ ‘แฮโรลด์ พินคัส’ (Harold Pincus) ซึ่งแยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณตาคุณยายในย่านวิลเลียมส์เบิร์ก (Williamsburg) บรูคลิน (Brooklyn) ซึ่งเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา
เขาเริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่วัยเยาว์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการฟังเพลงบรอดเวย์ และแจ๊ส ผ่านวิทยุและแผ่นเสียงของครอบครัว
ในวัยเด็ก แมนิโลว์ เริ่มเรียนเปียโน และแสดงความสามารถทางดนตรีอย่างชัดเจน เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนอีสเทิร์น ดิสทริกต์ (Eastern District High School) และสำเร็จการศึกษาในปี ค.ศ. 1961
ช่วงวัยรุ่นของเขาเต็มไปด้วยการฝึกฝนดนตรีอย่างจริงจัง โดยเลือกเรียนต่อด้านดนตรีที่ซิตี้ คอลเลจ ออฟ นิวยอร์ก (City College of New York) และต่อมาเข้าเรียนที่จูลเลียร์ด สคูล (Juilliard School) ซึ่งเป็นสถาบันดนตรีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่เรียน เขาทำงานพาร์ทไทม์ที่ซีบีเอส (CBS) เพื่อหารายได้พิเศษ และมองหาลู่ทางเพื่อเข้าสู่วงการบันเทิง
ส่งผลให้ในช่วงวัยหนุ่ม แมนิโลว์ จริงจังกับวิชาชีพทางดนตรี ประเดิมด้วยการเรียบเรียงเพลงโฆษณา (Jingles) ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เขาแต่งเพลงโฆษณาให้กับแบรนด์ดังเช่น ‘สเตท ฟาร์ม’ (State Farm) ได้แก่ Like a good neighbor และ State Farm is there และ ‘แบนด์-เอด’ (Band-Aid) ได้แก่ I am stuck on Band-Aid และ Band-Aid's stuck on me) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างทำนองที่ติดหูและมีอารมณ์ร่วม
ความสามารถในการแต่งเพลงของเขาได้รับการยอมรับในวงการโฆษณา และโทรทัศน์ ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสร่วมงานกับ ‘เบ็ตต์ มิดเลอร์’ (Bette Midler) ในฐานะผู้เรียบเรียงดนตรีและผู้ร่วมแสดงในโชว์สดช่วงต้นยุค 1970s
ความร่วมมือนี้นำไปสู่การเปิดตัวอัลบั้มแรก ‘Barry Manilow I’ ในปี ค.ศ. 1973 และการแจ้งเกิดอย่างแท้จริงในปี ค.ศ. 1974 ด้วยเพลง ‘Mandy’ ซึ่งขึ้นอันดับหนึ่งใน Billboard Hot 100 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรีที่ยิ่งใหญ่
ชีวิตช่วงแรกของ แมนิโลว์ จึงเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความรักในดนตรี และการฝ่าฟันอุปสรรคของเด็กด้อยโอกาสเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเพลงป๊อปอเมริกัน
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ แบร์รี แมนิโลว์ (Barry Manilow) สร้างสรรค์เพลงฮิตมากมายเช่น Copacabana (At the Copa), Can't Smile Without You, I Write the Songs, และ Weekend in New England ซึ่งล้วนแต่เป็นเพลงที่สะท้อนถึงความสามารถในการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลงของเขา
เพราะแมนิโลว์ไม่เพียงแต่เป็นนักร้อง แต่ยังเป็นนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักเรียบเรียงเสียงประสานผู้มีความสามารถรอบด้าน
สิ่งที่ทำให้แมนิโลว์แตกต่างจากศิลปินคนอื่นก็คือ ความสามารถในการเชื่อมโยงกับผู้ฟังผ่านบทเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรัก ความสูญเสีย และความหวัง เขาไม่เคยเป็นศิลปินที่ตามกระแสแต่กลับสร้างตัวตนผ่านบทเพลงที่มีความหมาย และความจริงใจ
ผลงานของเขาได้รับการยอมรับจากทั้งแฟนเพลง นักวิจารณ์ และศิลปินด้วยกัน แม้บางครั้งงานของแมนิโลว์จะถูกมองว่าเป็นเพลงป๊อปสำหรับผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานของเขามีอิทธิพลต่อวงการดนตรีโดยรวมอย่างลึกซึ้ง
ในช่วงบั้นปลายชีวิตการทำงาน แมนิโลว์ไม่ได้หยุดนิ่ง เขายังคงออกทัวร์ ให้สัมภาษณ์พร้อมการแสดงสดในห้องส่ง และสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
