174 ปี World Expo ย้อนดูประวัติศาสตร์ และชวนเที่ยว Osaka 2025

174 ปี World Expo ย้อนดูประวัติศาสตร์ และชวนเที่ยว Osaka 2025

ย้อนรอย 174 ปี World Expo สู่มหกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ Osaka 2025 เตรียมพบกับนวัตกรรมล้ำสมัยที่จะเปลี่ยนโลก เช่นเดียวกับหอไอเฟล ชิงช้าสวรรค์ และ X-Ray ในอดีต

KEY

POINTS

  • นวัตกรรมระดับโลกที่เปิดตัวครั้งแรกใน World Expo
  • การมีส่วนร่วมของประเทศไทยและศาลาไทยในเวทีระดับโลก
  • Osaka 2025 กับแนวคิด ‘การออกแบบสังคมในอนาคตสำหรับชีวิตของเรา’

‘World Expo’ หนึ่งในมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก กำลังจะอุบัติขึ้นที่เมือง ‘Osaka’ ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หลังจากที่ Osaka เคยจัด World Expo ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970

Osaka คือเมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานมหกรรม World Expo เพื่อแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของญี่ปุ่นยุคปัจจุบันออกสู่สายตาโลกอีกครั้ง

World Expo มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘International Registered Exhibitions’ จัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1851

World Expo จะมีระยะเวลาการจัดราว 6 เดือน โดยจะขึ้นทุก ๆ 5 ปี กินระยะเวลางานสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน โดย World Expo ไม่ใช่งานจัดแสดงสินค้านวัตกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ถือเป็นการสร้าง Brand ให้กับ ‘ชาติ’

World Expo เป็นการเปลี่ยนมุมมองให้คนทั่วโลกมอง ‘ชาติต่าง ๆ’ ในมุมที่ต่างออกไป

World Expo เป็นไปเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผลักดันเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีของชาติ โดย World Expo ที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่น ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1862 ที่มีการเปิดตัว ‘ต้นแบบเครื่องซักผ้า’ ที่พัฒนาต่อมาและใช้กันจนถึงปัจจุบัน

หรือจะเป็นที่นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1893 ที่มีการจัดแสดงชิงช้าสวรรค์ครั้งแรกของโลก และโลกก็ใช้รูปแบบชิงช้าสวรรค์จนถึงปัจุจบัน หรือที่เซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1904 ที่มีการจัดแสดงเครื่องเอ็กซ์เรย์ครั้งแรกของโลก และโลกก็ใช้มาจนถึงปัจุจบัน

ที่ Osaka ในปี ค.ศ. 1970 มีการจัดฉายภาพยนตร์ในระบบ IMAX ครั้งแรกของโลก และ IMAX ก็ยังใช้ระบบกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่า World Expo เป็นเสมือนประตูสู่อนาคตที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้เราได้เห็นทั้งภาพของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคสมัยที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

World Expo มีชื่อเต็มว่า World Exposition จึงเป็นมหกรรมงานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และดำเนินการจัดมายาวนานกว่า 174 ปี โดยจะมีการจัดขึ้นทุก ๆ 5 ปี ซึ่งจะหมุนเวียนประเทศเจ้าภาพในหมู่ประเทศภาคีสมาชิก ‘Bureau International des Expositions’ (BIE) หรือ ‘สำนักงานจัดนิทรรศการนานาชาติ’ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฝรั่งเศส

โดยภาคีสมาชิก BIE นั้นมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย

World Expo เป็นเวทีที่เปิดให้แต่ละชาติได้แสดงศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรม และความเจริญก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการ และเทคโนโลยี

อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมเรียนรู้พัฒนาการของศาสตร์แขนงต่าง ๆ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น มรดกทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก

‘ศาลาไทย’ เอกลักษณ์ชาติ ณ World Expo

ประเทศไทยได้เข้าร่วม World Expo ครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ. 1862 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ที่ทรงโปรดให้จัดสิ่งของต่าง ๆ ไปร่วมจัดแสดง

ประกอบด้วย พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ชุดพานทอง ชุดโตกไม้ และเครื่องกระเบื้องต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพถ่ายธงช้างเผือกของสยาม ที่ได้ปรากฏอยู่ในภาพงานมหกรรมโลกในครั้งนั้น

ต่อมาในปี ค.ศ. 1867 ไทยได้เข้าร่วม World Expo อีกครั้ง ณ ประเทศฝรั่งเศส โดยงานจัดขึ้นที่ Champ de Mars ใจกลางกรุงปารีส นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้สร้างศาลาไทยขึ้นใน World Expo 
 

