26 ธ.ค. 2568 | 14:19 น.

KEY
POINTS
“ใกล้หมดปีแล้ว ต้องเช็กดวงปีหน้าหน่อยแล้ว”
“ช่วงนี้มีแต่เรื่องแย่ ๆ ต้องมีดาวย้ายแน่ ๆ เลย”
“ต้องนำเสนอโปรเจ็กต์ไหม ต้องไปไหว้ขอหลวงพ่อโสธรหน่อยแล้ว”
“คลิปดูดวงเดือนหน้ามาแล้ว รีบเปิดฟัง”
“กำลังจะออกรถใหม่ คุณเซลส์รอแป๊บนึงนะคะ ขอหาฤกษ์ยามในการออกรถแป๊บนึง”
ความเชื่อ การมู การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องปกติที่แทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของฉัน อยู่ในชีวิต...ความคิด... ลามไปถึงจิตใต้สำนึก ยิ่งตอนมีปัญหา สมองคิดหาทางไม่ออก ยิ่งนึกถึง ‘หมอดู’ หรือตำแหน่งที่ฉันมอบให้อย่างเป็นทางการว่า ‘ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ’ เพราะนอกจากพูดคุยเรื่องดวงชะตา ยังเป็นที่ปรึกษาว่าควรจะไปมูที่ไหน แก้เคล็ดยังไง ถ้าจะออกรถ ต้องออกรถสีอะไร ฤกษ์ออกรถเมื่อไหร่ ถ้าช่วงไหนดวงไม่ดี จะต้องพกพระอะไรเพื่อให้แคล้วคลาด
ขนาดจะส่งโปรเจ็กต์เพื่อให้พิจารณา ยังต้องถามท่านที่ปรึกษา (ทางจิตวิญญาณ) ว่าควรส่งช่วงไหนดี โปรเจ็กต์ถึงจะได้รับการอนุมัติ
ถ้าให้จัดอันดับ ฉันน่าจะเป็น ‘สายมูระดับกลาง’ เพราะว่าฉันยังไม่ลงทุนบินไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้ลงทุนในการบูชาอย่างอลังการ เน้นมูตามความสะดวกและความสบายใจเป็นหลัก
และแน่นอน ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ ‘เคย’ ใช้ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ใช้การมูในการชี้นำชีวิต...เพียงเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง
ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังหางานทำ จากฟรีแลนซ์ที่มีอิสระในการทำงาน ไปเป็นพนักงานประจำ เพียงเพราะทำตามคำแนะนำของหมอดูว่า ถ้าทำงานประจำจะมั่นคงขึ้น การงานก้าวหน้า บวกกับครอบครัวก็อยากให้ทำงานประจำ ทั้งที่ตัวเองมีเป้าหมายงานที่อยากทำคือการเป็น ‘นักเขียน’
เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นนักเขียนได้ไหม บวกกับเส้นทางชีวิตตอนนั้นที่ไม่รู้จะไปยังไงต่อ เลยไปสมัครงานในบริษัทแห่งหนึ่งตามที่คนอื่นแนะนำ แม้ลึก ๆ ในใจรู้สึกว่าการทำงานที่นี่ไม่น่าจะเหมาะกับเรา บวกกับผู้คนที่ฉันต้องทำงานด้วยมายเซ็ตไม่ตรงกัน เสียงในหัวบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา ความจริง ฉันสามารถตัดสินใจไม่ทำงานนั้นได้ แต่ก็ยังฝืนเพียงเพราะยังยึดกับคำพูดของหมอดู...โดยหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น และละความอยากเป็นนักเขียนไป
สุดท้ายฝืนทำงานได้ 6 เดือน เจอปัญหาในการทำงานมากมาย และกระทบกระเทือนจิตใจจากผู้คนรอบตัว ความมั่นใจในตัวเองถูกทำลาย จิตใจหม่นหมอง เป็น 6 เดือนที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาทำงาน ในที่สุดตัดสินใจลาออกเพื่อประคองความรู้สึกตัวเอง โดยไม่สนใจความก้าวหน้าที่ถูกหยิบยื่นมา
การลาออก คือการกลับมาฟังเสียงในหัว และเสียงหัวใจของตัวเองอีกครั้ง!
