‘เจิ้งอี้เจี้ยน’ พระเอกผมยาวขวัญใจยุค 90s ‘เฉินห้าวหนาน’ สะท้านเอเชีย คืนชีพหนังฮ่องกง

‘เจิ้งอี้เจี้ยน’ พระเอกผมยาวขวัญใจยุค 90s ‘เฉินห้าวหนาน’ สะท้านเอเชีย คืนชีพหนังฮ่องกง

‘เจิ้งอี้เจี้ยน’ พระเอกผมยาวขวัญใจยุค 90s เจ้าของบท ‘เฉินห้าวหนาน’ จากภาพยนตร์ ‘กู๋หว่าไจ๋’ มังกรฟัดโลก ผลงานที่โด่งดังสะท้านเอเชีย คืนชีพหนังฮ่องกงช่วงซบเซาให้คึกคักอีกรอบ

  • ‘เจิ้งอี้เจี้ยน’ พระเอกที่โด่งดังจากบท เฉินห้าวหนาน ในภาพยนตร์ กู๋หว่าไจ๋ ผลงานที่ทำให้หนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกงได้รับความสนใจอีกครั้ง
  • เจิ้งอี้เจี้ยน เป็นพระเอกฮ่องกงที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลาที่วงการภาพยนตร์ฮ่องกงตกต่ำหลังจากปี 1997

ในยุค 90s เป็นช่วงที่วงการภาพยนตร์ฮ่องกงกำลังรุ่งเรืองอย่างที่สุด หลายคนจดจำบทบาท ‘เกาจิ้ง’ จากคนตัดคน ของ โจวเหวินฟะ ‘อาหว่อ’ จากผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ของหลิวเต๋อหัว และยังมีอีกบทบาทที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ต่างจดจำได้ไม่ลืม ก็คือบท ‘เฉินห้าวหนาน’ จากภาพยนตร์ กู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก ที่แสดงโดยพระเอกนักร้องชื่อดังแห่งยุคอย่าง ‘เจิ้งอี้เจี้ยน’

เจิ้งอี้เจี้ยน เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1967 ที่เกาะฮ่องกง ในครอบครัวธรรมดา พ่อของเขาเป็นผู้จัดการโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนแม่ของเขาเป็นแม่บ้าน เจิ้งอี้เจี้ยน เป็นลูกชายคนกลาง มีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 1 คน แม้ว่าตอนเด็ก ๆ เจิ้งอี้เจี้ยน ชีวิตจะลำบากมาก แต่ครอบครัวก็อยู่อย่างมีความสุข

เมื่อเจิ้งอี้เจี้ยน เรียนมัธยมต้นที่โรงเรียน Great Harmony ในปี 1984 มีแมวมองทาบทามเขาไปถ่ายโฆษณา โดยโฆษณาตัวแรก ของหนุ่มน้อยเจิ้งอี้เจี้ยน วัย 17 คือ ‘Ice Cake House’ หลังจากนั้นเขาก็มีโอกาสได้แสดงโฆษณาอีกหลายตัว แต่ที่โด่งดังที่สุดคือ ‘Sunshine Lemon Tea’ ในปี 1987

หลังจากนั้น เจิ้งอี้เจี้ยน ได้เข้าร่วมการประกวดร้องเพลง นักร้องหน้าใหม่ของทีวีบี ต่อมา เขาถูกเชิญให้มาเรียนโรงเรียนสอนการแสดงของทีวีบี แต่เจิ้งอี้เจี้ยน เป็นคนขี้อาย พูดน้อย และจะรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องพูดหรือแสดงที่สาธารณะจนเขาหยุดเรียนที่โรงเรียนการแสดง และไปทำงานเป็นพนักงานประจำที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง

แต่เมื่อผ่านไปสองสามเดือน เขากลับพบว่าจริง ๆ แล้ว เขาชอบการแสดงมาก เขาจึงตัดสินใจลองกลับไปเรียนการแสดงอีกครั้ง และต่อมาก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเรียนคลาสฝึกอบรมศิลปินของทีวีบี

ในปี 1989 เจิ้งอี้เจี้ยน ได้เป็นพิธีกรครั้งแรกในรายการโทรทัศน์ ‘Lao Youth’ หลังจากนั้น ในปี 1990 เขาได้แสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง ‘The Love Love of the Lushan Mountains’ และเป็นพิธีกรในรายการเด็ก ‘430 Shuttle’ ‘Dynamic Index’ และ ‘Youth Front’