Once Before I Go เป็นส่วนหนึ่งของ Farewell Tour ที่เขาประกาศในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งเป็นการบอกลาเวทีอย่างเป็นทางการ แม้จะมีการบอกลาหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการบอกลาที่แท้จริง ด้วยบทเพลงที่สะท้อนถึงความรัก ความทรงจำ และความขอบคุณต่อแฟนเพลงที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดชีวิต
Once more, just once before I go
I want you to know that I have loved you all along
And even when we're far apart
I only need to feel you're living in my heart and I'll be strong
You are the light that shines on me
You always were and you'll always be
So, I had to let you know
Just this once, just this once before I go
Once Before I Go พูดถึงการจากลาอย่างสง่างาม การยอมรับในสิ่งที่ผ่านมา และการขอบคุณต่อผู้คนที่มีส่วนร่วมในชีวิตของเขา
Once Before I Go เป็นบทเพลงที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงชีวิตของแมนิโลว์ แต่ยังสะท้อนถึงชีวิตของผู้ฟังทุกคนที่เคยผ่านความรัก ความสูญเสีย และการเติบโต เพลงนี้จึงกลายเป็นมากกว่าบทเพลง แต่เป็น ‘บทกวีแห่งชีวิต’ ที่เปี่ยมด้วยความหมาย
การที่แมนิโลว์เลือกทำงานร่วมกับ เบบี้เฟซ (Babyface) และเดมอนเต โพซีย์ (Demonte Posey) คือการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความร่วมสมัย ซึ่งช่วยให้เพลงมีความละเมียดละไม และเข้าถึงผู้ฟังในทุกยุคสมัย
เสียงร้องที่เปลี่ยนไปเป็นผู้อาวุโสอย่างชัดเจนของแมนิโลว์ในวัย 82 ปี ยังคงเปี่ยมด้วยพลัง และอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในวงการดนตรี
Once Before I Go จึงไม่ใช่เพียงบทเพลงที่ออกใหม่ทว่ายังเป็นบทสรุปแห่งชีวิตการทำงานของแมนิโลว์ เป็นการบอกลาที่เต็มไปด้วยความรัก ความทรงจำ และความหมาย
เป็นการยืนยันว่าเสียงเพลงของเขาจะยังคงอยู่ในใจของผู้คน แม้เขาจะจากเวทีในอีกไม่นานนี้ก็ตาม
แมนิโลว์มีอิทธิพลทางดนตรี และวัฒนธรรม ในแต่ละยุค ผ่านการเปลี่ยนแปลงแนวเพลงอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของความละเมียดละไม และความจริงใจในบทเพลงไว้เสมอ
ตั้งแต่ยุค 1970s จนถึงปัจจุบัน แมนิโลว์ได้สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนทั้งรสนิยมดนตรีของแต่ละสมัย และความรู้สึกของผู้คนในช่วงเวลานั้น ๆ โดยมีการเปลี่ยนแปลงเชิงดนตรี และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น
แมนิโลว์ เปิดตัวด้วยเพลง Mandy ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งกลายเป็นเพลงอันดับ 1 ใน Billboard Chart ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวเพลงป๊อปที่เน้นอารมณ์และความโรแมนติก
เขานำเสนอเพลงที่มีโครงสร้างคล้ายบรอดเวย์ ใช้เปียโนเป็นแกนหลัก ผสมเครื่องสายและคอรัสอย่างประณีตในการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและลึกซึ้ง
เพลงอื่น ๆ ของเขาในยุคนี้เช่น I Write the Songs, Weekend in New England และ Could It Be Magic ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเพลงป๊อปที่เน้นการเล่าเรื่องและความรู้สึก
อิทธิพลของเขาทำให้เพลงป๊อปในยุคนั้นหันมาให้ความสำคัญกับเนื้อหาและการเรียบเรียงมากขึ้น แทนที่จะเน้นจังหวะ หรือความหวือหวา แปลกใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้ฟังในยุคหลังสงครามเวียดนามที่แสวงหาความสงบ และความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
แม้จะถูกนักวิจารณ์บางกลุ่มมองว่า ‘หวานเกินไป’ หรือ ‘ไม่ล้ำสมัย’ แต่เขากลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้ฟังกลุ่มใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักฟังเพลงชนชั้นกลางในอเมริกา และนักฟังผู้หญิง เพลงของเขาในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือเยียวยาทางอารมณ์ที่ทรงพลัง