แต่ผลจากการเลือกครั้งนั้นทำให้เสียสุขภาพจิตไปเป็นปี ผลกระทบยังไม่สิ้นสุด การรักษาจิตใจตัวเองต้องใช้เวลา คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำอะไรเลย
ถึงจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากทางจิตใจมาได้ สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจคือความเสียดาย ที่ตอนนั้นฉันตัดสินใจเพราะคำพูดของคนอื่น แทนที่จะต่อสู้เพื่อเสียงในหัวของตัวเองให้หนักแน่นกว่านี้ ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าฉันไม่ทำงานที่นี่ จิตใจฉันจะเป็นยังไง มันมีความค้างคาใจ
ความรู้สึกเสียดายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผลลัพธ์ไม่ดี หรือเพราะผลไม่เป็นตามที่หมอดูคาดไว้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เราทิ้งความสามารถในการตัดสินใจของตัวเองไป พึ่งพาอย่างอื่นมากกว่าพึ่งพาตัวเอง และสุดท้ายคนที่รับผลก็คือตัวเองเท่านั้น
ยังโชคดีที่มีเพื่อน ครอบครัว ที่ช่วยกันเยียวยาจิตใจ พร้อมกับบอกว่า “อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่ง แค่กล้าตัดสินใจลาออกเพื่อตัวเอง ถือว่าเก่งแล้ว”
คำพูดเหล่านั้นดึงสติฉันได้ดี...ใช่ การลาออกคือการดึงความสามารถในการตัดสินใจของฉันกลับมา
แค่นี้ ใจก็ฮึดสู้...และเริ่มที่จะสานฝันตัวเองด้วยการทำให้ตัวเองเป็นนักเขียนให้ได้ แต่...ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณก็ยังอยู่ในชีวิต
แม้คราวนี้ปรึกษาทางจิตวิญญาณจะบอกว่าเส้นทางนี้จะลำบาก ไม่เห็นอนาคต ชีวิตลุ้นระทึกตลอดเวลา แต่ ‘เสียงในหัว’ ของตัวเรากลับเชียร์ให้ลุยเลย ลองให้ดูจะได้ไม่รู้สึกเสียดาย
ฉันตัดสินใจลุยกับการเป็นนักเขียน จนในที่สุดฉันก็ทำได้...ตอนนี้ฉันเป็นนักเขียนอย่างที่ตั้งใจและสามารถใช้อาชีพนี้เลี้ยงดูตัวเองได้เหมือนอาชีพอื่น ๆ
ความรู้สึกเสียดายที่เคยคิดว่า “ถ้าตอนนั้นเราเชื่อตัวเองคงดีกว่านี้” ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
และการมูของฉันก็เปลี่ยนไป!
จากที่ปรึกษาหมอดูแล้วนำคำทำนายไปใช้นำทาง เปลี่ยนเป็นนำคำทำนายมาเป็นเพียงข้อมูลในการตัดสินใจ โดยฟังเสียงในหัวของตัวเอง ตัดสินใจในสิ่งที่ตัวเองควบคุมได้เช่น การเลือกงานที่ทำ การเตรียมรายละเอียดของงานที่จะนำเสนอให้เรียบร้อย เต็มที่เท่าที่ตัวเองจะทำได้ แม้แต่เรื่องเรียน อยากเรียนต่ออะไร อยากทำอะไร ถ้าพิจารณาดีแล้ว มีเวลา ก็ตัดสินใจลุย อย่าไปกลัว ผลออกมาเป็นยังไงถือว่าเราตัดสินใจเอง รับได้ทุกอย่าง
แต่...ใช่ว่าการมูในชีวิตจะหายไป ฉันยังทำเหมือนเดิม เช็กดวงประจำปี ฟังดวงจากหมอดูออนไลน์ หาฤกษ์หายาม เลือกสีมงคล และที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณก็ยังคงอยู่ในชีวิต เป็นการมูที่ไม่ได้หวังปาฏิหาริย์ แต่เป็นการมูเพื่อภาวนาในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพื่อความสบายใจล้วน ๆ
นอกจากการมูจะเปลี่ยนไปแล้ว ฉันก็มีพิธีกรรมบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิต นั่นคือ ‘พิธีกรรมการคุยกับตัวเอง’ เมื่อต้องทำอะไรสักอย่างที่สำคัญ เพราะบางครั้ง เสียงในหัวมันมีมากกว่าหนึ่ง เช่น เมื่อมีคนติดต่อให้เขียนงาน ตัวตนเวอร์ชันอารมณ์นำ บางครั้งก็เหนื่อยล้าจนเกินกว่าจะตอบตกลงรับงาน ส่วนอีกตัวตนหนึ่งกลับสนใจในงานนี้มาก และตัวตนที่รับข้อมูลจากการมูกลับบอกว่า งานนี้จะเหนื่อยและหนักนะ ไหวเหรอ
เมื่อเสียงในหัวไม่เสถียร แถมถกเถียงกันอย่างจริงจัง ให้ความรู้สึกว่า ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวแน่นอน ฉันมีตัวเองในเวอร์ชันต่าง ๆ เคียงข้างเสมอ แถมเคียงข้างแบบวุ่นวาย จนบางครั้งเสียงก็ตีกันในหัว จนเกิดการต่อรองกับตัวเองว่า ลองทำตามที่ตัวเองอยากทำ ถ้าสำเร็จ จะซื้อ ‘เป็ดย่าง’ เป็นรางวัลให้ตัวเอง
เป็ดย่างในวันนั้นคือจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมมูตัวเองในวันนี้
เป็ดย่างเป็นเสมือนของ ‘แก้บน’ เพื่อให้มีเป้าหมายในการทำอะไรสักอย่าง และเป็นการแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า “เราเชื่อมั่นในตัวเอง”
ทำไมต้องเป็นเป็ดย่าง?