ในปี 1991 เขาเข้าร่วมกับค่าย BMG Records แข่งขันรายการเพลงป็อป CASH และได้รับรางวัลชนะเลิศ เขาเริ่มต้นอาชีพการร้องเพลงในเวลานั้น

จนกระทั่งปี 1992 เขามีอัลบั้มแรกเป็นของตัวเองชื่อว่า ปู๋เย่าคูเลอ (不要哭) หลังจากนั้น เขามีอัลบั้มทั้งกวางตุ้งและจีนกลาง ขณะที่เส้นทางการแสดงของเขาก็ไม่เลว เพราะได้รับการผลักดันจากทีวีบีอย่างต่อเนื่อง โดยทางทีวีบี ได้วางตัวให้เขาเป็นพระเอกรุ่นใหม่ของค่ายสถานีโทรทัศน์ทีวี ต้องการผลักดันเขา ร่วมกับ กัวฟู่เฉิง หลี่หมิง และจางเหว่ยเจี้ยน ทำให้เขามีละครออกมามากมาย กลายเป็นพระเอกดาวรุ่งทันที

อ่านเรื่อง 57 ยังแจ๋วแบบ ‘กัวฟู่เฉิง’ จากแดนเซอร์ ก้าวสู่ดาวแห่งเอเชีย ออกงานในวัยเลข 5 มาดหนุ่มแน่น

โดยในยุคนั้น ผลงานละครโทรทัศน์ที่คุ้นตาคนไทยก็อย่างเช่น ‘มังกรหยก’ 2 ฉบับที่เขารับบทเฮ้งเต็งเอี๊ยง และ อ๋องทักษิณ ต้วนจื่อเฮง จอมมารสือเซิง ใน ‘ประกาศิตจอมมารทะลุฟ้า’ รวมไปถึง ‘จอมกระบี่เดียวดาย’ ในบทจอมยุทธอาภัพรัก ‘ต้วนล่าง’ ตลอดจนละครฟอร์มยักษ์ประจำปีของทีวีบีอย่าง ‘จอมบงการ’ ในบทชายผู้มองโลกในแง่ดีอย่างตัวละคร ‘เปาเหวินหลง’

ในช่วงปี 1992 เจิ้งอี้เจี้ยน เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน และยังไม่ดังมาก ทำรายการทีวีอยู่ ส่วนเส้าเหม่ยฉี มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว หลังจากนั้น ทั้งเธอและเขาก็เริ่มออกเดตและเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า เป็นแฟนกัน เจิ้งอวี้เจี้ยน อ่อนกว่าเธอประมาณ 2 ปี ถึงแม้จะต่างวัยกันบ้างเล็กน้อย แต่แฟน ๆ ละครส่วนใหญ่ก็ยอมรับ

ความรักของทั้งคู่โด่งดังมาก ไม่ว่าทั้งคู่จะไปปรากฏตัวที่ไหนก็เป็นที่สนใจของบรรดาสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอ ด้วยความเป็นคู่รักที่มีผู้คนมากมายให้ความสนใจ บริษัท ‘ทีวีบี’ เลยจับทั้งคู่ให้มาแสดงละครร่วมกันในเรื่อง ‘มือปราบมังกรโหด’

นอกจากผลงานการแสดงละครโทรทัศน์ที่ดีขึ้นตามลำดับแล้ว ในปี 1992 เจิ้งอี้เจี้ยน ยังได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ในเรื่อง ‘พรุ่งนี้ฉันจะเลิกขายตัว’ (現代應召女郎 1992) ที่เขาแสดงกับ โจวฮุ่ยหลิ่น และ หลิวเจียหลิง จากผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในงาน Hong Kong Film Awards ครั้งที่ 11

ในปี 1993 เขาได้รับรางวัล ‘Most Promer Newcomer Award’ โดย RTHK เปิดตัวอัลบั้มที่สอง ‘Sahara’ จากนั้นได้รับรางวัล ‘Big Man Award’

 

