19 ต.ค. 2568 | 17:00 น.
นี่ก็นับว่าเป็นเวลานานมากแล้วที่ทีมฟุตบอลปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดหายสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือคนที่สามารถ ‘ไว้ใจ’ในการยิงประตูเข้าตาข่าย กองหน้าที่ผสานงานกับทีมได้อย่างสมบูรณ์แบบ เชื่อว่ากองเชียร์ปีศาจแดงก็เช่นกัน ที่ยังคง ‘รอคอย’ อย่างมีความหวังอยู่เสมอ
อาจดูเหมือนตลกร้ายแต่ก็เป็นเรื่องจริงว่า ก็ตั้งแต่ยุคท่านเซอร์ ‘อเล็ก เฟอร์กูสัน’ (Alex Ferguson) จากไป กองหน้าแบบยุคก่อนก็หายไปพร้อมกัน
\แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเผชิญกับยุคที่อาจเรียกได้ว่า ‘ตกต่ำที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สโมสรเลยก็คงจะไม่เกินจริง ด้วยผลงานที่ประจักษ์ทั้งในลีคอย่างไม่น่าเชื่อสายตา บอลถ้วยคงไม่ต้องพูดถึง ถ้วยยูโรป้าหรือยูฟ่าก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไป
ทีมที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ กลับต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในเวทียุโรป ทุกตำแหน่งที่มีปัญหา ผู้รักษาประตู กองหลัง กองกลาง ไล่มาถึง ‘กองหน้า’ จนถึงตอนนี้ทีมก็ยังขาดคนจบสกอร์ที่ไว้วางใจได้
เป็นอีกครั้งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้มีความหวังใหม่
โชคชะตาฟ้าลิขิตให้ทีมงานปีศาจแดงสนใจกองหน้าจากทีมผึ้งน้อย ‘เบรนท์ฟอร์ด’ ดาวซัลโวของทีมและอันดับสี่ของลีค ซัดไป 20 ประตูในพรีเมียร์ลีค ฤดูกาล 2024-2025
นักฟุตบอลฝีเท้าดีผู้นั้นมีนามว่า ‘ไบรอัน เอ็มเบอโม่’ (Bryan Mbuemo)
ปัญหาเกี่ยวกับ ‘กองหน้า’ เป็นที่ห่อเหี่ยวใจไม่น้อย นับตั้งแต่การจากไปของ ‘ฟลายอิ้งดัตช์แมน’ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ ‘สุกรโลกันต์’ เวย์น รูนีย์ และถึงจะมีการจุติของพระเจ้า ‘ซลาตัน’ ที่มาช่วยถล่มประตูให้ยูไนเต็ด แต่ก็เป็นเวลาสั้นๆที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นยูไนเต็ดก็ไม่เคยมีกองหน้าที่สร้างความหวังให้แฟนบอลได้อีกเลย
ฤดูกาล 2024/25 เป็นบทพิสูจน์ความโหดร้ายของแมนยูไนเต็ดที่ต้องเจอ เมื่อดาวซัลโวสูงสุดของทีมกลับมาจากตำแหน่งที่ไม่ใช่ตัวจบสกอร์แบบจริงๆ เป็นประตูเพียง 8 ประตู มาจากเจ้าหนูอาหมัด ดิยัลโล่ และ กัปตันบรูโน่ เฟอร์นันเดส
สำหรับสโมสรที่เคยมีฤดูกาลที่กองหน้าเป็นฮีโร่ มีทีมที่เข้าขากัน การยิงประตูได้ถึง 20 ถึง 30 ประตูเป็นเรื่องปกติเลยสมัยก่อน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่น้อยลงอย่างน่าใจหาย แต่มันคือ ‘ปัญหาเรื้อรัง’
กุนซืออโมริมคนใหม่ต้องการกองหน้าฝั่งขวาที่สามารถเล่นเท้าซ้ายได้ เป็นตำแหน่งที่ยูไนเต็ดขาดหายมานาน และแม้ว่าอาหมัด ดิยัลโล่ จะได้รับโอกาสทดลองในตำแหน่งนั้น แต่ความไม่แน่นอนของเขาทำให้ทีมต้องมองหาคนที่ ‘พร้อมกว่า’
ทุกอย่างลงตัวทำให้ได้มาพบเจอกับนักฟุตบอลนามว่า ไบรอัน เอ็มเบอโม่
ถึงจะพูดว่า เขามาจากแคเมอรูนแต่เรื่องราวของเขามันก็มีมากกว่านั้น
