‘Titan: The OceanGate Submersible Disaster’ เบื้องหลังโศกนาฏกรรมคร่า 5 ชีวิต

‘Titan: The OceanGate Submersible Disaster’ เบื้องหลังโศกนาฏกรรมคร่า 5 ชีวิต

เปิดเรื่องจริงหายนะเรือดำน้ำไททัน ความหลงตัวเองของ CEO สต็อกตัน รัช ที่เมินคำเตือนผู้เชี่ยวชาญ ใช้คาร์บอนไฟเบอร์เสี่ยงตาย จนเกิดการระเบิด คร่า 5 ชีวิต

KEY

POINTS

  • สต็อกตัน รัช ไม่ฟังคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ไล่วิศวกรที่ส่งอีเมลเตือนความปลอดภัย และเลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ไม่เคยพิสูจน์ความปลอดภัยใต้ทะเลลึก
  • เสียง “เปรี๊ยะ” จากการแตกหักของเส้นใยคาร์บอนระหว่างดำน้ำ แต่สต็อกตันสั่งให้ทุกคนเพิกเฉย ทั้งที่วิศวกรหลายคนขอลาออกเพราะไม่อยากมีชื่อเป็นผู้สร้างไททัน
  • 18 มิถุนายน 2023 ไททันเกิดการระเบิดยุบตัว (Implosion) ใต้ทะเลลึก 4,000 เมตร ผู้โดยสาร 5 คนถูกบีบอัดหายวับในเสี้ยววินาทีโดยไม่ทันรู้ตัว
     

‘Titan: The OceanGate Submersible Disaster’ หายนะภัยเรือไททัน เป็นสารคดี Netflix ความยาวเกือบสองชั่วโมง เล่าเรื่องราวเรือดำน้ำ ‘ไททัน’ ของบริษัท ‘โอเชียนเกต’ บริษัทเอกชนด้านการสำรวจใต้ทะเลลึก ก่อตั้งโดยชายที่ชื่อ ‘สต็อกตัน รัช’ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันนวัตกรรมเรือดำน้ำ 

ไททันเป็นเรือดำน้ำเล็กที่พาผู้โดยสารลงไปชมซากเรือไททานิคอันโด่งดัง จนเกิดหายนะภัยการระเบิดแบบ ‘Implosion’ หรือการระเบิดแบบยุบตัวเข้าด้านใน ใต้ท้องทะเลลึกลงไปกว่าสี่พันเมตร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ปี 2023 

สารคดีตีแผ่ red flag ทั้งหลายที่สต็อกตันเมินเฉย คำเตือนจากผู้หวังดีที่มองข้าม โครงสร้างเรือดำน้ำที่ผิดแผกจากงานวิศวกรรมใต้ทะเลควรเป็น การทดสอบความปลอดภัยแบบขอไปที และที่เหนือกว่าอะไรทั้งหมดคือความดื้อรั้นและเชื่อมั่นในตัวเองจนเกินตัวของสต็อกตัน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก คร่า 5 ชีวิต ที่ถูกบีบอัดหายวับจากโลกไปในเสี้ยววินาทีแบบไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

Lost in the deep : เกิดอะไรในวันที่ 18 มิถุนายน 2023

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2023 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้คนทั่วโลก เมื่อมีรายงานเรือดำน้ำสูญหายไประหว่างกำลังปฏิบัติงานอยู่กลางทะเลแอตแลนติกเหนือ ในเวลาต่อมาจึงรู้ว่าเรือลำนั้นคือ ‘ไททัน’ เรือดำน้ำแบบ Submersible (หมายถึงยานพาหนะที่สามารถดำน้ำลงใต้น้ำได้ด้วยความช่วยเหลือจากเรือแม่ ต่างจากเรือดำน้ำทางทหารที่สามารถปฏิบัติการได้อย่างอิสระ) ซึ่งขาดการติดต่อกับเรือแม่ขณะกำลังดำดิ่งลึกลงไปใต้ทะเลราว 1 ชั่วโมง 45 นาที ในความลึกประมาณสามพันเมตร 

