16 ธ.ค. 2568 | 19:00 น.

KEY
POINTS
"ความยากจนไม่ได้เกิดจากคนยากจน ความยากจนเกิดขึ้นจากระบบที่เราได้สร้างขึ้นมาต่างหาก"
‘มูฮัมหมัด ยูนุส’ (Muhammad Yunus) คำพูดนี้ปรากฏในหนังสือ Creating a World Without Poverty: Social Business and the Future of Capitalism (2007) วิจารณ์ถึงระบบทุนนิยม โดยเขามองว่าระบบนี้ได้เข้ามาสร้างความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลในบังกลาเทศ พร้อมเน้นย้ำว่าความยากจนเกิดจากโครงสร้างระบบที่ล้มเหลว หาใช้ความบกพร่องส่วนบุคคลแต่อย่างใด และความยากจนในประเทศนี้ส่งผลกระทบต่อสตรียากจนเข้าอย่างจัง เพราะพวกเธอไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าไปขอกู้ยืมเงินจากธนาคาร เพราะไม่มีสินทรัพย์ช่วยค้ำประกัน
นั่นจึงเป็นที่มาของการก่อตั้งกรามีนแบงก์ขึ้นในปี 1983 เพื่อให้เหล่าสตรีสามารถมายืมเงินจากธนาคารไปทำธุรกิจขนาดเล็กของตัวเองได้โดยปราศจากข้อกังวลใจ นับจากวันนั้นยูนุสจึงกลายเป็นดั่ง ‘ฮีโร่’ ของคนยากไร้ ไม่ว่าจะขยับไปทางไหน รอบกายของเขาก็มักจะรายล้อมด้วยรอยยิ้มจากประชาชนที่รักเขายิ่งกว่าสิ่งใด
ส่วนเหตุผลที่ยูนุสหันมาสร้างธนาคารเพื่อคนยากไร้ ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรเป็นพิเศษ เขาแค่อยากเห็นชาวบังกลาเทศมีชีวิตที่ไม่หนักหนาจนเกินไป อยากให้เพื่อนร่วมชาติได้ลืมตาอ้าปากได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่มักไม่ได้รับโอกาสในการทำงานมากเท่าเพศชาย
The People ชวนอ่านเรื่องราวสุดอัศจรรย์ของชายคนหนึ่ง ที่ลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงจากธนาคารเล็ก ๆ ในประเทศ กลายเป็นต้นแบบธนาคารเพื่อคนจนที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
มูฮัมหมัด ยูนุส เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1940 ณ หมู่บ้านบาทัว (Bathua) ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเบงกอล ในบริติชราช (British Raj) ยูนุสเป็นลูกชายคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องที่รอดชีวิตทั้งหมด 9 คน (ผู้ชายชาย 7 คน และผู้หญิง 2 คน) จากพี่น้องทั้งหมด 14 คนที่เกิดมา (โดย 5 คนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก) เขาเกิดและโตในครอบครัวที่อบอุ่น แม่เป็นแม่บ้านที่ดูแลแทบทุกอย่างให้อยู่ในระเบียบ ขณะที่พ่อคือชาวมุสลิมผู้เคร่งศาสนา และมักจะสอนบทเรียนชีวิตให้แก่ลูกทุกคนอยู่เสมอ โดยบทเรียนแรกที่มักพร่ำสอนลูกอยู่ไม่ห่าง นั่นคืออย่าละทิ้งการศึกษา
1944 ครอบครัวได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองจิตตะกอง (Chittagong) หลังจากที่พ่อได้เปิดกิจการร้านขายเพชรพลอย ทำให้ฐานะของครอบครัวค่อย ๆ ดีขึ้น และสามารถส่งเสียให้ยูนุสเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำในท้องถิ่น และเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ยูนุสศึกษาที่มหาวิทยาลัยธากาในบังกลาเทศ จากนั้นได้รับทุนฟุลไบรท์ไปศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ เขาได้รับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ในปี 1969 และในปีถัดมาได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมิดเดิลเทนเนสซีสเตต
ในปี 1974 ยูนุสเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขาในบังกลาเทศ ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชจากปากีสถานเมื่อสามปีก่อนเขาจะกลับมา หลังผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอันนองเลือด ยูนุสตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น เริ่มจากเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจิตตะกอง แต่ไม่นานก็รู้สึกสิ้นศรัทธาต่อแวดวงวิชาการ เมื่อได้เผชิญกับความยากจนที่แพร่กระจายอยู่ทุกหย่อมหญ้า และพบว่าการก้าวขึ้นมารับตำแหน่งศาสตร์จารย์ไม่ได้ช่วยให้ภาพอันน่าเศร้านี้จางลง