ที่มาของผมยาว

ในตอนเริ่มแรกนั้น เจิ้งอี้เจี้ยน ยังคงไว้ผมสั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งในช่วงปลายปี 1993 เจิ้งอี้เจี้ยน ได้แสดงละครโทรทัศน์เรื่อง มังกรหยก ศึกสองจ้าวยุทธจักร (射雕英雄传之南帝北丐/1994) หลังจากนั้นเขาเกิดป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลยาวนานกว่าครึ่งปี หลังจากพักฟื้นเนื่องจากอาการป่วยและไม่มีเวลาดูแลตัดผม จึงไว้ผมยาวตั้งแต่นั้นมา เมื่อกลับมาทำงาน ตอนแรกเขาคิดว่า จะตัดผมไปไว้ผมสั้นเหมือนเดิม เพราะเป็นคนขี้รำคาญ และไม่ชอบการมาจัดระเบียบทรงผมและร้อนมาก แต่ทางต้นสังกัดกลับมองว่า ผมยาวนับว่าเป็นลุคใหม่ที่แฟน ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีศิลปินคนไหนในยุคนั้นที่จะไว้ผมยาวเท่านี้

ในปี 1994 ผมยาวของเจิ้งอี้เจี้ยน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาและทำให้เขาเป็นที่นิยมมากขึ้นในปีเดียวกัน โดยเฉพาะอัลบั้มเพลงชุดที่สามของเขา ‘On Stage’ ได้รับความนิยมอย่างสูง ส่งให้เพลง 一生愛你一個 ของเขาขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่ง นับจากนี้ไป เมื่อพูดถึงดาราชายผมยาว ทุกคนจะต้องคิดถึงเจิ้งอี้เจี้ยน

ผมยาวได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปโดยปริยาย ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง เจิ้งอี้เจี้ยน บอกว่า ผมยาวนี้นำโชคดีมาให้ และเขาจะไม่ตัดมันทิ้งอย่างแน่นอน เพราะนอกจากงานเพลงแล้วนับตั้งแต่เขาไว้ผมยาว งานแสดงทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ของเขายิ่งโด่งดังมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทำให้จนถึงปัจจุบันเจิ้งอี้เจี้ยนยังคงไว้ผมทรงเดิม

 

เดินหน้าสู่งานภาพยนตร์เต็มตัว

เมื่อประสบความสำเร็จจากงานละครและงานเพลงแล้ว เจิ้งอี้เจี้ยน เดินหน้าสู่วงการภาพยนตร์เต็มตัวจากการผลักดันของผู้กำกับคนดังหวังจิง ที่ประกาศว่าจะผลักดันให้ เจิ้งอี้เจี้ยน เป็น ‘โจวเหวินฟะคนถัดไป’

เจิ้งอี้เจี้ยน ได้แสดงทั้งบทรอง บทร้าย เขาชิมลางการแสดงมาแทบทุกบทบาท ทั้งบทสมทบที่โดดเด่นมาก ในเรื่อง บันล็อก ผู้ชายทะลุเวลา (Future Cops ,1993) ได้รับบทตัวพระเอกในเรื่อง โหด เลว ดี รุ่นที่ 2 (Return To A Better Tomorrow, 1994) และรับบทพระเอกในเรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ตอน มีเธอข้างกายแม้ตายก็ยอม (The Mean Street Story , 1995) แสดงคู่กับ อู๋ เชี่ยนเหลียน นางเอกดังแห่งผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

 

เป็นพี่ใหญ่ ‘เฉินฮ่าวหนาน’ แห่งแก๊งหงซิ่ง

การเข้าฉายของ Young and Dangerous (1996) หรือ กู๋หว่าไจ๋ ภาพยนตร์แอ็กชั่นทุนต่ำที่ถ่ายทำเพียงแค่ 15 วัน กลายเป็นความโด่งดังระดับปรากฏการณ์ของวงการหนังฮ่องกงยุค 90s ที่มีส่วนปลุกหนังแนวแก๊งสเตอร์ให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการหนังที่ใกล้ซบเซาในช่วงเวลานั้น กับงานที่หยิบเอาการ์ตูนสุดฮิตของฝั่งฮ่องกงเขาที่ชื่อ Teddy Boy มาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม

กู๋หว่าไจ๋ ภาคแรกสามารถทำเงินได้สูงถึง 20 ล้านเหรียญฮ่องกง ยืนโรงฉายไปอีก 3 เดือน มีภาคต่อทั้งที่เป็นภาคหลัก และภาคย่อยต่อยอดตามออกมารวมกันเป็น 10 ภาค เป็น ‘ตำนาน’ ในช่วงท้าย ๆ ยุคทองของหนังฮ่องกง ก่อนความรุ่งโรจน์ทั้งหมดจะปิดฉากไปพร้อม ๆ กับการส่งมอบอำนาจการปกครองของเกาะฮ่องกงให้กับแผ่นดินใหญ่ในปีต่อมา

