18 ก.ค. 2568 | 15:31 น.
KEY
POINTS
ปี 2025 มีภาพยนตร์ในความทรงจำหลายเรื่อง ถูกนำมารีเมกและตบเท้ากันเข้าโรงภาพยนตร์ หนึ่งในนั้น คือ ‘Karate Kid: Legends’ ที่พา ‘เฉินหลง’ หวนคืนจอเงินอีกครั้ง
แต่ถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ Karate Kid ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่เป็นภาพยนตร์ระดับตำนานที่ออกฉายครั้งแรก ในปี 1984 บอกเล่าเรื่องราวของกีฬา ‘คาราเต้’ ต่อด้วยภาค 2 ที่ออกอากาศในปี 2010 ซึ่งครั้งนี้ได้ ‘เฉินหลง’ มารับบทนำและมีเส้นเรื่องหลักที่ให้ความสำคัญกับกังฟูฝั่งจีน
กระทั่ง 15 ปีต่อมา ปีที่โลกเข้าสู่ปี 2025 ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กลับมาอีกครั้งในชื่อ Karate Kid: Legends ว่าด้วยการผสมผสานศิลปะของจีนและญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว แต่ก็ยังไม่ทิ้งข้อคิดสำคัญของเรื่อง นั่นคือ ‘การไม่ยอมแพ้ และจงลุกขึ้นสู้’ อีกครั้ง
/บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ‘Karate Kid: Legends’ (2025) /
สำหรับกีฬาคาราเต้ การจะเอาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าได้ สิ่งสำคัญ คือ การฝึกร่างกายและสติ
‘หลินฟง’ เติบโตมากับสำนักกังฟู ฝึกวิทยายุทธ์และวาดลวดลายในสังเวียนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้การวาดลวดลายของเขาในสังเวียนเป็นที่หนึ่ง ไม่รองใคร
ในวันที่เขาลองเลือกใช้แต่แรง ใช้อารมณ์ แล้วปล่อยกระบวนท่าที่รู้มา ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เขาแพ้ราบคาบ
เพราะรากฐานของคาราเต้แบบ ‘Karate Kid: Legends’ นิยาม คือ การเอาวิทยายุทธแบบจีนมาผสมกับการฝึกสติแบบญี่ปุ่นนั่นเอง
ไม่ใช่แค่ปล่อยหมัดเพื่อเอาชนะ แต่มันคือการหากลยุทธ์พลิกเกม เขาต้องฝึกฝน ขยัน ตั้งมั่นในทุกกระบวนท่า พร้อมวาง ‘กับดัก’ เพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้ นี่แหละคือเคล็ดลับของชัยชนะ
ถ้าจะเปรียบกับชีวิต มันคงบอกว่า บนเส้นทางชีวิตอันแสนยาวไกลของเรา การจะได้มาซึ่งความสำเร็จหรือชัยชนะ มันไม่ง่าย แต่ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างเป็นบทเรียนให้เราเติบโตและก้าวข้ามทุกอุปสรรคได้
เอาเข้าจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีเส้นเรื่องที่ซับซ้อน ในฐานะคนดูก็พอจะเดาตอนจบได้อยู่บ้าง แม้จะไม่ได้เน้นเรื่องกระบวนท่ามากมายเหมือนภาคก่อน ๆ แต่เรื่องนี้ตั้งใจส่งสารให้เรา ไม่ยอมแพ้และลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
เริ่มจากชีวิตของ ‘วิคเตอร์’ เจ้าของร้านพิซซ่า อดีตนักมวยที่แขวนนวมไปหลายปีก่อน เพราะต้องดูแลลูกสาว แต่ตอนนี้หนี้ท่วมตัว ก็ตัดสินใจลุกขึ้นชกอีกครั้ง เพื่อปลดหนี้และทำให้ลูกสาวมีความสุข
หรือแม้แต่ตัว ‘หลินฟง’ เองที่เคยยอมแพ้กับการเล่นคาราเต้ เพราะไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง หลังจากพี่ชายถูกทำร้ายจนเสียชีวิต แต่สุดท้ายเขาเลือกฟังเสียงในหัวตัวเองมาลองเตะ ฝึกร่างกายตัวเองจนเป็นคู่ต่อสู้ที่เอาชนะทุกคนได้
“ในวันที่คลื่นซัดชีวิต เราจะควบคุมอะไรไม่ได้ แต่เราจะควบคุมได้ในวันที่เราลุกขึ้น” ลุงฮันบอกกับลูกศิษย์คนโปรด
ในฐานะคนดู ลุงฮันพูดถูก เพราะในวันที่เรารู้สึกดิ่ง ปัญหารุมเร้า คนเรามักจะจมอยู่กับปัญหานั้น ทุกอย่างดูมืดแปดด้าน แต่เมื่อเราค่อย ๆ ตั้งสติ ถอยออกมาหนึ่งก้าว เราจะเจอทางออกเสมอ
เหมือนกับหลินฟงค้นพบคำตอบในชีวิตว่า การที่เขากลับมาเล่นคาราเต้อีกครั้ง เขาไม่ได้ทำเพื่อใคร เขาทำเพื่อตัวเอง เขาชอบตัวเองเวลาที่ได้ต่อสู้
และเขาก็ได้ทำตามที่ลุงฮันบอกไว้ “เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ถ้านายไม่จบ ชีวิตจะจบนาย”
หลินฟงจบเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง เขาได้กลับมาเล่นคาราเต้ ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ให้ใครเห็น แต่เพื่อยืนยันกับตัวเองว่า ‘เขายังไม่แพ้’
เพราะการต่อสู้จริง ๆ มันไม่ใช่แค่ในสนามแข่งขัน แต่มันคือการต่อสู้ในใจตัวเองต่างหาก
บางครั้งการจะลองทำอะไรสักอย่าง เรามักจะชั่ง ตวง วัด เพื่อให้เรารู้สึกมั่นใจและกล้าที่จะลองไปทำสิ่งใหม่ดูสักตั้ง
แต่สำหรับลุงฮัน คำถามในชีวิตของเขามีเพียงคำถามเดียว คือ ‘มันคุ้มค่าที่จะสู้ไหม?’
ถ้ามันคุ้มก็ไม่ต้องคิดเยอะก็ลงมือทำเลย บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะ ถ้ามันทำให้เรามีความสุข เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
Karate Kid: Legends อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่พยายามยัดเยียดข้อคิดอันยิ่งใหญ่ แต่ทุกวินาทีของเรื่องกลับค่อย ๆ ย้ำเตือนเราว่า ทุกคนมีสิทธิ์ล้ม และในขณะเดียวกัน ก็มีสิทธิ์ลุกขึ้นอย่างสง่างามได้เช่นกัน
ภาพ : IMDb, Sony Pictures