ยูนุสมองว่าเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ไร้ซึ่งความหมาย การกลับมาบ้านในครั้งนั้น ฉุดให้เขายืนอยู่ท่ามกลางทุพภิกขภัยอันโหดร้าย โดยยูนุส ในวัย 83 ปี ได้รำลึกความหลังในการให้สัมภาษณ์ผ่าน Zoom กับนิตยสาร TIME ว่า “มันเป็นเพียงแนวคิดว่างเปล่า ที่ไม่เคยสอนผมเลยว่าจะช่วยให้คนยากจนปกป้องตนเองจากความหิวโหยได้อย่างไร”
เขายังกล่าวเสริมถึงเศรษฐศาสตร์ว่า นี่คือวิชาที่ตั้งอยู่บนสมมติฐาน โดยวางให้มนุษย์ทุกคนถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว และโลกทั้งใบก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับสิ่งนั้น
“เศรษฐศาสตร์ได้เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน แรงขับเคลื่อนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ก็จริง แต่ผลประโยชน์ร่วม ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์เช่นกัน แต่สิ่งนี้กลับถูกเศรษฐศาสตร์เพิกเฉยไปโดยสิ้นเชิง เราได้สร้างโลกที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตน และผลลัพธ์ก็คือความมั่งคั่งที่ ‘กระจุกตัว’ อย่างรุนแรง ภาวะโลกร้อน และการว่างงาน”
ส่วนจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งธนาคารเพื่อคนยากไร้ เกิดหลังจากเขาเดินไปตามตรอกโคลนของหมู่บ้านใกล้กับมหาลัยฯ เพื่อหาทางออกของปัญหาความยากจน และในวันนั้น เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทำเก้าอี้ไม้ไผ่อยู่หน้ากระท่อมที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่
“ผมเห็นว่ามันมีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างเก้าอี้ที่เธอทำกับบ้านที่เธออาศัยอยู่” ยูนุสเล่าย้อนความทรงจำ
โดยเขาบอกว่าเก้าอี้ที่เธอกำลังทำอยู่นั้น งดงามจนสามารถเทียบเคียงได้กับเก้าอี้ในโรงแรมหรู แม้ช่วงแรกหญิงคนนั้นจะไม่กล้าพูดคุยกับยูนุส เนื่องจากยึดถือขนบธรรมเนียมอิสลามแบบดั้งเดิม แต่ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดใจเธอได้
เธอเล่าว่า วัสดุที่ต้องใช้มีราคาประมาณ 5 ดอลลาร์ ซึ่งเธอไปกู้มาจากนายทุนเงิน เป็นเงินกู้ยืมนอกระบบ แต่แทนที่เธอจะนำเก้าอี้ไปขายในตลาด เงื่อนไขของเงินกู้กลับบังคับให้เธอต้องขายสินค้าทั้งหมดให้กับเจ้าหนี้ในราคาที่เขากำหนดเพียงฝ่ายเดียว
“ผมพูดว่า ‘นี่คือความเป็นทาส นี่ไม่ใช่ธุรกิจ!’” ยูนุสเล่า
“เพียงเพราะเงิน 5 ดอลลาร์ คนที่มีทักษะประณีตขนาดนี้ สามารถถูกทำให้กลายเป็นทาสได้”
ยูนุสจึงตัดสินใจให้หญิงคนนั้นยืมเงิน 5 ดอลลาร์ โดยมีข้อตกลงอย่างคร่าว ๆ ว่าเธอจะคืนเงินให้เขาเมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถทำได้ นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนให้เธอบอกต่อกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันให้มาหาเขา และในที่สุดเขาก็ปล่อยกู้เงินจำนวน 27 ดอลลาร์ให้กับกลุ่มผู้หญิง 42 คน ไม่ใช่เพราะอยากเป็นเจ้าหนี้หรือเจ้าชีวิต แต่อยากให้หญิงกลุ่มนี้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินงาม
จากการกระทำอันเรียบง่ายครั้งนั้น ได้ก่อกำเนิดเป็นโครงการวิจัยด้านสินเชื่อรายย่อย (ไมโครเครดิต) ซึ่งประสบความสำเร็จและพัฒนากลายมาเป็นธนาคารกรามีน (ซึ่งมีความหมายว่าธนาคารหมู่บ้าน) ในปี 1983
ปรากฏการณ์ไมโครเครดิตที่ยูนุสริเริ่ม ได้ขยายตัวไปยังประเทศกำลังพัฒนากว่า 100 ประเทศทั่วโลก และแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาเองก็ได้รับอิทธิพลจากกรามีนแบงก์เช่นกัน นับตั้งแต่เปิดสำนักงานแห่งแรกในย่านแจ็กสันไฮต์ส ในนครนิวยอร์ก เมื่อปี 2008 กรามีนแบงก์ได้ขยายเครือข่ายไปยัง 35 เมืองในสหรัฐฯ และปล่อยสินเชื่อมากกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่ผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย โดยภายในระยะหนึ่งปี ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีอัตราการชำระคืนสูงกว่า 99% อย่างสม่ำเสมอ