ในตอนแรก แอนดรูว์ เลา ผู้กำกับได้วางตัว หลิวเต๋อหัว รับบท ‘เฉินห้าวหนาน’ เนื่องเพราะ Young and Dangerous (1996) เป็นหนังฟอร์มใหญ่ แอนดรูว์ เลา ที่คร่ำหวอดจากการเป็นตากล้องก็อยากได้ดาราบิ๊กเนม มาสร้างความน่าสนใจให้กับหนัง

แต่หลิวเต๋อหัว ได้ปฎิเสธบทเฉินห้าวหนานไป เพราะตอนนั้น ภาพยนตร์แนวนี้ของเขามักได้เรต PG 18+ จำกัดเรตคนดู แต่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาลทั่วทั้งเอเชีย แพร่หลายในตลาดหนังยุโรปและสหรัฐอเมริกา จนทางการ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ท้วงติงว่า หนังจะส่งผลต่อการสร้างค่านิยมที่ไม่ดี มีพฤติกรรมเลียนแบบ หนังอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา ทางการฮ่องกงจึงสั่งห้ามสร้างและห้ามฉายภาพยนตร์แนวนี้อีก ทำให้หลิวเต๋อหัว เปลี่ยนแนวหนังแก๊งสเตอร์ของเขาเป็นแนวอาชญากรรม (Crime) แทน เช่น A True Mob Story (1998) หรือ ให้รักนี้ตายไปกับเขา Century of the Dragon (1999) หรือ ทะลุเหลี่ยมมังกร

หลิวเต๋อหัว จึงแนะนำชื่อนักแสดงรุ่นน้องของเขาคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากทีวีบี ชื่อ เจิ้งอี้เจี้ยน

ก่อนหน้าปี 1996 เจิ้งอี้เจี้ยน เป็นดารานักร้องวัยรุ่นที่น่าจับตามอง แต่ก็ไม่ได้มีผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาได้จริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะดาราภาพยนตร์ ‘กู๋หว่าไจ๋’ เป็นงานที่เปลี่ยนให้เจิ้งอี้เจี้ยน กลายเป็น ซูเปอร์สตาร์ เป็นการสืบทอดบทบาทนักเลงนักรักแทนที่หลิวเต๋อหัว โดยหลิวเต๋อหัว จะมีคาแรกเตอร์นักเลงร้อนแรง ดุดัน พร้อมลุย แต่เจิ้งอี้เจี้ยน เป็นรูปแบบนักเลงเยือกเย็น มาดนิ่ง

‘กู๋หว่าไจ๋’ ทำให้ภาพลักษณ์ ‘นักร้อง’ ของเจิ้งอี้เจี้ยน รวมกับกลุ่มแก๊งดาราสมทบอย่างเฉินเสี่ยวฉุน, ไมเคิล เซียะ และเจสัน จู ที่เติบโตมาจากสายแดนเซอร์ กลายเป็น ‘นักเลงบอยแบนด์’ ทำให้นอกจากเฉินห้าวหนาน ตัวละครหลักจะโด่งดังแล้ว ตัวละครอย่าง ไก่ป่า ต้าเฟย หมวย 13 อีกา แม้กระทั่งบาทหลวงก็โด่งดังไปด้วย

ความสำเร็จของกู๋หว่าไจ๋ มาจากผู้กำกับ แอนดรูว์ เลา ที่เป็นมือกำกับภาพซึ่งเป็นกล้องสองของคริสโตเฟอร์ ดอยส์ ในหนังของหว่องกาไว หลายเรื่อง แอนดรูว์ ได้ถ่ายภาพนอกสถานที่ ภาพถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องในฮ่องกงที่เต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะเป็นอะพาร์ตเมนต์สุดโทรม หรือแหล่งสถานบริการอันโด่งดังอย่างย่านจิมซาจุ่ย ที่เต็มไปด้วยแสงสียามค่ำคืน เพื่อรำลึกวิถีชีวิตของคนฮ่องกง ก่อนที่เกาะฮ่องกงจะไปรวมกับจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 1997 ทำให้ผู้ชมชาวฮ่องกงส่วนหนึ่งที่อยากจดจำภาพเช่นนี้เอาไว้เลยตีตั๋วเข้าไปชม

ทีมนักแสดงรุ่นใหม่เปลี่ยนภาพลักษณ์นักเลงซึ่งดูเหมือนกลุ่มศิลปินบอยแบนด์มากกว่า มีทั้งความเท่จากตัวละคร ‘เฉินห้าวหนาน’ และ ‘ไก่ป่า’ รวมถึงบรรดาลูกสมุนและ ‘กู๋หว่าไจ๋’ ยังทำให้เจิ้งอี้เจี้ยน กับเฉินเสี่ยวชุน (ไก่ป่า) กลายเป็นเพื่อนซี้นอกจอกันอีกด้วย