ไททัน ที่นำโดยกัปตันสต็อกตัน รัช กำลังพาผู้โดยสารอีก 4 ชีวิต ดำลงไปเยี่ยมชมซากเรือไททานิคที่นอนแน่นิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรลึกลงไปกว่าสี่พันเมตร อันเป็นภารกิจที่ไททันเคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้

ไททันเป็นเรือดำน้ำที่ใช้นวัตกรรมเฉพาะของบริษัทโอเชียนเกต ภายใต้การบริหารของซีอีโออย่าง สต็อกตัน ผู้เป็นบุคคลสูญหายในเหตุการณ์นี้ด้วย มีการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า กว่าทางเรือแม่ของโอเชียนเกตจะแจ้งขอความช่วยเหลือก็กินเวลาของการสูญหายไปกว่าหลายชั่วโมงแล้ว การค้นหาไททันกลายเป็นภารกิจระดับโลก ที่ใช้กำลังพลและหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือมากมาย ทั่วโลกต่างพากันภาวนาให้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตทั้งหมดให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากเป็นภารกิจที่แข่งกับเวลาโดยแท้ รายการโทรทัศน์มีการนับถอยหลังปริมาณออกซิเจนที่เหลือของผู้สูญหาย ก่อนที่สุดท้ายในวันที่ 4 ของการค้นหา พวกเขาจึงพบซากเรือไททันที่ก้นทะเล ไม่ไกลจากซากของไททานิค และสามารถยืนยันได้ในทันทีว่า บุคคลผู้สูญหายทั้งหมดถึงแก่ความตายแน่นอนแล้ว ด้วยการระเบิดแบบ implosion จากแรงบีบอัดมหาศาลของมวลน้ำมหาสมุทรที่อยู่ลึกลงไปสี่พันเมตร 

โลกเปลี่ยนโหมดจากการลุ้นเจอผู้รอดรอดชีวิต มาเป็นการไว้อาลัยทันที

หน่วยยามชายฝั่งของสหรัฐได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางทะเลอย่างเป็นทางการ การสืบสวนเริ่มต้นทันทีในเวลาต่อมา ความยากลำบากประการสำคัญคือ เรื่องของเขตอำนาจการสอบสวน เนื่องจากไททันนั้นผลิตในสหรัฐอเมิการ ถูกปล่อยลงน่านน้ำสากลโดยเรือสัญชาติแคนาดา แถมตัวไททันเองก็ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศใดเลย การสืบสวนจึงพบความยุ่งยากซับซ้อนมากตั้งแต่แรก ในเชิงของขอบเขตพื้นที่การสืบสวน ซึ่งหลายคนก็ค่อนข้างแน่ใจว่าทั้งหมดเกิดจากความตั้งใจของสต็อกตัน 
 

สต็อกตันทำให้ไททันเป็นโปรเจ็คสีเทา ๆ ตั้งแต่เรื่องของโครงสร้าง การออกแบบ วัสดุที่เลือกใช้ การทดสอบความปลอดภัย ไม่มีเรื่องไหนเลยที่โปร่งใสไร้ข้อกังขา แม้แต่เหล่าผู้โดยสารที่ถูกเลี่ยงบาลีให้เป็นลูกเรือที่ต้องมีหน้าที่ประจำในไททัน เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายบางประการ

อดีตทีมงานของสต็อกตันพาเหรดกันมาให้สัมภาษณ์ต่อสารคดี อย่างหนึ่งที่ต่างคนพูดเหมือนกันคือ พวกเขารู้ว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น นาทีที่มีข่าวเรือดำน้ำเกิดอุบัติเหตุ พวกเขารู้เลยว่าต้องเป็นไททัน พวกเขารู้ล่วงหน้านานแล้ว ว่าวันหนึ่งมันจะต้องพบจุดจบแบบในวันนี้ คำถามคือ เกิดอะไรขึ้น?