โดยมีรูปปั้นช้างเป็นสัญลักษณ์ปรากฏอยู่โดดเด่นที่ด้านหน้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำสิ่งของที่นำไปจัดแสดงนอกเหนือจากพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีของส่วนพระองค์ และของพระราชทานอีกหลายรายการ ได้แก่ เชี่ยนหมากทองคำ เครื่องมุก แจกันลงยา  ผ้าไหม  โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุหลายรายการ ซึ่งรวมถึงพระพุทธรูปปางต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีงานหัตถกรรมชิ้นเยี่ยมอีกเป็นจำนวนมาก  

หลังจากนั้น ไทยได้เข้าร่วม World Expo อีกหลายครั้งตราบจนปัจจุบัน โดยมีเอกลักษณ์คือ ‘ศาลาไทย’ ที่ปรากฏตัวทุกครั้ง รวมถึง World Expo ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเดือนหน้าที่ Osaka 

World Expo 2025 Osaka Kansai

ประเทศญี่ปุ่นได้เสนอตัวต่อ BIE เพื่อเป็นเจ้าภาพงาน World Expo ในปี ค.ศ. 2025 โดยเสนอเมือง Osaka และ ‘ภูมิภาค Kansai’ เป็นเจ้าภาพจัดงาน 

นับเป็นการได้รับโอกาสอีกครั้งในรอบ 55 ปีของ Osaka หลังจากที่เคยจัด World Expo ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งถือเป็นการจัด World Expo ครั้งแรกของญี่ปุ่น และครั้งแรกของทวีปเอเชียอีกด้วย ในครั้งนั้น Osaka สร้างสถิติมีผู้เข้าร่วมชมมากกว่า 60 ล้านคนเลยทีเดียว

โดยในปี ค.ศ.2025 นี้ นับตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ปี ค.ศ. 2025 ที่จะถึงนี้ ไปจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2025 Osaka จะเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2025 Osaka Kansai ภายใต้แนวคิด ‘Designing Future Society For Our Live’ หรือ ‘การออกแบบสังคมในอนาคตสําหรับชีวิตของเรา: เทคโนโลยีล้ำสมัย และความคิดสร้างสรรค์จากหลากหลายสาขาที่จะถูกนำมารวมกัน’

Theme งานถูกแบ่งออกเป็น 3 แนวคิดย่อย ได้แก่
1. Saving Live การปกป้องชีวิตของผู้คน
2. Empowering Live การพัฒนาคุณภาพชีวิต
3. Connecting Live ส่งเสริมความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรม

ในส่วนของสถานที่จัดงาน Osaka จัดขึ้นที่เกาะ ‘Yumeshima’ หรือ ‘เกาะแห่งความฝัน’ ที่เกิดจากการถมทะเลในอ่าว Osaka ใกล้กับปากแม่น้ำ Yodo ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ‘Universal Studios Japan’ กับ ‘Osaka Aquarium’

ย้อนกลับไปมอง World Expo 1970 ที่ทาง Osaka ได้เคยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ปี ค.ศ. 1970 จนถึงวันที่ 13 กันยายน ปี ค.ศ. 1970 ซึ่งถือเป็น World Expo ครั้งแรกที่จัดขึ้นในญี่ปุ่นและเป็นครั้งแรกของเอเชีย ภายใต้แนวคิด ‘ความก้าวหน้าและความสามัคคีเพื่อมนุษยชาติ’ จัดขึ้นในช่วงสงครามเย็น ที่ญี่ปุ่นได้พัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

World Expo 1970 ที่ Osaka เป็นไปเพื่อส่งเสริมสันติภาพ และสร้างโลกใหม่ร่วมกัน โดยมีการจัดแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลก ในเวลาเดียวกัน World Expo 1970 ที่ Osaka ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมสมัยที่มนุษย์ต้องเผชิญ เช่น ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และความยากจน เป็นต้น

ย้อนประวัติศาสตร์ World Expo กับนวัตกรรมบรรลือโลก

1. หอไอเฟล

World Expo ที่โด่งดังจนเป็นตำนานทุกยุคทุกสมัยก็คือ World Expo 1889 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีการเปิดตัว ‘หอไอเฟล’ ผลงานชิ้นเอกของสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อ ‘กุสตาฟ ไอเฟล’ สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวโลกจนถึงทุกวันนี้

‘หอไอเฟล’ มีความสูงถึง 324 เมตร กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว World Expo 1889 ชนิดที่ตราตรึงไปชั่วชีวิต ตราบจนปัจจุบัน หอไอเฟล เป็น Landmark ระดับโลก เป็นจุดเช็คอินถาวรในกรุงปารีส และสัญลักษณ์ประจำฝรั่งเศสที่โด่งดังไปทั่วโลก

2. โทรศัพท์เครื่องแรก

World Expo 1876 มีการเปิดตัวโทรศัพท์เครื่องแรกของโลกที่ประดิษฐ์โดย ‘Alexander Graham Bell’ โดยนำมาเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกใน World Expo 1876 เมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา 

ในอีกเกือบ 100 ปีต่อมา World Expo ที่ Osaka ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1970 ได้มีการเปิดตัว ‘โทรศัพท์ไร้สาย’ สร้างกระแสฮือฮามากในขณะนั้น และได้รับการต่อยอดเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของโลกในเวลาต่อมา

3. ซอสมะเขือเทศ

‘Heinz’ บริษัทผลิตซอสมะเขือเทศสัญชาติอเมริกัน เริ่มคิดค้นซอสมะเขือเทศขึ้นในปี ค.ศ. 1876 และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ซอสมะเขือเทศต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกใน World Expo ที่ฟิลาเดลเฟีย ภายใต้ชื่อ ‘Catsup’

อย่างไรก็ดี Catsup ของ Heinz มาได้รับความนิยมในงาน World Expo 1893 ที่นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีการแจกซองซอสมะเขือเทศตัวอย่างคู่กับแซนด์วิชชิ้นเล็ก ๆ ให้กับผู้ร่วมงานได้ชิมฟรีนั่นเอง

ผลปรากฏว่า World Expo 1893 มียอดแจก Catsup ของ Heinz มากกว่า 1 ล้านซองเลยทีเดียว

4. ชิงช้าสวรรค์

World Expo ที่นครชิคาโกปี ค.ศ. 1893 นับเป็นครั้งแรกที่โลกได้รู้จัก ‘ชิงช้าสวรรค์’ ที่ค้นคิดประดิษฐกรรมสรรค์สร้างขึ้นโดยวิศวกรโยธาชาวอเมริกันชื่อ ‘George Washington Gale Ferris’ ที่ได้สร้าง ‘ชิงช้าสวรรค์’ ขึ้นเพื่อเป็นแข่งกับ ‘หอไอเฟล’ โดยตรง

ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ นี้ มีความสูงถึง 80 เมตร ประกอบด้วย 36 กระเช้า แต่ละกระเช้าบรรจุคนได้มากถึง 60 คน ทำให้รองรับคนได้สูงสุด 2,160 คนต่อ 1 รอบที่กินระยะเวลา 20 นาที

ชิงช้าสวรรค์ ได้กลายเป็นเครื่องเล่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดในสหรัฐฯ และได้กลายเป็นต้นแบบให้กับสวนสนุกต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Disneyland

อย่างไรก็ดี เมื่อจบ World Expo 1893 ชิงช้าสวรรค์ดังกล่าว ได้ถูกรื้อถอนออก และถูกนำมาประกอบกลับคืนอีกครั้งใน World Expo 1904 ที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนจะถูกรื้อถอน และขายทิ้งเป็นเศษเหล็กในอีก 2 ปีต่อมา!!

5. เครื่อง X-Ray

เครื่อง X-Ray ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในโรงพยาบาล และสนามบินทั่วโลกในปัจจุบันนั้น เผยโฉมต่อสาธารณชนครั้งแรกใน World Expo ที่เมืองเซนต์หลุยส์ เมื่อปี ค.ศ. 1904

‘Wilhelm Conrad Röntgen’ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน เป็นผู้ค้นพบเทคโนโลยีรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าโดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1895 ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ เป็นคนแรกของโลกในปี ค.ศ. 1901

ปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า ‘รังสี X’ และก็ถูกพัฒนาต่อมาในสหรัฐอเมริกา โดยมีบริษัทต่าง ๆ ผลิตเครื่อง X-Ray อย่างมากมายในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

หมายเหตุ: นอกจาก Catsup ของ Heinz แล้ว ยังมีเมนูส่วนอาหารโดดเด่นใน World Expo อีกมากมายหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัวไอศกรีมโคน แฮมเบอร์เกอร์ ฮอทด็อก เนยถั่ว ขนมสายไหม และคลับแซนด์วิช เป็นต้น

 

เรื่อง: ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

ภาพ: Getty Images