เจิ้งอี้เจี้ยน ต่อยอดความสำเร็จจาก ‘กู๋หว่าไจ๋’ ด้วยการแสดง ทั้งภาพยนตร์รักโรแมนติกที่ดัดแปลงจากการ์ตูน อย่าง Feel 100%... Once More (1996) ที่มีการสร้างออกมา 2 ภาค ภาพยนตร์กำลังภายในดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูน เรื่อง ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า (The Storm Riders, 1998) แสดงคู่กับ กัวฟู่เฉิง โดยเขารับบทเป็น ‘เนี่ยฟง’ เจ้าของเพลงเตะวายุกระซิบ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของเจิ้งอี้เจี้ยน ขึ้นสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์เอเชีย ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายและต่อมาได้เขียนเป็นหนังสือการ์ตูน เรื่อง ขี่พายุดาบเทวดา (A Man Called Hero, 1999) ในบท หัวอิงสง จนเขาได้รับฉายาว่า พระเอกแห่งภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนฮ่องกง

 

ตำนานรักสองฉี

ในปี 1999 ความรักของเส้าเหมยฉี และเจิ้งอี้เจี้ยน เข้าสู่ปีที่ 7 จู่ ๆ ทั้งสองได้ตัดสินใจเลิกกัน สาเหตุเพราะฝ่ายชายพบรักใหม่กับนักร้อง-นักแสดงสาวรุ่นน้อง ‘เหลียงหย่งฉี’ (Gigi Leung) ที่เข้ามาเป็นมือที่สาม ที่เกิดประกายไฟรักขึ้นเมื่อแสดงละครเวทีเรื่อง ‘จ้งเซี่ยเย่ขวงเสียงฉี่ว์’ (仲夏夜狂想) ร่วมกัน สุดท้ายความรักของเจิ้งอี้เจี้ยน และเส้าเหมยฉี จบลงแบบค่อนข้างอื้อฉาว เพราะสื่อและแฟน ๆ ส่วนใหญ่เชื่อว่า เจิ้งอี้เจี้ยน ได้นอกใจเส้าเหม่ยฉี ไปหานักแสดงสาวเหลียงหย่งฉี จนกลายเป็นประเด็นรักสามเส้าที่เป็นข่าวใหญ่มากในวงการบันเทิงฮ่องกงในตอนนั้น

“ตอนที่เขาเอ่ยปากว่า อยากจะลองเริ่มคบกันดู เขาบอกฉันว่าเลิกกับเส้าเหม่ยฉี ไปแล้ว” เหลียงหย่งฉี ให้สัมภาษณ์กับสื่อ

และต่อมา ความรักของเหลียงหย่งฉี กับเจิ้งอี้เจี้ยน จบลงหลังคบกันได้ประมาณ 7 ปี เช่นเดียวกันกับช่วงเวลาที่ เจิ้งอี้เจี้ยน คบกับเส้าเหมยฉี เหลียงหย่งฉี บอกว่า สาเหตุมาจากการที่ระยะหลัง เธอกับเขามีเวลาให้กันน้อยลงเรื่อย ๆ และต่างฝ่ายเริ่มรู้สึกว่า ความรักครั้งนี้ดูแล้วไม่น่าจะจบลงด้วยการแต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันได้เลย

หลังจากนั้น เจิ้งอี้เจี้ยน ก็เป็นนักแสดงสังกัดค่ายไช่น่าสตาร์ เป็นพระเอกในหนังภาคต่อของหลิวเต๋อหัว หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง เร็วทะลุนรก (烈火戰車2: 極速傳說; The Legend of Speed, 1999 หนังภาคสองของเรื่อง ยึดถนนเก็บใจไว้ให้เธอ Full Throttle, 1995), เกมปล้น คนเหนือมนุษย์ (Running Out of Time 2, 2001 หนังภาค 2 ของเรื่อง แหกกฎโหดมหาประลัย หลิว เต๋อหัว - เมิ่งเจียฮุย หรือ Yoyo Mung นำแสดง) ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาพบกับเมิ่งเจียฮุย นางเอกของเรื่องจากภาคแรก ภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ เช่น พยัคฆ์สำอางผ่าโตเกียว (Tokyo Raiders, 2000) แสดงนำกับ เหลียง เฉาเหว่ย, ศึกเทพยุทธเขาซูซัน (Zu Warriors From The Magic Mountain, 2001) ของผู้กำกับ ฉีเคอะ เป็นต้น

