57 ยังแจ๋วแบบ ‘กัวฟู่เฉิง’ จากแดนเซอร์ ก้าวสู่ดาวแห่งเอเชีย ออกงานในวัยเลข 5 มาดหนุ่มแน่น

57 ยังแจ๋วแบบ ‘กัวฟู่เฉิง’ จากแดนเซอร์ ก้าวสู่ดาวแห่งเอเชีย ออกงานในวัยเลข 5 มาดหนุ่มแน่น

‘กัวฟู่เฉิง’ จตุรเทพแห่งวงการบันเทิงฮ่องกงที่เต้นเก่งสุด เมื่อเขาก้าวจากชีวิตแดนเซอร์ มาเป็นดาวเด่นของวงการบันเทิง เวลาผ่านมาถึงปี 2023 เขาเพิ่งออกงานขณะอายุ 57 แต่รูปโฉมยังดูหนุ่มแน่น แถมยังมีผลงานต่อเนื่อง

  • กัวฟู่เฉิง เติบโตจากหน้าที่การงานเป็นแดนเซอร์ และนักแสดงที่ผลงานไม่ค่อยโดดเด่นนัก ก่อนแจ้งเกิดจากการเป็นนักร้อง เขาถูกจดจำในฐานะจตุรเทพที่โดดเด่นอีกคนหนึ่ง
  • แม้จะอยู่ในวัย 57 ปีแล้ว แต่รูปลักษณ์ภายนอกของกัวฟู่เฉิง ยังคงหนุ่มแน่นเมื่อปรากฏภาพเขาไปร่วมงานเกี่ยวกับแฟชั่นเมื่อปลายก.พ. 2023

จตุรเทพที่ร้องเพลงดีที่สุดคือ จางเซียะโหย่ว จตุรเทพที่หล่อเหลาที่สุดคือ หลี่หมิง จตุรเทพที่มีความพยายามที่สุดคือ หลิวเต๋อหัว ส่วนจตุรเทพที่เต้นเก่งที่สุดคือ กัวฟู่เฉิง

ในปี 1992 หนังสือพิมพ์โอเรียนทัล เดลีนิวส์ (Oriental Daily News) ตั้งฉายาจตุรเทพ (四大天王) เพื่อยกย่องนักร้องชายฮ่องกง 4 คน ที่มียอดขายแผ่นเสียง ยอดจัดคอนเสิร์ต ยอดการขอเพลงจากรายการวิทยุ ซึ่งประกอบด้วย หลิวเต่อหัว จางเซียะโหย่ว หลีหมิง และ กัวฟู่เฉิง

กัวฟู่เฉิง นับว่าเป็นดารานักร้องที่ค่อนข้างมีความพิเศษกว่าดารานักร้องคนอื่น เนื่องเพราะความโด่งดังของเขาเกิดขึ้นที่ไต้หวันก่อน ค่อยเป็นกระแสกลับมาที่ฮ่องกง ทั้ง ๆ ที่เขาเองเป็นนักแสดงของทีวีบี (TVB)

การไต่เต้าจากแดนเซอร์ สู่การเป็นนักร้อง จนถึงเป็น 1 ในจตุรเทพ เมื่อนักแสดงรุ่นเดียวกันเริ่มโรยรา กัวฟู่เฉิงกลับฟื้นคืนชีพเหมือนแมวเก้าชีวิต ด้วยการคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสองปีติด และตอนนี้ภาพยนตร์ที่เขาแสดงนำ คือภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของเกาะฮ่องกง จากภาพยนตร์ 2 คมล่าถล่มเมือง 2 (Cold War II (2016)) ก่อนที่จะถูกทำลายสถิติ จาก Warriors of Future (2022) เมื่อปีก่อน

กัวฟู่เฉิง หรือ Aaron Kwok เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว มีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 1 คน พื้นเพเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เข้าสู่วงการบันเทิงในปี ค.ศ. 1984 จากการเป็นแดนเซอร์ (นักเต้น) และนักแสดงในสังกัดค่ายสถานีโทรทัศน์ทีวีบี (TVB) แต่ยังไม่มีผลงานโดดเด่น หันไปทำงานบันเทิงที่เกาะไต้หวันอยู่พักหนึ่ง

ในปี 1990 ได้เป็นนักร้องออกอัลบั้มเพลงภาษาจีนกลาง(แมนดาริน) ประสบความสำเร็จโด่งดังมากที่เกาะไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย เป็นกระแสตีกลับมาถึงเกาะฮ่องกง ในปี 1991 เขาจึงกลับมาทำงานบันเทิงที่ฮ่องกงอีกครั้งหนึ่ง