แมนิโลว์เริ่มนำเพลงแจ๊ส และบรอดเวย์ยุคเก่า มาเรียบเรียงใหม่ เช่น ในอัลบั้ม Swing Street และ Showstoppers ซึ่งสะท้อนถึงความหลงใหลในดนตรีอเมริกันแบบดั้งเดิม
เขาเป็นหนึ่งในศิลปินไม่กี่คนที่สามารถนำเพลงจากยุค 1930s – 1940s ให้กลับมาอยู่ในกระแสหลักได้ โดยไม่สูญเสียความร่วมสมัย การแสดงสดของเขาในยุคนี้เป็นโชว์เต็มรูปแบบที่ผสมผสานดนตรี การแสดง และการเล่าเรื่อง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการออกแบบคอนเสิร์ตของศิลปินรุ่นหลัง
นอกจากนี้ แมนิโลว์ยังมีบทบาทในการผลิตรายการโทรทัศน์พิเศษที่ผสมดนตรีและการแสดง ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของ Musical Television Special ที่ได้รับรางวัล Emmy และ Tony จากการแสดงสดและการผลิตรายการพิเศษทางโทรทัศน์
ทำให้ในท้ายที่สุด แมนิโลว์ ในยุค 80 ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ MTV Unplugged ในเวลาต่อมา
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวของเขา แต่ยังช่วยให้เขาเชื่อมโยงกับผู้ฟังรุ่นเก่าที่เติบโตมากับเพลงบรอดเวย์ แจ๊ส และคลาสสิก ได้อย่างลึกซึ้ง
แมนิโลว์ หันมาเน้นการรวมเพลงฮิตและการแสดงสดเช่น Ultimate Manilow (2002) ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มขายดีที่สุดในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่สามารถรักษาฐานแฟนเพลงได้อย่างมั่นคงแม้ในยุคที่ดนตรีเปลี่ยนไปสู่แนวฮิปฮอป และอิเล็กทรอนิกส์
การแสดงของเขาในเวทีใหญ่ เช่น Las Vegas residency ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการแสดงสดของศิลปินรุ่นเก๋า อิทธิพลของเขาในยุคนี้คือการพิสูจน์ว่า ‘เพลงป๊อปแบบคลาสสิก’ ยังมีที่ยืนในโลกดนตรีร่วมสมัย และสามารถสร้างรายได้มหาศาลผ่านการแสดงสด
ตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะ Entertainer มากกว่าศิลปินเพลงเพียงอย่างเดียว อิทธิพลของเขาในยุคนี้ได้ขยายไปสู่สื่อโทรทัศน์และวัฒนธรรมป๊อปในวงกว้างอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 2017 แบร์รี แมนิโลว์ (Barry Manilow) เปิดเผยตัวตนว่าเป็นเกย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างอบอุ่นจากแฟนเพลงทั่วโลก การเปิดเผยนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันความจริงใจในชีวิตส่วนตัว แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมอเมริกันที่เปิดกว้างมากขึ้น
เขายังคงออกอัลบั้มใหม่เช่น Night Songs II และ This Is My Town: Songs of New York ที่ผสมผสานความคลาสสิกกับความร่วมสมัย อิทธิพลของเขาในยุคนี้คือการเป็นแบบอย่างของศิลปินที่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง แม้จะอยู่ในวัย 70 ย่าง 80
เพลง Once Before I Go เป็นดั่ง ‘บทกวีแห่งการอำลา’ ที่เปี่ยมด้วยความหมาย โดยแมนิโลว์เลือกบันทึกเสียงในวัย 82 ปี เพราะรู้สึกว่า “ถึงเวลาแล้ว” ที่จะร้องเพลงนี้
การร่วมงานกับ เบบี้เฟซ และเดมอนเต โพซีย์ สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างยุคเก่าและใหม่อย่างกลมกลืน เสียงร้องของเขาเปี่ยมด้วยอารมณ์และความลึกซึ้งที่สะสมจากประสบการณ์ชีวิตทั้งหมด
Once Before I Go จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการจากลาอย่างสง่างาม และเป็นการยืนยันว่า ‘ศิลปะที่จริงใจ’ จะไม่มีวันล้าสมัย
เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
Popular Timelines: Barry Manilow Early Life
Britannica: Barry Manilow Biography
Encyclopedia: Barry Manilow
Timepath: Barry Manilow Career Timeline