ลักกันวันตาย : เมืองหิมะไร้ขื่อแปที่ ‘ค่าของคน’ ขึ้นอยู่กับ ‘ผลของเงิน’

ลักกันวันตาย : เมืองหิมะไร้ขื่อแปที่ ‘ค่าของคน’ ขึ้นอยู่กับ ‘ผลของเงิน’

‘ลักกันวันตาย’ ภาพยนตร์ออริจินัลของ Netflix เล่าเรื่องราวของรองผู้จัดการธนาคารที่ยักยอกเงินจากบัญชีคนตาย นำมาสู่เรื่องราวแสนดิบเถื่อน ถูกนำเสนออย่างเหนือจริง แต่สะท้อนภาพสังคมที่เงินเปรียบเสมือนพระเจ้าได้อย่างเจ็บแสบถึงเครื่อง

KEY

POINTS

/ เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง ‘ลักกันวันตาย’ / 

 

หาเงินมาเยอะ ๆ นะพ่อ 15 ล้านมันแค่ค่าเล่าเรียน
แล้วก็ 12 ปีนับจากนี้ ห้ามป่วย ห้ามเจ็บ ห้ามตายนะ

 

อาจฟังดูเป็นคำพูดประชดประชันสุดโต่ง ทว่าประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มจริงใจของภรรยา ขณะกำลังมองหน้าสามีผู้ตรากตรำทำงานหนักอย่างชื่นชม 

ในมุมมองของผู้ชม คำพูดนั้นตีแผ่ความจริงอันน่าเจ็บปวดที่คนปัจจุบันเลือกมองคู่ชีวิตเป็นเพียงเครื่องจักรผลิตเงิน และยิ่งน่าเจ็บปวดซ้ำซ้อนเมื่อฝ่ายสามีตอบรับเพียงสั้น ๆ ว่า “นั่นสินะ” เป็นเชิงยอมรับสถานะต่ำต้อยแต่โดยดี

ณะเดียวกัน ฉากดังกล่าวคงไม่น่าหดหู่เท่านี้ หากเงินที่ถูกนิยามด้วยคำว่า ‘แค่’ ไม่ใช่จำนวนที่มากกว่าเงินเก็บทั้งชีวิตของคนส่วนใหญ่ในประเทศ และจุดหมายของมันคือการนำไปจ่ายค่าเทอมโรงเรียนหรู ซึ่งในมุมหนึ่ง ก็อาจมอบโอกาสอันสมบูรณ์พร้อม แต่อีกมุมหนึ่งก็ฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็น จนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นความผิดของผู้ปกครองที่ใฝ่สูงเกินฐานะ หรือสังคมที่บีบให้คนคนหนึ่งต้องกระเสือกกระสนไขว่คว้าความเหนือกว่าให้ลูก จนหลงลืมคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันเอง

ภาพยนตร์ออริจินัลจาก Netflix เรื่อง ‘ลักกันวันตาย’ จำลองภาพสังคมดังกล่าว ผ่านการกำกับที่แหวกสไตล์ดั้งเดิมของ ‘ต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร’ ซึ่งมีภาพจำในฐานะผู้กำกับสายดราม่าจาก ‘คิดถึงวิทยา’ และ ‘Analog Squad ทีมรักนักหลอก’ พลิกมาถ่ายทอดอารมณ์โหดดิบระทึกขวัญ ผ่านเรื่องราวของ โต (แสดงโดย เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) รองผู้จัดการธนาคารผู้ต้องการมอบชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกสาว นำมาสู่การยักยอกเงินจาก ‘บัญชีคนตาย’ ร่วมกับพนักงานรุ่นน้องอย่าง เพชร (แสดงโดย ริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล) โดยไม่รู้เลยว่า เงินดังกล่าวจะถูกหมายตาโดยหัวหน้าแก๊งมาเฟียร์อย่าง เสก (แสดงโดย เต๋า-จิรายุทธ ผโลประการ) และนักฆ่ามือฉมังอย่าง วอดก้า (แสดงโดย ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์) นำมาสูาการไล่ล่าที่ระทึกขวัญ คาดเดาไม่ได้