ง่าย ๆ เลย เพราะเป็นคนชอบกินเป็ดย่าง มีเจ้าประจำที่ชอบ และเป็ดย่างยังเป็นอาหารที่ที่บ้านชอบกิน จะซื้อกินเมื่อมีโอกาสพิเศษ เพราะเป็ดย่างหนึ่งตัวของเจ้าอร่อยประจำบ้าน ราคาก็แรงสำหรับนักเขียนฟรีแลนซ์ที่ต้องระมัดระวังในการใช้เงิน
เมื่อตัดสินใจแล้ว พร้อมกับมีของแก้บนให้กับตัวเองแล้ว ก็ลงมือทำ เป้าหมายคือทำให้ตามเป้าหมาย พร้อมกับกาดอกจันไว้ว่า ต้องเป็นเป้าหมายที่เราควบคุมได้ เช่น เป้าหมายคือการตัดสินใจส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์ที่คิดว่าไกลเกินเอื้อม เขาอาจจะไม่ตอบรับงานฉันก็ได้ แต่เมื่อส่งแล้ว เราก็สามารถให้เป็ดย่างกับตัวเอง เพราะทำสิ่งที่เราควบคุมได้เสร็จ ส่วนที่เหลือ เป็นส่วนที่เหนือการควบคุม ฉันก็ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จัดการด้วยการไหว้หลวงพ่อโสธร พระพิฆเนศวร เพื่อความสบายใจ
สุดท้ายในการส่งต้นฉบับในครั้งนั้นก็ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ ฉันก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกับบอกตัวฉันในอีกหลายเวอร์ชันที่ถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้น สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ เสียงในหัวบอกว่า
“เธอทำได้ เธอเก่งมาก เธอตัดสินใจถูกแล้วจริงๆ”
เป็ดย่างจึงไม่ใช่ของกิน แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองที่ฉันเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นการมูที่ไม่ได้หวังให้เกิดปาฏิหารย์ แต่เป็นการขอบคุณตัวเองที่กล้าตัดสินใจ
ระหว่างเส้นทางของการมู ตัวเองเราไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว ต่อให้รอบข้างไม่มีใครเชียร์อัพ ก็ยังมีตัวเราอยู่ด้วยเสมอ มีเพื่อนที่ร่วมทางเสมอ
แม้บางครั้ง ผลจะออกมาไม่เป็นตามเป้าหมาย โปรเจ็กต์งานไม่ผ่านการพิจารณา หรือสิ่งที่ทำยังไม่เข้าตา แต่ฉันก็รับผลลัพธ์ได้เสมอ เพราะถือว่าเราตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด
สุดท้ายกลายเป็นพิธีกรรมประจำตัว เมื่อจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่รู้เส้นทางข้างหน้า หรือเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ที่ต้องหาวิธีจัดการ ฉันก็จะถามที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณเป็นแนวทาง ถ้ามีฤกษ์ก็ขอฤกษ์ จากนั้นก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง จัดการในสิ่งที่ควบคุมได้ และไปมูของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อดลบันดาลในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จบครบทุกกระบวนการก็ไปซื้อเป็ดย่างให้รางวัลตัวเองที่กล้าตัดสินใจ เพื่อมานั่งกินกับครอบครัว
จบพิธีกรรม!
เรื่อง: นิธิกานต์ พิณเมืองงาม
ภาพ: ภาพจำลองเหตุการณ์จาก AI
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘Mootopia’ พื้นที่ที่ The People อยากชวนทุกคนมอง ‘ความเชื่อ’ ในฐานะแรงใจ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์
นอกจากเรื่อง ‘เป็ดย่าง’ ยังมีอีกสองผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจากแคมเปญ Mootopia ซึ่งจะทยอยเผยแพร่ในเดือนมกราคม 2569