โดยรวมแล้ว สินเชื่อของกรามีนแบงก์ทั่วโลกมากกว่า 94% ถูกปล่อยให้แก่ผู้หญิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากความยากจนมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะนำรายได้ไปช่วยเหลือครอบครัวมากกว่า
ยูนุสมองว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เราเป็นคนสร้างขึ้นมา และเราก็สามารถทำลายลงได้เช่นกัน
“ผู้คนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความยากจน เพราะความมั่งคั่งของโลก 99% อยู่ในมือของประชากรเพียง 1% การกระจุกตัวของความมั่งคั่งได้สร้างความยากจนขึ้นมา ไม่ใช่คนจนที่สร้างมัน ระบบเศรษฐกิจที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเราเองต่างหาก ที่ได้สร้างความยากจนขึ้นมา ดังนั้นเราจำเป็นต้องออกแบบระบบนี้ใหม่”
“หากคุณต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง คุณต้องเปลี่ยนกรอบของเศรษฐศาสตร์ มิฉะนั้น การปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็จะเป็นเพียงการถ่ายโอนอำนาจจากกลุ่มหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทางออก หากคุณเดินไปบนถนนสายเดิม คุณก็จะไปถึงจุดหมายเดิมเสมอ คุณต้องสร้างถนนสายใหม่ และไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้”
นี่คือภารกิจตลอดชีวิตในการต่อสู้กับความยากจน ซึ่งทำให้ยูนุสได้รับสมญานามว่า นายธนาคารของคนยากจน พร้อมกับคำสรรเสริญที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ผลของความพยายามในการขจัดความยากจน ทำให้ยูนุสได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2006 และเหรียญอิสรภาพของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2009 รวมถึงเหรียญทองรัฐสภาสหรัฐอเมริกาในปีถัดมา
แต่ในปี 2024 ยูนุสกลับถูกมองว่าเป็นอาชญากรคนหนึ่ง ที่คอยดูดเลือดเนื้อของคนยากไร้ เมื่อยูนุสและผู้บริหารอีกสามคนของบริษัทโทรคมนาคมในเครือกรามีน เทเลคอม (Grameen Telecom) ถูกตัดสินจำคุกหกเดือน ในความผิดฐานละเมิดกฎหมายแรงงานของบังกลาเทศ พวกเขาได้รับการประกันตัวในทันทีระหว่างการยื่นอุทธรณ์
นี่เป็นเพียงหนึ่งในคดีมากกว่า 200 คดีที่ยูนุสกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งรวมถึงข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ฟอกเงิน และยักยอกเงิน ขณะที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ‘ชีค ฮาซินา’ (Sheikh Hasina) เริ่มขยับเข้าใกล้เผด็จการมากขึ้นทุกขณะ และเธอพยายามเดินหน้ากวาดล้างคนที่ ‘มองว่า’ เป็นศัตรูของรัฐให้สิ้นซาก
เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 บุคคลสำคัญระดับโลกมากกว่า 170 คน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ บัน คีมูน และผู้ได้รับรางวัลโนเบลมากกว่า 100 คน ได้ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ฮาซินายุติ การคุกคามทางกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่องต่อยูนุส
ต่อมาในเดือนมิถุนายน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่าคดีเหล่านี้อาจสะท้อนถึงการนำกฎหมายแรงงานของบังกลาเทศมาใช้ในทางที่ผิด เพื่อคุกคามและข่มขู่ดร.ยูนุส เพราะการกระทำของของเธอกำลังฉายภาพสะท้อนถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ย่ำแย่ในบังกลาเทศ โดยมีรัฐเป็นบ่อนทำลายเสรีภาพและใช้กำลังบดขยี้นักวิจารณ์ให้ยอมจำนน
ใช่ว่าแรงกดดันจะทำให้เธอยอมจำนน ฮาซินายังคงเดินหน้ากำจัดศัตรูทางการเมืองอยู่เรื่อยมา และตั้งแต่ปี 2011 เธอประณามยูนุสว่าเป็น ‘ปลิงดูดเลือด’ คนยากจน พร้อมทั้งบีบเค้นให้เขาออกจากธนาคารกรามีน
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เดือนมกราคม 2007 หลังจากกองทัพบังกลาเทศยึดอำนาจและเสนอให้ยูนุสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ชายคนนี้ก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธ เขาไม่อยากถือครองอำนาจ ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์อื่นใดเพื่อให้ชีวิตตัวเองสุขสบาย ไม่ว่าใครจะหยิบยื่นสถานะทางการเมืองใดมาให้ ยูนุสก็มักปฏิเสธอยู่เสมอ