การกลับมาที่ฮ่องกงในครั้งนั้น กัวฟู่เฉิง เองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสื่อมวลชนฮ่องกงเท่าไหร่ บางสื่อถึงกับเรียกเขาว่า “หนุ่มเท้าไฟที่หน้าตาดีหน่อยคนนั้น” กัวฟู่เฉิง เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงมาเป็นเวลา 5 ถึง 6 ปีแล้ว ในตอนแรก เขายังไม่ประสบความสำเร็จในฮ่องกง จนกระทั่งทางผู้บริหารทีวีบีนำเขาไปเปิดตัวในตลาดต่างประเทศ

ความสำเร็จของเขาที่ตลาดมาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นเหมือนการตอกย้ำให้คนเบื้องหลังในวงการบันเทิงฮ่องกงรู้สึกว่า การมีชื่อเสียงโด่งดังของเขาที่ไต้หวันเห็นทีจะไม่ใช่เพราะดวง

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีคนจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งพื้นที่นี้นับเป็นตลาดใหญ่ของภาพยนตร์ของฮ่องกง ในยุค 70s ชอว์ บราเดอร์ ได้เริ่มนำเอาภาพยนตร์แผ่นดินใหญ่ไปเผยแพร่ที่มาเลเซียและสิงคโปร์

ในยุคนั้น ทางชอว์ บราเดอร์ จึงจะเริ่มนำภาพยนตร์เป็นสินค้าหลักที่นำเสนอให้กับประเทศในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้บริหารของทีวีบี ที่มีพื้นฐานมาจากบริษัทชอว์ บราเดอร์ จึงเข้าใจตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่า หากดาราฮ่องกงคนใดเป็นที่นิยมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะดังในฮ่องกงนับว่าสูงมากทีเดียว

สำหรับกัวฟู่เฉิง จุดเด่นของเขาคือ การเต้นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและน่าประทับใจของเขา  ซึ่งการได้รับสมญานามว่า ‘Sunshine Boy’ ที่ไต้หวันนั้น นับได้ว่ามาจากจุดเด่นข้อนี้ และจุดเด่นข้อนี้อีกเช่นกันที่ได้รับการยอมรับจากคนฮ่องกง

ในช่วงเวลาแห่งความพยายาม ความสำเร็จของเขาส่วนหนึ่งมาจากเพื่อนสาว เหลียงเสี่ยวเหม่ย ผู้จัดการส่วนตัวของเขาในตอนนั้น

“เราเป็นเหมือนพี่กับน้อง หลายปีมานี้เธอสอนผมให้รู้จักคุณค่าของความเป็นคน สอนผมเรื่องการวางตัว และยังคอยแนะนำเรื่องการจัดการเรื่องงานอีกมาก เรียกได้ว่าเธอเป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจมากที่สุด” กัวฟู่เฉิง กล่าวถึงเหลียงเสี่ยวเหมย

เหลียงเสี่ยวเหม่ย เป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ในวงการเพลง ด้วยฝีมือการเขียนเนื้อเพลงที่เยี่ยมยอดและพรสวรรค์ในงานด้านการกำกับมิวสิควีดีโอ งานมิวสิควีดีโอทุกชิ้นของเธอมีความแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ ผลงานของเธอนั้นถือได้ว่าเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของทีวีบี เนื่องจากมีเรตติ้งอยู่ในระดับสูงในตอนนั้น

เหลียงเสี่ยวเหมย สร้างภาพลักษณ์ของกัวฟู่เฉิงขึ้นใหม่ ทั้งการวางแผนสู่ตลาดวงการเพลงจีนแผ่นดินใหญ่ รักษาฐานแฟนคลับในฮ่องกง ไต้หวัน และอาเซียน รวมถึงการจัดการให้กัวฟู่เฉิง เซ็นสัญญากับ Warner Music Hong Kong ด้วยค่าตัว 30 ล้านเหรียญฮ่องกงกับสัญญา 2 ปี ภาพลักษณ์การแสดงคอนเสิร์ตที่มีสีสันอลังการล้วนมาจากแนวคิดของเธอ ทำให้กัวฟู่เฉิง ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในจตุรเทพอย่างภาคภูมิ