ลักกันวันตายคือภาพยนตร์ที่นำเสนออย่าง ‘เหนือจริง’ เล่าถึงสังคมอันดิบเถื่อน ไร้ขื่อแป รวมถึงสอดแทรกสัญญะที่อาจชวนสงสัย อย่างการเนรมิตฉากหิมะโปรยปรายกลางถนนเมืองพัทยา ทว่าท่ามกลางความ ‘ไม่สมจริง’ เหล่านั้น ผู้สร้างก็ได้สอดแทรกความจริงอันน่าสลดใจของสังคมยุคปัจจุบัน ที่เงินเป็นตัวกำหนดคุณค่าของมนุษย์ทุกชนชั้น ออกมาได้อย่างเจ็บแสบ เสียดสี และตรงประเด็น

ความระทึกที่อุบัติได้
เพราะบ้านเมืองไร้ตำรวจ

คำถามที่ผู้ชมอาจสงสัยคือ เหตุใดตัวละครแต่ละตัวจึงทำเรื่องผิดกฎหมายกันอย่างง่ายดาย เข้าขั้นประเจิดประเจ้อ ตั้งแต่โตกับเพชรที่ยักยอกเงินโดยอาศัยเพียงขั้นตอนลักไก่แสนธรรมดา ไปจนถึงแก๊งมาเฟียร์และนักฆ่าที่กระทำความรุนแรงอย่างอุกอาจ ปราศจากวี่แววการมีอยู่ของตำรวจ ราวกับพัทยาในเรื่องคือบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้ขื่อแป เป็นโลกแห่งอาชญากรอย่างเต็มรูปแบบ

ความง่ายและทื่อตรงของบทอาจชวนตำหนิในช่วงแรก ทว่าพอเรื่องดำเนินมาถึงครึ่งหลัง ผู้ชมก็สามารถยอมรับและปิดตาข้างเดียวให้กับความไม่สมจริง เพราะผู้สร้างได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า เรื่องราวหลังจากนี้ต้องอาศัยการดำเนินเรื่องที่เหนือจริง จึงจะถ่ายทอดสารและอารมณ์ได้ในแบบที่ควรจะเป็น

นั่นคือเหตุผลที่ครึ่งหลังของหนังคือความกดดันแบบที่เราไม่เคยเห็นในงานของต้น-นิธิวัฒน์ ธราธร ตัวละครทุกตัวสามารถลุกมาเข่นฆ่า หักหลัง และถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลักที่ถูกสังหารและทิ้งหายก่อนไคลแมกซ์ ตัวละครหลักอีกตัวที่แสดงความอ่อนแอมาตลอดเรื่อง แต่กลับลุกมาจับปืน วาดลวดลายสังหารฝ่ายตรงข้ามด้วยท่วงท่าราวกับนักฆ่ามืออาชีพ ไปจนถึงตัวร้ายหลักที่บทจะตายก็ตายอย่างไม่สมความสามารถ มีเพียงความรู้สึกเหนือคาดที่ผู้สร้างอัดฉีดให้กับผู้ชมไม่ยั้ง

สามารถพูดได้ว่า ลักกันวันตายคือภาพยนตร์ที่ดำเนินเรื่องบนอารมณ์มากกว่าเหตุผล ยามใดที่กราฟอารมณ์พุ่งสูง ผู้สร้างก็จะใส่การกระทำแสนวางป่วง บ้าเลือด ระเบิดเถิดเทิง ยามใดที่อารมณ์ดิ่งลงต่ำ ผู้สร้างก็จะฉุดเราลงสู่ความตลกร้ายและจิกกัดสังคมอย่างเต็มพิกัด ไม่มีช่องว่างให้พักหายใจ มีเพียงสองขั้วอารมณ์ที่สลับไปมาเช่นนี้เป็นลูกคลื่น

จังหวะที่อารมณ์เรื่องดิ่งลงต่ำนี้เองคือช่วงเวลาที่หนังได้ปล่อยให้ผู้ชมซึมซับแก่นสารหลัก อย่างการเสียดสีสังคมปัจจุบันที่ ‘เงิน’ คือตัวกำหนด ‘คุณค่าของมนุษย์’ ผ่านตัวละคร จ๋า ภรรยาของโต (แสดงโดย น้ำฝน-กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์) ที่แม้จะไม่มีโอกาสโลดโผนในฉากบ้าคลั่งใด ๆ แต่แรงสั่นสะเทือนที่สร้างไว้ก็ถือได้ว่าเป็นชนวนของความบ้าคลั่งทั้งมวล