และยิ่งนานวันเข้า ดูเหมือนว่าแนวคิดเรื่องไมโครเครดิตกำลังถูกทำให้มัวหมองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อผู้ประกอบการมองเห็นโอกาสในการทำเงินจากคนจน พวกเขานำคำว่า ไมโครเครดิตมาตีความใหม่ ใช้เป็นฉากบังหน้าให้กับบริการปล่อยกู้เงินที่มุ่งเน้นผลกำไรมากกว่าหวังจะช่วยให้คนยากไร้ได้ลืมตาอ้าปาก
“มันเริ่มต้นด้วยการบอกทุกคนว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีงานทำ บอกเราว่าถ้าคุณไม่มีงาน นั่นเป็นความผิดของคุณเอง และแปลว่าคุณมีปัญหา แต่มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับงานจากคนอื่น มนุษย์ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ เราสามารถสร้างความมั่งคั่งของเราเองได้ แต่ในสภาพที่เป็นอยู่ คุณต้องยอมสละความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง เพื่อบีบตัวเองเข้าไปอยู่ในช่องเล็กๆ ช่องนั้นเรียกว่า ‘งาน’
“แล้วทำไมใคร ๆ ถึงต้องทำงานให้คนอื่น ในเมื่อเราทุกคนเกิดมาเป็นผู้ประกอบการ แต่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กลับปิดกั้นสิ่งนี้ และบอกว่า ‘ไม่ คุณต้องรับใช้คนอื่น’ ลองจินตนาการดูว่าถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้ประกอบการ จะไม่มีทางเกิดการกระจุกตัวของความมั่งคั่งได้ หากผมไม่ทำงานให้คุณ คุณก็ไม่สามารถรวบรวมความมั่งคั่งทั้งหมดไว้ในมือคุณได้ คุณก็เหมือนกับผม ผมสร้างความมั่งคั่งของผมเอง คุณก็สร้างความมั่งคั่งของคุณเอง เราทุกคนต่างสร้างความมั่งคั่งของตนเอง”
ถึงจะพยายามปฏิเสธตำแหน่งทางการเมืองเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายชายคนนี้ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี เมื่อเขาได้รับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลรักษาการของบังกลาเทศ (Chief Adviser of the Interim Government of Bangladesh) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทเทียบเท่านายกรัฐมนตรีหรือผู้นำรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2024 ภายหลังจากเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่นำโดยนักศึกษา จนทำให้ชีค ฮาซินา อดีตนายกรัฐมนตรีต้องลาออกและลี้ภัยออกนอกประเทศ
โดยยูนุสให้คำมั่นกับพี่น้องชาวบังกลาเทศว่า เขาจะปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองอันเน่าเฟะ ให้กลับมาตรวจสอบได้ ทุกอย่างต้องอยู่ภายในสายตาของประชาชน ทำให้ประเทศแห่งนี้กลับมามั่งคั่งอีกครั้ง ในช่วงปลายปี 2568 รัฐบาลของยูนุสได้ประกาศโรดแมปการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งบังกลาเทศได้กำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2569
การขึ้นมารับตำแหน่งครั้งนี้ของยูนุส เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง เขามองว่าตนเองไม่อาจหลีกหนีจากโชคชะตานี้ได้ เขาไม่อาจทิ้งเพื่อนร่วมชาติไว้เบื้องหลัง แม้จะมีคดีความมากมาย แต่เขาก็ยังคงยืนยันจะอยู่ในบังกลาเทศ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน
“หากนั่น(การติดคุก)คือชะตากรรมที่รอผมอยู่” เขายักไหล่
“ผมก็ไม่อาจหนีออกจากประเทศเพียงเพราะต้องการหลีกเลี่ยงโทษจำคุกได้ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวผมในฐานะคนคนหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือผลงานตลอดชีวิตของผม วินาทีที่ผมตัดสินใจจากไป ทุกสิ่งจะถูกทำลายทิ้งลงทันที”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง
From ‘Banker to the Poor’ to ‘Bloodsucker’: The Sorry Saga of Nobel Laureate Muhammad Yunus.
How an encounter with extreme poverty led this Nobel Laureate to invent microfinance.
Microloan Pioneer and His Bank Win Nobel Peace Prize.
Six ways to think differently about the world from a Nobel Prize winner.