ซึ่งนักร้องพี่ใหญ่ของค่ายวอร์เนอร์ในขณะนั้นคือ หลิวเต๋อหัว ซึ่งตัวหลิวเต๋อหัว เองก็ออกมาประกาศต้อนรับน้องใหม่อย่างกัวฟู่เฉิง ด้วยความดีอกดีใจ วันที่กัวฟู่เฉิง เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักร้องของวอร์เนอร์นั้น หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับพากันนำรูปที่หลิวเต๋อหัว กำลังลงมือทำผมให้กับกัวฟู่เฉิงงด้วยตัวเอง และบนใบหน้าของทั้งสองก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

ในขณะนั้น ‘จตุรเทพ’ ฮ่องกงแบ่งแยกค่ายอย่างชัดเจน จางเซียะโหย่ว กับหลี่หมิง เป็นพยัคฆ์อยู่ในค่ายยักษ์ Polygram ส่วนหลิวเต๋อหัว กับกัวฟู่เฉิง เป็นสองมังกรในค่าย  Warner Music

แม้ทั้งสองค่ายไม่ได้ออกประกาศทำศึกกันอย่างชัดเจน แต่ในขณะนั้น วงการเพลงฮ่องกงนับว่าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดในฮ่องกงเท่านั้น แต่หมายถึงในตลาดทั่วเอเซีย การแข่งขันในวงการเพลงนั้นมีสูงมาก แม้กระทั่งใน 4 จตุรเทพเอง จตุรเทพแต่ละคนจะมีความโดดเด่นด้านงานแตกต่างกันไป โดยกัวฟู่เฉิง ที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นแดนเซอร์ จึงกลายเป็นจตุรเทพที่มีความสามารถด้านการเต้นมากที่สุดได้ จนรับฉายาเป็น ‘ไมเคิล แจ็คสัน แห่งฮ่องกง’

 

หลิวเต่อหัว นำ กัวฟู่เฉิง เข้าสู่วงการภาพยนตร์

ในยุค 90s ดาราฮ่องกงระดับซูเปอร์สตาร์ มักจะจับงานบันเทิง 3 อย่างคือ ร้องเพลง แสดงภาพยนตร์ และแสดงละคร (เหลียงเฉาเหว่ย กับ เฉินหลง เองก็เคยมีผลงานเพลง)

เส้นทางวงการภาพยนตร์ของกัวฟู่เฉิง นั้นถูกสนับสนุนโดยพี่ใหญ่หลิวเต๋อหัว ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ตำรวจตัดตำรวจภาค 2’ (Lee Rock II 1991) โดยกัวฟู่เฉิง มารับบทเป็นลูกชายของเขา และในหนังเรื่อง ‘ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้’ (Saviour Of The Saul 1992) ที่ออกฉายแล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นภาพยนตร์แจ้งเกิดของกัวฟู่งเฉิง ซึ่งกัวฟู่เฉิง ในบท ‘จิ้งจอกเงิน’ ที่ทำไฮไลท์ผมเป็นสีเงินก็ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างมาก

ดังนั้น นอกจากกัวฟู่เฉิง บริษัทเจ้าของหนังจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์แล้ว ร้านทำผมต่างได้อานิสงส์จากแฟชั่นไฮไลท์ในครั้งนั้นด้วย และด้วยบทบาทการแสดงที่เยี่ยมยอดของกัวฟู่เฉิงในบท ‘จิ้งจอกเงิน’ ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปีนั้น

หลิวเต๋อหัว ในฐานะเจ้าของหนังและนักแสดงนำชายในเรื่อง ‘ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้’ ซึ่งนับว่าถูกกัวฟู่เฉิง แย่งความโดดเด่นจากภาพยนตร์ไปจากเขา แต่หลิวเต๋อหัว ก็ไม่มีทีท่าไม่พอใจ ซ้ำยังสนับสนุนเขาให้รับบทภาคต่อ ‘ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ’ ภาค 2 - A Moment of Romance II (1993) และอีกหลายต่อหลายเรื่อง

ความสัมพันธ์ฉันท์พี่ชายน้องชาย ต่างเติมเต็มให้กัน หลิวเต๋อหัว เป็นพี่ใหญ่ที่คอยแนะนำทุกอย่างให้กัวฟู่เฉิง และให้โอกาสสำคัญกับเขามาโดยตลอด หลิวเต๋อหัว เหมือนเป็นพี่ใหญ่ที่เติมเต็มให้กัวฟู่เฉิง ในปี 1990 กัวฟู่เฉิง เสียพี่ชายไปจากการปล้นร้านทองที่พี่ชายเขาต้องการปกป้องทรัพย์สิน ซึ่งขณะที่พี่ชายของเขาเสียชีวิต ตัวเขาไม่อยู่ที่ฮ่องกง สื่อในยุคนั้นมองความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในรูปแบบการเติมเต็มให้แก่กัน