ท่ามกลางบรรยากาศดำมืดในคอนเซปต์บ้านป่าเมืองเถื่อน ฉากที่ควรจะเป็นแสงสว่างของเรื่องควรเป็นฉากที่โตได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ที่ซึ่งลูกสาวตัวน้อยกำลังเติบโตอย่างสดใด ในแบบที่เด็กหญิงชนชั้นกลางคนหนึ่งควรจะเป็น ทว่าท่ามกลางกองของเล่นหลากสีและแสงไฟโทนอุ่นในบ้าน ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยากลับอึดอัด เยือกเย็น ด้วยค่านิยมที่ทั้งคู่ยึดถือ มุ่งหมายให้ลูกได้เรียนโรงเรียนหรู ค่าเล่าเรียนหลักล้าน หวังอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเกินฐานะ จนแม้หัวหน้าของโตจะเอ่ยประโยคเตือนสติอันเปรียบเสมือนวรรคจำของเรื่องอย่าง “เรียนแพงไม่ได้ก็เรียนโรงเรียนรัฐบาลดิพี่” ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้

แต่หากจะตีตราว่า ทุกอย่างเป็นความผิดของโตกับจ๋าเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะสังคมปัจจุบันคือสังคมที่มองเงินเป็นพระเจ้า ยิ่งเมื่อคอนเซปต์ของหนังคือการนำเสนออย่างตรงไปตรงมา ไม่ถูกตีกรอบด้วยตรรกะเหตุผล แก่นสารดังกล่าวก็ยิ่งฉายชัด จนบ้านเมืองไร้ขื่อแปดูน่าหดหู่ขึ้นเป็นเท่าตัว

 

ในโลกที่ ‘ค่าของคน’ ขึ้นอยู่กับ ‘ผลของเงิน’

ในฉากแนะนำตัวละครหลัก โตคือรองผู้จัดการธนาคาร ผู้ที่ตำแหน่งการงานแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต้องคอยระแวดระวังว่าจะถูกเอไอประเมินต่ำกว่าเกณฑ์ นำมาสู่การถูกเลิกจ้างตอนไหน ตัวหนังได้ฉายภาพพนักงานรุ่นเพื่อนที่ถูกขับไสไล่ส่ง ทั้งที่ตัวเขาเคยสร้างประโยชน์ให้ธนาคารมหาศาล ทว่าหลังจากที่เอไอประเมินผลอย่างเถรตรง ชะตากรรมของพนักงานเก่าแก่ก็ไม่ต่างอะไรกับวัตถุชิ้นหนึ่ง คุณค่าที่เคยทำไว้ถูกมองข้าม เพียงเพราะตัวเขาไม่อาจทำเงินให้ธนาคารได้ตามเป้า

นั่นคงเป็นครั้งแรกที่โตตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของเงิน หาใช่ผลของความทุ่มเทแรงใจในการทำงาน เพชรที่กำลังมีปัญหาเดือดร้อนด้านการเงินเห็นทีจึงกล่าวตัดพ้อให้เขาฟัง โดยมีจุดมุ่งหมายคือกระพือความโกรธแค้นที่โตมีต่อธนาคาร นำมาสู่การจับมือกันทำเรื่องผิดกฎหมาย

เวลาใช้เราทำงาน บอกว่าเราเป็นครอบครัว แต่เวลาตัดสินอะไร พวกมึงก็แค่ลูกจ้าง แบงก์ (ธนาคาร) ยังไม่สนพี่ แล้วพี่จะสนมันทำไม

ประโยคดังกล่าวคงสะกิดใจโตลึก ๆ เพราะแม้กระทั่งนอกเหนือจากเวลางาน สัจธรรมการนิยามคุณค่าของคนจากเงินที่หามาได้ก็ยังตามหลอกหลอนเขาถึงบ้าน

ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่า ภรรยาของโตมองเขาเป็นเครื่องจักรผลิตเงินเลี้ยงลูก ยามที่โตกลับบ้าน คำทักทายที่พบเจอทุกครั้งคือคำขอยืมโทรศัพท์ไปทำธุรกรรม นำมาสู่ฉากที่ทั้งชวนหดหู่ ทั้งชวนให้รู้สึกตลกร้าย เมื่อโตเพิ่งก่อคดีผิดกฎหมายและกลับมาถึงบ้านพร้อมจิตใจที่ดิ่งลงเหว แต่กลับถูกจ๋าบังคับให้ยิ้ม เพื่อแสกนใบหน้าปลดล็อกโทรศัพท์