ไบรอัน เอ็มเบอโม่ (Bryan Mbuemo) ได้เติบโตขึ้นในเมืองอาวัลลอง ประเทศฝรั่งเศส พ่อแม่ของเขาเป็นผู้อพยพจากแคเมอรูนเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่า
ในช่วงปี 1970 ชาวแคเมอรูนเริ่มอพยพไปยังฝรั่งเศสอย่างเป็นระบบ เนื่องจากวิกฤตทางสังคมและเศรษฐกิจในแคเมอรูน
บทบาทของครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนเส้นทางฟุตบอลของเขา เมืองอาวัลลองเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อบอุ่น ทำให้เขาเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนความสนใจในกีฬา
เอ็มเบอโม่เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรซีโอ อาวัลโลเนส์ (CO Avallonais) ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งมีพ่อแม่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้เขาฝึกฝนอย่างจริงจัง การสนับสนุนนี้ช่วยให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับอะคาเดมี่ของทรัวส์ (Troyes) เมื่ออายุ 14 ปี
จนอายุ 18 ปีเขาก็ได้เซ็นสัญญานักเตะระดับมืออาชีพเป็นครั้งแรก
ความทุ่มเทนี้สะท้อนผลลัพธ์ชัดเจนในปี 2018 เอ็มเบอโม่ยิงสองประตูในรอบชิงชนะเลิศ Coupe Gambardella ที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ช่วยทรัวส์ คว้าชัยครั้งแรกในรอบ 62 ปี นับเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวขึ้นมาของเขาในฐานะดาวรุ่งและเป็นเครื่องยืนยันถึงการลงทุนตั้งแต่ต้นของครอบครัว
ด้วยความโดดเด่นของเจ้าตัวในเวทีบอลฝรั่งเศษทำให้เขาจะมีสิทธิ์เลือกเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศษได้ ในปี 2020 เอ็มเบอโม่เคยติดทีมชาติฝรั่งเศสในระดับเยาวชนด้วย ลงเล่นไปทั้งหมด 10 นัดและทำประตูได้หนึ่งลูก
แต่ต้องยอมรับว่าการแข่งขันของทีมชาติฝรั่งเศษนั้นดุเดือด เวลานั้นมีคู่แข่งอย่าง ‘คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้’ ‘อุสมาน เดมเบเล่’ ‘กีงส์แล กอมาน’ คือกองหน้าระดับฉกาจทั้งนั้น
จนในที่สุดในเดือนสิงหาคม 2022 ทำให้เขาตัดสินใจเลือก ‘แคเมอรูน’
การเปิดตัวของเอ็มเบอโม่ให้กับทีมชาติแคเมอรูน เขาลงเล่นครบทั้งสามนัดในศึกฟุตบอลโลก 2022 แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ตกรอบไป
แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ของเขาเปิดโอกาสให้สัมผัสวัฒนธรรมฟุตบอลโลกไม่เพียงแต่แค่ในฝรั่งเศษเท่านั้น การสร้างสมดุลนี้คงว่าได้ว่ามัน ‘หล่อหลอม’เอ็มเบอโม่ให้เป็นนักเตะที่ผสมผสานลีลาฟุตบอลแบบแอฟริกันกับยุโรปได้
ต่อมาในปี 2019 เขาย้ายไปเบรนท์ฟอร์ดด้วยค่าตัว 5.8 ล้านปอนด์ ก้าวเข้าสู่การปรับตัวอย่างเข้มข้น หนทางสู่แชมเปี้ยนชิพอังกฤษซึ่งเน้นการแข่งขันสูงและร่างกายหนัก ต้องการความเข้มแข็งทางอารมณ์เรียกได้ว่ายกระดับ
แต่ก็ยังมีการสนับสนุนของครอบครัวยังคงเป็นเสาหลักสำคัญ เขายังให้สัมภาษณ์กับ Manchester Evening News ว่า
“ผมเป็นคนที่ต้องการการแรงสนับสนุน
และความรักเพื่อทำผลงานได้ดีที่สุด”
เมื่อถึงเวลาต้องเลือก สโมสรเดียวที่ เอ็มเบอโม่ ต้องการย้ายไปร่วมทัพ นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น ด้วยเพราะเป็นทีมที่เจ้าตัวใฝ่ฝันมาตั้งแต่วัยเด็ก