ซึ่งในรูปแบบความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในตอนนั้น ระหว่างหลิวเต๋อหัว และกัวฟู่เฉิง ต่างก็ถูกประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศเลือกให้เป็น ‘คนรักในฝัน’ บางสื่อยังเล่นข่าวว่า ขอแค่กัวฟู่เฉิง เอ่ยปากเพียงคำเดียว ไม่ว่าหลิวเต๋อหัว จะอยู่ที่ไหน เขาก็พร้อมจะซิ่งรถเพื่อไปเจอหน้ากัวฟู่เฉิง ทันที และยังมีข่าวด้านลบอีกมากมายที่ทำให้ทั้งสองคนโกรธจนหน้าแดงได้

ยิ่งโดยเฉพาะการเปลี่ยนภาพลักษณ์การแสดงและนักร้องของกัวฟู่เฉิง เนื่องเพราะความหน้าเด็กและบุคลิกน้องคนสุดท้องของเขา ทำให้เกิดปัญหาในแง่การแสดง เพราะหานางเอกมาประกบกับเขาอย่างไรไม่ให้นักแสดงสาวเหล่านั้นดูเป็นพี่สาวของเขา ในยุคนั้น ก็จะมีการจับคู่ดาราหญิงดาราชายยอดนิยมให้เป็นเหมือนคู่จิ้นในปัจจุบัน เพื่อต่อเติมความรู้สึกจินตนาการของแฟนหนังแฟนละครต่อเนื่องความรู้สึกและความนิยมของดาราอย่าง หลิวเต๋อหัว กับ กวนจือหลิน หรือเหลียงเฉาเหว่ย กับจางม่านอวี้ แต่สำหรับกัวฟู่เฉิง เขาดูเด็กเกินไปแม้อายุจะไม่น้อยแล้ว

เหลียงเสี่ยวเหม่ย จึงให้เขาปรับลุคโชว์ความเซ็กซี่ของรูปร่าง ซึ่งตอนแรกมีกระแสลบออกมาเยอะในฮ่องกง ที่จะออกแนวปลื้มปริ่มคือประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศของที่นั่น แตกต่างกับตลาดไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ยิ่งกัวฟู่เฉิง แสดงออกด้านความเซ็กซี่ความนิยมของเขายิ่งฮิตถล่มทลาย แต่ข่าวการเป็นเกย์ก็ยิ่งหนักขึ้นไปด้วย

ในช่วงของการโปรโมตอัลบั้ม ‘ขวองเหย่จือเฉิง’ กัวฟู่เฉิง ไปปรากฏในทุกที่ด้วยการแต่งตัวแบบใหม่ เมื่อเขาขึ้นไปบนเวที ทั้งร้องทั้งเต้นอย่างเร่าร้อนก็เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ได้อย่างสนั่นหวั่นไหว

“การที่ผู้ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาโชว์แผงอกไม่ได้หมายความว่า จะพูดถึงแต่เรื่องเซ็กซ์นี่ครับ แต่ยังบ่งบอกถึงเรื่องของความแข็งแรงได้ด้วยนี่” กัวฟู่เฉิง ออกมาตอบโต้สื่อมวลชน ที่ว่าเขาจงใจขายเซ็กซ์บนเวทีคอนเสิร์ต

เหลียงเสี่ยวเหม่ย เป็นเพื่อนที่คอยผลักดันให้กัวฟู่เฉิง ก้าวสู่วงการเพลงอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เขายังเป็นแดนเซอร์และศิลปินฝึกหัดในค่ายทีวีบี ดังนั้น ในทุกครั้งที่เขาขึ้นเวทีไปรับรางวัลของทุกสถาบัน ประโยคแรกที่เขาพูดในทุกเวทีก็คือ

“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเสี่ยวเหม่ย” เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของเขาที่นั่งน้ำคลออยู่ข้างล่างเวทีไปด้วยความตื้นตันใจในวินาทีแห่งความสำเร็จของเพื่อน และเพื่อนก็ยังไม่ลืมว่าเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันอย่างไร 