ต่อมา ได้เป็นนักแสดงในสังกัดค่าย JCE Group ของเฉินหลง จนถึงปัจจุบัน ผลงานภาพยนตร์ในค่ายนี้ เช่น คู่พายุฟัด (The Twins Effect, 2003), ขุนศึกตระกูลหยาง (Saving General Yang, 2012) , มังกรฟัดล่าทอง (Golden Job, 2018)

หลังจากจบเรื่องราวความรักของ 2 ฉี (เส้าเหมยฉี และ เหลียงหย่งฉี) เจิ้งอี้เจี้ยน คบหากันกับนางเอกสาว เมิ่งเจียฮุย การคบหาดูใจ 7 ปีของเจิ้งอี้เจี้ยน กับเมิ่งเจียฮุย ได้เดินทางมาถึงวันวิวาห์เพื่อเริ่มต้นการใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นทางการในปี 2013 โดยข่าวระบุว่า ทั้งสองดีใจและมีความสุขกับพิธีในวันนั้นมาก ฝ่ายชายถึงกับร้องไห้ไม่หยุด เช่นเดียวกับฝ่ายหญิงก็ไม่แตกต่างกัน โดยเพื่อนสนิทในวงการต่างอวยพรให้กับคู่บ่าวสาวมากมาย ไม่เหมือนคู่รักอื่น ๆ ที่เลิกราแล้วจะไม่ยอมพบหน้าพูดคุยกันอีก ในวันสำคัญของเจิ้งอี้เจี้ยน สองนางเอกอดีตคนรักของเขาทั้งเส้าเหม่ยฉี และ เหลียงหย่งฉี ต่างมาอวยพรให้กับเขา

ส่วนตัวเจิ้งอี้เจี้ยน เป็นคนที่เงียบ ๆ ชอบมีชีวิตส่วนตัว ไม่ค่อยออกงานสังคม หลังจากแต่งงานกับเมิ่งเจียฮุย ทั้งคู่ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ญี่ปุ่นด้วยกัน ทำให้ตั้งแต่ช่วงปี 2018 จนถึงปี 2022 เจิ้งอี้เจี้ยน หยุดรับงานแสดงและงานเพลง จนกระทั่งปี 2022 เจิ้งอี้เจี้ยน กลับมาจัดคอนเสิร์ต HERE & NOW Ekin Cheng Concert 2022 ในฮ่องกง และมาเก๊า แต่ก็มีปัญหาที่เขาถูกแฟน ๆ บอยคอต เรื่องที่เมิ่งเจียฮุย ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตของสามี แต่เธอเอาแต่พูดภาษาญี่ปุ่น จนถูกตั้งคำถามว่าเธอลืมภาษาจีนที่ใช้มาตั้งแต่เกิดไปแล้วหรือ?

เจิ้งอี้เจี้ยน นับว่าเป็นพระเอกภาพยนตร์ฮ่องกงที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลาที่วงการภาพยนตร์ฮ่องกงตกต่ำหลังจากปี 1997 ภาพยนตร์เรื่องสำคัญของเขาอย่าง กู๋หว่าไจ๋, ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า, ขี่พายุดาบเทวดา และพายุดาบดวลสะท้านฟ้า ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกิน 20 ล้านเหรียญในฮ่องกง ทำให้เมื่อมีจัดอันดับพระเอกที่มีภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดในฮ่องกง เจิ้งอี้เจี้ยน จัดอยู่ลำดับที่ 5 ด้วยรายได้รวมจากภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำทำรายได้เกิน 500 ล้านเหรียญฮ่องกง

ด้านชีวิตส่วนตัวเจิ้งอี้เจี้ยน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ และในญี่ปุ่น มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญฮ่องกง นั่นทำให้เขาหยุดรับงานในวงการไปในช่วงเวลาหนึ่งได้อย่างสบาย ๆ

ปัจจุบัน เจิ้งอี้เจี้ยน อายุ 55 ปี แล้ว เขายังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่ยังกลับมารับงานในวงการภาพยนตร์ในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ในปีนี้ (2023)

 

เรื่อง: เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย

ภาพ: เจิ้งอี้เจี้ยน ร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่จีนเมื่อปี 2018 ไฟล์จาก Getty Images ประกอบกับภาพจากภาพยนตร์ Young and Dangerous