นอกจากคำทักทายแล้ว แทนที่จะไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ จ๋ากลับมักพร่ำเพ้อถึงภาระค่าใช้จ่าย ของลูก ทั้งค่ารักษาในโรงพยาบาลราคาแพง ค่าไปเที่ยวเกาหลี ค่าเรียนภาษาเสริม ค่าของเล่น ค่าฉีดยาฆ่าแมลงเพื่อไม่ให้ลูกโดนยุงกัด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าทำไปเพราะความรัก แต่ก็ช่างฟุ่มเฟือยในแบบที่ไม่ทำก็ไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง หรือสามารถเลี่ยงใช้วิธีที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยลงได้

ทั้งหมดตอกย้ำให้โตเชื่อว่า วิธีเดียวที่จะเลี้ยงลูกให้มีอนาคตที่ดี จำต้องอาศัยทุนทรัพย์มหาศาลเกินฐานะของตนเท่านั้น นำมาสู่การทำเรื่องผิดกฎหมายโดยอาศัยข้ออ้างว่า “ไม่มีใครเดือดร้อน” อย่างการยักยอกเงินในบัญชีของป้าจิต หญิงชราที่โตคิดว่าเสียชีวิตโดยปราศจากทายาท

ป้าจิตเองก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีค่าได้เพราะเงินที่หล่อนยักยอกจากเจ้านายเก่า พอตายไปแล้ว เงินจำนวนมหาศาลนั้นกลายมาเป็นที่หมายตาของอาชญากรทั่วสารทิศ แม้จะถูกกล่าวถึงในฐานะแค่ชื่อเจ้าของบัญชีเจ้าปัญหา แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ชื่อของป้าจิตถูกสนใจจากคนมากมายเช่นนี้

สารพัดเรื่องราวแสนบ้าคลั่งของลักกันวันตายสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ใดมีเงิน ผู้นั้นจะถูกหมายหัว แต่จะกลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงผ่าน ๆ อย่างป้าจิต, คนที่เป็นเครื่องจักรซึ่งคนรอบข้างคาดหวังไม่ให้หยุดทำงานอย่างโต หรือเหยื่อผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างหัวหน้าของโตที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมยึดเงินไปจากเขา ก่อนจะถูกแก๊งมาเฟียร์สังหาร ล้วนขึ้นอยู่กับสถานะที่เจ้าตัวมีต่อเงินก้อนนั้น ไม่ใช่ฐานันดรหรืออำนาจ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกำนันหมู เจ้านายของวอดก้า และอดีตเจ้านายของป้าจิต ที่แม้จะมีฐานะมั่งคั่ง อำนาจบาตรใหญ่ เพียงแต่เงินในบัญชีของเขาไม่สามารถมอบคุณค่าอะไรต่อวอดก้า ท้ายที่สุด กำนันจึงถูกลูกน้องสังหารอย่างไร้ค่า อันเป็นชะตากรรมที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับตัวละครผู้มีอำนาจล้นมือ

หรือแม้กระทั่งเสก หัวหน้าแก๊งมาเฟียร์ที่ถูกวอดก้าตามสังหารอย่างไม่เกรงบารมี เพียงเพราะหวังครอบครองเงินที่ช่วงชิงมาได้ ก็ตอกย้ำว่า ในโลกของลักกันวันตาย คุณค่าของชีวิตคนคนหนึ่งขึ้นอยู่กับสถานะที่มีต่อเงิน ไม่สำคัญว่าจะสูงต่ำจากไหน หากไม่มีประโยชน์ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งเสมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง

และท่ามกลางโลกไร้ขื่อแปที่ผู้สร้างเนรมิตไว้อย่างดำมืด ก็ยังมีความสดใสเล็ก ๆ ในรูปของเด็กน้อยไร้เดียงสา ผู้ไม่เข้าใจสัจธรรมที่ผู้ใหญ่ยึดถือ อีกทั้งเธอคนนั้นยังถูกตีความเป็นสัญญะหิมะโปรยปรายกลางเมืองพัทยา ทุกครั้งที่ผู้เป็นพ่อเผชิญกับภาวะอัดอั้นตันใจ


 