สต็อกตัน และ OceanGate

‘สต็อกตัน รัช’ คือผู้ก่อตั้งและซีอีโอของโอเชียนเกต บริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับวิศวกรรมการสร้างเรือดำน้ำลึกเพื่อการสำรวจและวิจัยในเชิงพาณิชย์ ตัวสต็อกตันเองเรียนจบด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศ เขาเคยสนใจด้านอวกาศมาก่อน แต่ความสนใจของเขาเปลี่ยนมาเป็นการสำรวจใต้น้ำแทนในภายหลัง (เหตุที่เป็นคนในแวดวงการบินอวกาศนี้เอง เขาจึงเลือกวัสดุอย่างคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการสร้างเรือดำน้ำไททัน) ก่อนจะเริ่มโปรเจ็กต์สร้างเรือดำน้ำเชิงพาณิชย์สำหรับพาไปเยี่ยมชมซากเรือไททานิคอันโด่งดัง

ไททันนั้นสร้างจาก ‘คาร์บอนไฟเบอร์’ โดยการนำเส้นใยคาร์บอนมาถักทอวนไปในทิศทางเดียวกันจน (เชื่อว่า) มีความแข็งแรงมากพอต่อแรงบีบอัดที่เกิดขึ้นใต้ท้องมหาสมุทร ที่จริงคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุที่แข็งแรงและได้รับการยอมรับเป็นสากล แต่การนำมาใช้ในแบบของสต็อกตันนั้นน่ากังขา แม้แต่กับหัวหน้าทีมวิศวกรของเขาเอง ผู้ที่เขียนอีเมลแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของการสร้างไททัน ที่อาจถึงแก่ชีวิตของผู้โดยสารในอนาคตได้ ไม่ใช่แค่ไม่สนใจคำเตือน ผลจากอีเมลฉบับนั้น สต็อกตันไล่เขาออกทันทีในวันต่อมา

สต็อกตันออกแบบเรือดำน้ำแบบแหกทุกขนบของวิศวกรรมใต้น้ำ เช่น เขาไม่ใช้ทรงกลมแบบที่คนอื่นเลือกใช้ เนื่องจากมันบรรทุกได้น้อยกว่าแบบทรงกระบอกที่เขาออกแบบ โดยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ชาวเรือดำน้ำลึกอื่นให้ความสำคัญที่สุด นั่นคือ การทนต่อแรงกดดันใต้ทะเลลึก (การออกแบบทรงกลมช่วยเรื่องแรงดันมากกว่าทรงอื่น) หรืออีกเรื่องที่น่าสงสัยมาก ๆ เลยก็คือ การที่โอเชียนเกตเป็นบริษัทเจ้าเดียวที่ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ วัสดุที่เบาและทนทานแข็งแรง ซึ่งนิยมใช้ในอากาศยานแทนการใช้ไททาเนียม สต็อกตันมองว่าวัสดุอื่นมีน้ำหนักมากเกินไปและไม่สะดวกต่อการขนย้าย คาร์บอนไฟเบอร์ตอบโจทย์เรื่องนี้ แต่คำถามคือมันไว้วางใจได้แค่ไหน?

มีความพยายามทดสอบความสามารถในการรับแรงกดดันของไททัน แต่ผลที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ ถึงจุดนึงสต็อกตันก็เลิกทดสอบไปเสียอย่างนั้น เพียงแต่ใช้วิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานเข้าไปอีก

ทุกครั้งที่นำไททันลงใต้น้ำ ทุกคนจะได้ยินเสียงเปรี๊ยะ ๆ ที่ส่งเสียงออกมารอบตัวถังอยู่เป็นระยะ มันคือเสียงของความขึงเครียดของวัสดุที่โดนกดดัน เสียงการแตกหักของเส้นใยคาร์บอนที่ถักซ้อน ๆ กันอยู่ ยิ่งลึก ความกดดันที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ยิ่งทำให้วัสดุส่งเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแทนที่สต็อกตันจะกังวล เขากลับบอกให้ทุกคนมองข้าม เรื่องนี้ทำให้วิศวกรบางคนขอลาออกทันที เพราะไม่สามารถที่จะทนมีชื่ออยู่เป็นผู้ร่วมสร้างไททันได้อีกต่อไป