ต่อมา กัวฟู่เฉิง ได้เป็นนักแสดงสังกัดค่ายโกลเด้นฮาร์เวสต์ ชื่อเสียงของกัวฟู่เฉิง โด่งดังมาถึงขีดสุด ในปี 1998 เมื่อเขาได้รับเลือกให้ร่วมแสดงในหนังกำลังภายในฟอร์มใหญ่อย่าง ‘ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า’ - The Storm Riders (ค.ศ. 1998)  ในบทจอมยุทธ ‘ปู้จิ้งหวิน’ หัวหน้าหอเมฆา ผู้ไม่เคยหลั่งน้ำตา ในภาพยนตร์กำลังภายในดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายร่วมแสดงคู่กับ เจิ้ง อี้เจี้ยน กัวฟู่เฉิงมีผลงานที่โดดเด่นหลายเรื่อง เช่น เหิรเกินนรก - 2000 AD

กระทั่งในปี 2005 ความเป็นนักแสดงตัวจริงของ กัวฟู่เฉิง ถึงจะเริ่มได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรก เมื่อหนังอาชญากรรม โคตรคน 3 คม ส่งให้เขาสามารถคว้ารางวัลม้าทองคำได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

และในปีต่อมา กัวฟู่เฉิง ก็มีชื่อชิงรางวัลในสถาบันใหญ่ทุกแห่งของจีนอีกครั้งจากหนังชีวิตสุดเข้มข้นอย่าง ‘After the Exile’ ที่ว่าด้วยพ่อผู้ติดการพนัน กับลูกชายตัวน้อยสุดท้าย ‘After the Exile’ คว้ารางวัลม้าทองคำได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน จนยกระดับฐานะของเขาในวงการหนังจีนขึ้นมาทันที

และความสำเร็จของ ‘Cold War’ ภาค 1 และ ภาค 2 ที่มีหลิวเต๋อหัว โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้และรับบทรับเชิญเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในภาค 1 ก่อนที่ภาค 2 Cold War 2 จะผลักดันให้กัวฟู่เฉิง เป็นดารานำที่มีหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของฮ่องกงอย่างเป็นประวัติการณ์ในการเป็นนักแสดงของเขา

ขณะที่งานฟอร์มใหญ่ที่เขาประกบคู่กับโจวเหวินฟะ ในหนังแอ็คชั่นเรื่อง ‘Project Gutenberg’ กัวฟู่เฉิง รับบทเป็นนักต้มตุ๋นติดคุกที่เมืองไทยก่อนถูกส่งตัวไปฮ่องกง และเข้าไปพัวพันกับคดีปล้นเงินเถื่อนและการฆาตกรรม เป็นแนวหนังอาชญากรรมระทึกขวัญสไตล์ฮ่องกง ออกฉายเมื่อปี 2018 และได้เข้าชิงรางวัลทั้งสาขานักแสดงและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในฮ่องกงฟิล์มอวอร์ดส์ในปีนั้น

ในปี 2023 กัวฟู่เฉิงมีผลงานโฆษณา Hello Hong Kong สนับสนุนการท่องเที่ยวฮ่องกงออกมาช่วงต้นปี และมีผลงานภาพยนตร์ ‘Where the Wind Blows’ ที่เขานำแสดงกับ ซูเปอร์สตาร์เอเชียอย่างเหลียงเฉาเหว่ย ผลงานเขียนบทและกำกับของ ฟิลิป ยุง ผู้กำกับ ‘ฆาตกรรมจำยอม Port of Call’ (2015) และ ภาพยนตร์ ‘The​ White Storm 3’ (扫毒3)​ ที่กัวฟู่เฉิง นำแสดงร่วมกันกับ หลิวชิงหวิน​ และ  กู่เทียนเล่อ​ ผลงานกำกับของ​เฮอร์แมน เหยา

ในวัย 57 ปี ของกัวฟู่เฉิง เขายังคงครองความนิยมของแฟน ๆ อย่างยาวนาน ทำให้จนถึงปัจจุบัน กัวฟู่เฉิง ยังคงสร้างความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะเขาสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามแต่ละยุคสมัย ทั้งด้านแฟชั่น การร้องเพลง รวมถึงการแสดงในบทบาทที่แตกต่าง

หากจะนับไปปีนี้นับว่าเป็นปีที่ครบรอบ 31 ปี ในการสถาปนาจตุรเทพ หากมองย้อนไป จตุรเทพคนอื่นยังคงคาแรกเตอร์เดิมแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงกัวฟู่เฉิงที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

 

เรื่อง: เพจ เก้ากระบี่เดียวดาย

ภาพ: (ซ้าย) กัวฟู่เฉิง ในการแสดงเมื่อปี 2016 (ขวา) กัวฟู่เฉิง ในงานเมื่อก.พ. 2023 ไฟล์จาก Getty Images