เมื่อ ‘หิมะ’ คือสิ่งแปลกปลอม
ในประเทศเมืองร้อนไร้ขื่อแป

 

Because my dad said so.
(เพราะพ่อของหนูบอกให้เรียน)

 

คือประโยคที่ ‘สโนว์’ ลูกสาววัยประถมของโต ใช้อธิบายสาเหตุที่ตนอยากเข้าโรงเรียนนานาชาติสุดหรู หาใช่ถ้อยคำที่สื่อว่า เธอต้องการเข้าเรียนเพื่อฝึกภาษา ไขว่คว้าคอนเนคชัน มองหาอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ อันเป็นเหตุผลที่แท้จริงของพ่อกับแม่ 

ประโยคดังกล่าวสื่อว่า เด็กน้อยไม่ได้เข้าใจคุณค่าของเม็ดเงินที่พ่อเสี่ยงชีวิตแลกมาเลยสักนิด นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ผู้สร้างตั้งชื่อเธอว่า ‘หิมะ’ อันเป็นความบริสุทธิ์แสนแปลกปลอม ในบ้านเมืองที่เหล่าตัวละครกำลังกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่

ในหลาย ๆ ฉากของเรื่อง ผู้สร้างได้นำเสนอภาพตัวละครโตยืนอยู่ในสถานที่สักแห่ง ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายอย่างนุ่มนวล โดยที่ตัวละครไม่แสดงท่าทีผิดสังเกต หนาวสั่น หรือสัมผัสจับต้องเกล็ดหิมะนั้น ราวกับมันเป็นเพียงจิตปรุงแต่งซึ่งมีเพียงโตเท่านั้นที่เห็น

หิมะในเรื่องอาจสื่อถึงความมุ่งมั่นของตัวละคร ผู้ต้องการทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การที่มันร่วงโรยใส่ร่างของเขานั้น ก็อาจสื่อว่า เด็กหญิงคือต้นเหตุของความพินาศย่อยยับทั้งมวล หากไม่มีสโนว์ โตก็คงไม่ถลำลึกไปกับสัจธรรมอันนำมาสู่จุดจบที่น่าเศร้าของเขา

หลังดูจบและคิดตาม ก็เกิดความรู้สึกใจหายเล็ก ๆ ที่ในไม่ช้า หิมะสีขาวบริสุทธิ์นั้นก็อาจต้องแปดเปื้อน ตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านเมืองสีดำสนิทแห่งนี้ ภายใต้การดูแลของแม่ ซึ่งมองสามีที่ตรากตรำทำงานหนักเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ชีวิตด้วยซ้ำไป

ถึงอย่างไร ผู้สร้างก็เลือกจบเรื่องลงก่อนหน้านั้น ทิ้งภาพเด็กน้อยที่สุดท้ายก็ได้โอกาสเติบโตในแบบที่พ่อกับแม่ต้องการ ให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสดใส และตงิดใจกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

นั่นทำให้ลักกันวันตายไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีจุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม หรือประกาศทัศนะที่ดีกว่า ดังจะเห็นได้ว่า แม้หลายตัวละครจะได้รับผลกรรมหนักหนา แต่สังคมไร้ขื่อแปที่เงินเป็นตัวตัดสินคุณค่าของมนุษย์ก็ยังดำรงอยู่แบบนั้น ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่พอจะสั่นสะเทือนโครงสร้างบิดเบี้ยว

มันเพียงตอกย้ำให้เราหดหู่ใจ และระแวดระวังว่า ในโลกแห่งความจริงที่เราอยู่ จะมีเรื่องราวคล้ายกับในหนังเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ และถ้าเกิดขึ้นจริง จะทำอะไรได้ ในเมื่อเราทุกคนก็ล้วนเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถถูกสังคมดำมืดทำลายได้ทุกวินาที เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องที่ไม่ว่าจะมีฐานะหรือพวกพ้องแค่ไหน ก็ต้องพบกับจุดจบอันน่าอนาถ

และสุดท้าย ความตลกร้ายที่สุดคงเป็นคำตอบที่ได้รับจากการที่เราดูจบ แล้วหันกลับมาถามตัวเองว่า...เรากำลังมีความเชื่อแบบเดียวกับผู้คนในบ้านเมืองวิปลาสแห่งนั้นหรือเปล่า

 

ภาพ : Netflix