และเมื่อถึงจุดที่ไททันไม่สามารถแบกรับความเครียดของแรงกดดันได้อีก มันจึงเกิดการระเบิดยุบตัว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 18 มิถุนายน 2023

นาซิซัสของสต็อกตัน : ต้นเหตุแท้จริงของหายนะ

สต็อกตัน รัช นั้นไม่ใช่แค่ผู้ก่อตั้ง โอเชียนเกต หรือผู้บุกเบิกการท่องเที่ยวใต้ทะเลลึก หากแต่เขาคือบุคคลที่รวมเอาความฝัน ความทะเยอทะยาน และความเชื่อมั่นในตัวเองในระดับสุดขั้วไว้ในคนเดียว จนสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็น ‘หายนะ’
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท สต็อกตันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นแรงกล้าว่า โลกใต้ทะเลลึกควรเป็นสนามแห่งนวัตกรรม ไม่ใช่แค่พื้นที่สงวนของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยึดติดกับกฎเกณฑ์เก่า ๆ เขาหวังจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้ ‘คนธรรมดา’ ได้สำรวจซากไททานิกแบบใกล้ชิด

แต่ความฝันนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนความระมัดระวัง กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจเกินขอบเขต สต็อกตันมองตัวเองไม่ต่างจากนักบุกเบิกอย่าง ‘สตีฟ จ็อบส์’ หรือ ‘อีลอน มัสก์’ เขาหลงใหลในภาพของ ‘ผู้ทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า’ และมีแนวโน้มจะมองคำเตือนหรือคำคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญในฐานะ ‘เสียงของผู้กลัวการเปลี่ยนแปลง’
ก่อนเกิดเหตุการณ์ มีผู้เชี่ยวชาญหลายรายเตือนเรื่อง วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ใช้ในการสร้างเรือ ซึ่งไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าเหมาะสมกับแรงดันมหาศาลใต้ทะเลลึกระดับ 3,800 เมตร แต่เขากลับยืนกรานว่า “นวัตกรรมต้องกล้าเสี่ยง” เขามองการใช้วัสดุใหม่นี้ว่าเป็นวิสัยทัศน์และบ่อยครั้งกล่าวอ้างว่ามาตรฐานความปลอดภัยดั้งเดิมเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า

เขายังหลีกเลี่ยงกระบวนการรับรองมาตรฐานจากองค์กรความปลอดภัยทางเรือดำน้ำทั้งสิ้น โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการเหล่านั้นล้าสมัยและชะลอความก้าวหน้า ทัศนคตินี้สะท้อนความเชื่อว่า เขารู้ดีที่สุด และไม่จำเป็นต้องเดินตามแนวทางของผู้เชี่ยวชาญทั่วไป

ในสารคดีและบทสัมภาษณ์หลายครั้ง เขามักพูดถึงตัวเองในแง่ของการเป็นผู้นำการเปลี่ยนโลก เขาออกแบบเรือดำน้ำไททันให้ควบคุมด้วยจอยสติ๊กจากเครื่องเกมในบ้าน ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความฮือฮา แต่ยังแฝงแนวคิดว่า “สิ่งยิ่งใหญ่ควรจะเรียบง่าย” แนวคิดที่ทั้งกล้าหาญและประมาทเป็นที่สุด

ในแง่จิตวิทยา สิ่งนี้ไม่ใช่แค่ความกล้าหาญ แต่คือ ‘ภาพลวงตาของการควบคุม’ (illusion of control) เขาเชื่อว่าในฐานะผู้ออกแบบ เขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แม้แต่แรงกดดันจากมหาสมุทรลึก