การเซ็นสัญญาครั้งนี้คือการเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเขาที่เริ่มต้นจากการสวมเสื้อ ‘ผีแดง’ ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วิ่งเล่นอยู่บนท้องถนนเมื่อสมัยยังละอ่อน
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ก่อนเข้ามาแมนฯ ยูไนเต็ด เอ็มเบอโม่ยังต้องปรับตัวเข้ากับความกดดันมหาศาลของพรีเมียร์ลีกและยิ่งไปกว่านั้นกับทีมที่มีสโมสรใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
สำหรับนักเตะหลายคน ‘โรงละครแห่งความฝัน’ ไม่ได้มีแต่ความฝันเสมอไปมันคือสนามที่พิสูจน์ว่าใครจะยืนหยัดท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ความคาดหวังของแฟนบอล และสายตาของโลกทั้งใบได้จริง
ที่ผ่านมา ยูไนเต็ดเรียนรู้บทเรียนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อนำกองหน้าจากลีกอื่นเข้ามา แต่กลับไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเกมที่รวดเร็วและเข้มข้นของอังกฤษได้และนี่คือความท้าทายที่เอ็มเบวโม่จะต้องเผชิญเช่นเดียวกัน
จุดนี้เราอาจจะสังเกตได้จากกรณีศึกษาที่เกิดขึ้น ความพยายามแก้ปัญหาของยูไนเต็ดที่ดึงนักเตะจากลีกอื่นเข้ามา เช่น ‘โจชัวร์ เซิร์กเซ่’ (Joshua Zirkzee) จากโบโลญญา หรือ ‘ราสมุส ฮอยลุนด์’ (Rasmus Højlund) จากอตาลันต้า แม้ทั้งคู่จะทำผลงานดีในลีกเดิม แต่การปรับตัวในพรีเมียร์ลีกกลับดูกระท่อนกระแท่น
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ‘การเป็นกองหน้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ไม่ใช่เพียงเรื่องของพรสวรรค์หรือโชคช่วย แต่มันคือ ‘ภาระทางจิตใจและความคาดหวังมหาศาล’ ที่ผู้เล่นทุกคนต้องเผชิญ
เอ็มเบอโม่อาจไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ทันที แต่เขาเป็น ‘ประกายไฟดวงใหม่’ ในช่วงเวลาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังเผชิญกับเงามืดของความล้มเหลว
เด็กหนุ่มวัย 26 ปีที่ผ่านการทดสอบหนักในชีวิตจริง และพิสูจน์ตัวเองในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ กำลังถูกวางบนเวทีที่เรียกว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ ที่ซึ่งความฝันไม่ใช่ของใครก็ได้และทุกก้าวต้องพร้อมรับแรงกดดันมหาศาล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในยุคปัจจุบัน ต้องเผชิญทั้งวิกฤตแนวรุก และประวัติศาสตร์ความคาดหวังที่หนาแน่น แต่เอ็มเบอโม่ คือผู้เล่นที่อาจเป็น ‘จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ’ เขาไม่ได้เข้ามาเพียงเพื่อลงเล่น แต่เข้ามาเพื่อเติมเต็มช่องว่าง ปรับสมดุลให้แนวรุก และแสดงให้เห็นว่าความทุ่มเท ความมุ่งมั่น
ในวันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังรอคอยการกลับมาอีกครั้ง เอ็มเบอโม่อาจเป็น สัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นใหม่ ‘แสงเล็ก ๆ’ ในเงามืดที่อาจนำพาทีมกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่
ภาพ : Getty Images