31 ธ.ค. 2568 | 14:52 น.

ในวันที่การเลือกตั้งปี 2569 ควรเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เราขอโทษที่ตลอดหลายปีของความขัดแย้งทางการเมือง คำที่เราเลือกใช้กับคนรุ่นถัดมาไม่ใช่คำว่า ‘ความหวัง’ แต่คือคำว่า ‘อดทน’ เราเคยบอกคุณว่า บ้านเมืองมันเป็นแบบนี้ การเมืองมันก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเลือกตั้งครั้งหน้า ทุกอย่างก็คงดีขึ้นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปคำว่า ‘เดี๋ยว’ กลับยืดยาวออกเป็นหลายวาระ หลายรัฐบาล หลายความฝันที่ถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีคำอธิบาย
เราขอโทษที่ส่งต่อความรู้สึกที่ทำให้คุณอดทน กับความไม่เป็นธรรม แทนที่จะบอกให้คุณตั้งคำถามกับมัน อดทนกับระบบการศึกษาที่ไม่ทันโลก อดทนกับค่าแรงที่ไม่ทันชีวิต อดทนกับการเมืองที่ไม่เคยฟัง และอดทนกับอนาคตที่ถูกตัดสิน โดยคนที่ไม่ต้องอยู่กับผลลัพธ์นั้น
ความอดทนถูกยกให้เป็นคุณธรรมสูงสุด ในขณะที่การตั้งคำถามถูกทำให้ดูเป็นความใจร้อน
การวิพากษ์วิจารณ์ถูกมองว่าเป็นการสร้างความแตกแยก และการเรียกร้องสิทธิถูกแปะป้ายว่าไม่รู้จักกาลเทศะ
เราปล่อยให้วัฒนธรรมแบบนี้ค่อย ๆ กัดกินความหมายของประชาธิปไตย จนเหลือเพียงพิธีกรรมที่เกิดขึ้นทุกไม่กี่ปีโดยไม่แตะต้องโครงสร้างใดเลย การเลือกตั้งควรเป็นช่วงเวลาที่สังคมทบทวนตัวเอง ว่าประเทศควรเดินไปทางไหน ใครควรเป็นคนตัดสิน และกติกาที่ใช้อยู่ ยุติธรรมหรือไม่ แต่หลายครั้งที่ผ่านมาการเลือกตั้งถูกลดทอน เหลือเพียงการตัดสินใจระหว่าง ‘ตัวเลือกที่แย่น้อยกว่า’ ไม่ใช่การเลือกอนาคตที่ดีกว่า
เรามองเห็นนโยบายระยะสั้นและระยะยาวจำนวนไม่น้อย ที่ถูกเสนอขึ้นมาพร้อมความหวัง แต่กลับทิ้งความรู้สึกเสียโอกาส เอาไว้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงตั้งต้น
ตัวอย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวเกินกว่าจะมองข้าม คือการถกเถียงเรื่องการปรับโครงสร้างการเกณฑ์ทหาร ในช่วง 6–7 ปีที่ผ่านมา เราเห็นคนรุ่นใหม่จำนวนมากเคยเชื่อว่า สังคมนี้อาจกล้าพอจะตั้งคำถามกับระบบเดิม เพื่อเปิดทางให้ชีวิตของพวกเขามองไปข้างหน้าได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังนั้นกลับถูกแขวนค้างไว้ ระหว่างคำสัญญา การศึกษาเชิงนโยบาย และการเลื่อนออกไปโดยไม่มีเส้นตาย จนคนที่เคยหวังเริ่มเรียนรู้ว่า บางเรื่องอาจไม่ใช่เรื่องของความเหมาะสม แต่เป็นเรื่องของอำนาจที่ไม่อยากถูกแตะต้อง
ในขณะเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากสภาพสังคม ครอบครัว และต้นทุนชีวิตที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ก็ยังคาดหวังว่า รัฐจะมีบทบาทมากกว่าการขอให้อดทน ต่อไปอีกระยะ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลดภาระค่าครองชีพอย่างโครงการคนละครึ่ง หรือนโยบายโครงสร้างอย่างระบบขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงได้ เช่น รถไฟฟ้าราคาเดียวตลอดสาย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเยียวยา แต่คือความหวังว่าชีวิตจะไม่ถูกบีบให้เลือกอยู่เสมอระหว่างการดิ้นรนกับการยอมแพ้
แต่บ่อยครั้งนโยบายเหล่านี้กลับปรากฏขึ้นในฐานะความช่วยเหลือชั่วคราว มากกว่าจะเป็นการออกแบบอนาคตระยะยาว และเมื่อความช่วยเหลือสิ้นสุดลง ภาระทั้งหมดก็ถูกส่งกลับมายังประชาชนฝ่ายเดียวอีกครั้ง พร้อมคำอธิบายเดิม ๆ ว่า ประเทศต้องรอจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้
ตลอดปี 2568 เราได้เห็นปรากฏการณ์มากมายที่ประดังเข้ามา ราวกับแผลที่ถูกปล่อยทิ้งไว้จนเน่า และปะทุขึ้นพร้อมกันในปีเดียว ตั้งแต่เหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้อาคารถล่ม เปิดโปงให้เห็นว่า องค์กรซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินแผ่นดิน กลับไม่อาจตรวจสอบตัวเองได้ และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถให้คำอธิบายกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา
ขณะเดียวกัน ขบวนการสแกมเมอร์ที่ต้มตุ๋นตั้งแต่ประชาชนทั่วไปไปจนถึงนายกรัฐมนตรี กลายเป็นภาพสะท้อนของรัฐที่ตามไม่ทันอาชญากรรมยุคใหม่ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนรัฐบาลกลางคัน ท่ามกลางเหตุการณ์ซ้อนทับมากมายที่เผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของการบริหารประเทศ
ความบกพร่องเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เศรษฐกิจหรือการเมือง แต่ลุกลามไปถึงพื้นที่ที่ควรเป็นความเป็นมืออาชีพของชาติ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการกีฬาระดับภูมิภาคอย่างซีเกมส์ ไปจนถึงประเด็นความมั่นคงและชาตินิยมกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่หลายครั้งรัฐเลือกมองข้ามสิทธิพื้นฐานของการเกิดมาเป็น “มนุษย์”’
เราขอโทษที่ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมาก ไม่เหลือคาดหวังอะไรจากการเมือง ตั้งแต่ยังไม่ทันได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ควรเป็นเพียงการนับคะแนน เพื่อพิสูจน์ว่าระบบยังเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร แต่เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่ผ่านมาเรามักขอให้คุณอดทนไปก่อน เพื่อรักษาความสงบมากกว่าที่จะยอมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง
เรากลัวความวุ่นวาย กลัวความขัดแย้ง กลัวการตั้งคำถามกับอำนาจ กลัวการเสียสมดุลที่คุ้นชินจนลืมไปว่า ประเทศที่ไม่กล้าเปลี่ยนคือประเทศที่บังคับให้คนรุ่นใหม่ ต้องแบกรับภาระจากความล้มเหลวของคนรุ่นก่อน
เราใช้คำว่า ‘เสถียรภาพ’ เป็นเหตุผลในการไม่ฟังเสียงประชาชน ใช้คำว่า ‘ความมั่นคง’ เป็นข้ออ้างในการปิดพื้นที่ถกเถียงและใช้คำว่า ‘กาลเทศะ’ เป็นกำแพงขวางความจริง ในหลายช่วงเวลาการเมืองไทยไม่เคยขอความร่วมมือจากประชาชน แต่ขอเพียงความเงียบ
เราปล่อยให้การเมืองกลายเป็นเรื่องของคนบางกลุ่มในขณะที่ประชาชนถูกลดบทบาท เหลือเพียงผู้ไปใช้สิทธิในคูหาแล้วกลับมารอผลลัพธ์อย่างอดทน แต่ชีวิตของคุณไม่ควรถูกผูกไว้กับคำสัญญา ที่ไม่มีเส้นตายและอนาคตของประเทศ ไม่ควรถูกฝากไว้กับความอดทนของประชาชนฝ่ายเดียว
การเลือกตั้งปี 2569 คืออีกหนึ่งจุดตัดสำคัญไม่ใช่แค่ของการเมือง แต่ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน มันควรเป็นช่วงเวลาที่คำถามสำคัญถูกถามอีกครั้ง นโยบายนี้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือไม่ กติกานี้เป็นธรรมหรือยัง อำนาจนี้ถูกตรวจสอบได้จริงแค่ไหน
และเหนือสิ่งอื่นใดคือคำถามว่า ประเทศนี้ยังต้องการให้คนรุ่นใหม่อดทนต่อไปอีกกี่ปี เราขอโทษ ที่คนรุ่นก่อนจำนวนไม่น้อยเลือกความสงบในระยะสั้น เหนือความยุติธรรมในระยะยาว
เลือกไม่แตะโครงสร้าง เพราะมันยุ่งยากเลือกไม่เปลี่ยนกติกาเพราะมันกระทบผู้มีอำนาจ และเลือกไม่ฟังเสียงที่ต่างเพราะมันทำให้ไม่สบายใจ
ผลลัพธ์คือ ประเทศที่ยังวนอยู่กับปัญหาเดิมขณะที่โลกเดินหน้าไปไกลกว่าเดิมทุกวัน หากในวันหนึ่ง คุณหันกลับมาถามว่า “ทำไมประเทศนี้ถึงยังเป็นแบบนี้” คำตอบอาจไม่ใช่เพราะคุณไม่พยายามพอ แต่เพราะเราใช้ความอดทนไปถ่วงเวลาที่ควรเป็นห้วงของการเปลี่ยนแปลง
เราขอโทษที่ทิ้งมรดกเป็นความอดทนแทนที่จะทิ้งมรดกเป็นความกล้าหาญ ทิ้งคำแนะนำให้รอแทนการเปิดทางให้คุณเดิน และถ้าในการเลือกตั้งปี 2569 คุณเลือกจะไม่อดทนอีกต่อไป
เลือกจะตั้งคำถามกับทุกคำสัญญา เลือกจะไม่เชื่อเพียงวาทกรรม เลือกจะใช้สิทธิอย่างมีความหมาย
รวมถึงการออกเสียงเพื่อ ‘ประชามติรัฐธรรมนูญ’ เพื่อบอกให้ชัดว่ากติกาสูงสุดของประเทศควรเป็นของประชาชน
ไม่ใช่ของใครบางกลุ่ม
แม้การเลือกนั้นจะทำให้ใครบางคนไม่สบายใจ
แม้มันจะเขย่าความคุ้นชินของสังคม
บางทีนั่นอาจเป็นการขอโทษที่แท้จริงที่สุด
ที่คนรุ่นถัดไปทำให้ประเทศนี้ได้แทนเรา
นัฐพงษ์ โห้เฉื่อย
รักษาการบรรณาธิกา