ภาพของสต็อกตัน รัช ไม่ต่างจาก ‘นาซิซัสในตำนาน’ ที่หลงใหลในภาพสะท้อนของตัวเอง แต่ในกรณีนี้ ภาพสะท้อนไม่ใช่บนผิวน้ำ แต่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาแห่งชื่อเสียง ความเชื่อมั่น และความใฝ่ฝันอันสูงส่ง ทว่าเขาลืมไปว่า ท้องทะเลไม่ใช่สถานที่ที่รอให้ใครมา “เอาชนะ” แต่คือพลังธรรมชาติที่ไร้ปรานีต่อผู้ประมาท
ไททันจึงไม่ใช่แค่ยานดำน้ำที่ล่มสลาย แต่คือ สัญลักษณ์ของการที่ความมั่นใจเกินขอบเขต สามารถกลืนทุกชีวิตได้ในพริบตา

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้

ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่ดูสารคดี เหมือนกำลังนั่งดูความล้มเหลวของคนช่างฝันคนหนึ่ง จริงอยู่ที่สต็อกตันมีบางส่วนที่เกือบ ๆ จะคล้ายจ็อบส์ หรืออีลอน มัสก์ หรือคนสำคัญทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ เขากล้าเสี่ยง กล้าคิดนอกกรอบ กล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ทว่าบางทีคุณสมบัติที่สต็อกตันควรมีอย่างแรกคือ การทำในสิ่งที่ถูกต้อง เสียก่อน ไททันเป็นหลักฐานชิ้นโตของความหลงผิด เมื่อบวกกับความกล้าเสี่ยง เขาจึงไม่มีโอกาสกลับแก้ไขอะไรได้อีก
ฉากเปิดของสารคดี แทบจะสปอยล์ทุกอย่างของเนื้อเรื่องออกมาแล้ว มันเป็นฟุตเทจในการลงน้ำวันหนึ่งของไททัน ที่มีสต็อกตันเป็นกัปตันเรือ เขาพูดกับผู้โดยสารว่า “คุณอาจได้ยินบางสิ่ง แต่ไม่ต้องสนใจมัน” นี่คือสิ่งที่สต็อกตันเป็นมาตลอด ในการทำโปรเจ็คเรือดำน้ำไททัน นั่นคือ “รู้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน” 

หากเสียงที่ดังเปรี๊ยะเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่เรือดำดิ่งสู่ใต้ท้องทะเล ได้รับการใส่ใจจากเจ้าของเรือกว่านี้ ทุกคนในวันที่ 18 มิถุนายน 2023 คงยังมีชีวิตอยู่จนวันนี้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวสต็อกตันเอง

มีหลายคำถามที่ยังคาใจผู้คน ทำไมเขาจึงคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น แต่มันคงไม่สำคัญอะไรแล้ว เพราะสต็อกตันเองก็ไม่อยู่ให้คำตอบอะไรได้อีก ทิ้งไว้ให้เป็นเพียงปริศนาที่ไม่มีใครจะไขได้ ให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนี้

โศกนาฏกรรมของเรือไททันไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของความผิดพลาดเชิงวิศวกรรมหรือวัสดุเพียงเท่านั้น แต่เป็นผลพวงโดยตรงจากจิตวิญญาณของผู้นำที่เชื่อมั่นในตนเองจนเกินขอบเขต ‘สต็อกตัน รัช’ กลายเป็นตัวอย่างชัดเจนของคนที่ยึดมั่นในความฝันและแนวคิด ‘ผู้กล้าเปลี่ยนโลก’ โดยไม่ฟังคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญหรือยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นสากล ความดื้อรั้นในการเดินทางนอกกรอบโดยไม่พร้อมรับผิดชอบต่อความเสี่ยง กลับกลายเป็นเครื่องหมายแห่งโศกนาฏกรรมที่สั่นสะเทือนโลก และชี้ให้เห็นว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ควรตั้งอยู่บนรากฐานของสติ ความรับผิดชอบ และการเคารพพลังของธรรมชาติ ไม่เช่นนั้น นวัตกรรมก็อาจกลายเป็นหลุมศพของผู้สร้างมันเอง

 

เรื่อง: poonpun