16 พ.ย. 2568 | 22:38 น.

KEY
POINTS
น้ำนมจากเต้าของแม่ คืออาหารคำแรกของลูกหลังจากลืมตาดูโลก เป็นสารอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดี อีกทั้งเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกอย่างแนบแน่น
ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่า ‘การให้นมจากเต้า’ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้เป็นแม่เลย บางคนคลอดทารกก่อนกำหนด ร่างกายผลิตน้ำนมไม่เพียงพอ หรืออาจมีโรคที่ทำให้ลูกดูดนมจากเต้าไม่ได้
ทว่าสำหรับ เอลิซาเบธ แอนเดอร์สัน-เซียร์รา (Elisabeth Anderson-Sierra) เธอกลับผลิตน้ำนมมากเกินไป เนื่องจากเธอมีภาวะหลั่งน้ำนมเกิน หรือ Hyperlactation Syndrome ที่ร่างกายจะสร้างน้ำนมออกมาได้เป็นแกลลอนต่อวัน
หากจะทิ้งน้ำนมส่วนเกินจำนวนมากนี้ไปก็เสียดาย และเห็นว่ามีหลายครอบครัวต้องการนมแม่ เอลิซาเบธจึงเลือกบริจาคน้ำนมของตัวเองให้กับเด็กทารกนับหมื่นชีวิต จนได้ฉายา ‘Milk Goddess’ หรือ ‘เทพีแห่งน้ำนม’ และสร้างสถิติในฐานะ ‘ผู้บริจาคน้ำนมมากที่สุดในโลก’
ย้อนกลับไปช่วงฤดูร้อนในปี 2014 เอลิซาเบธกำลังตั้งท้อง ‘อิซาเบลลา’ ลูกสาวคนแรก ขณะที่เธอมีอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ จู่ ๆ เต้านมของเธอก็มีน้ำนมไหลออกมาได้ถึง 20 ออนซ์ และเมื่อเข้าสู่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ก็ผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นเป็น 30 ออนซ์ ทำให้เธอต้องซื้อเครื่องปั๊มนมแบบมือมาปั๊มนมตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง
เมื่ออิซาเบลลาอายุได้ 3 เดือน เอลิซาเบธไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจร่างกายที่ผลิตน้ำนมมากจนผิดธรรมชาติ หมอจึงให้เธอสแกนสมอง และพบว่าต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) มีขนาดใหญ่ผิดปกติ ซึ่งตามหลักแล้ว ระหว่างที่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรแลคติน ทำให้ต่อมใต้สมองขยายตัว เมื่อเวลาผ่านไป ต่อมนี้จะค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิม
แต่เคสของเอลิซาเบธ ต่อมนี้ไม่ได้หดกลับไปอย่างที่ควรจะเป็น
กลุ่มอาการนี้มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า Hyperlactation Syndrome หรือ ภาวะที่มีน้ำนมล้น ถือเป็นโรคหายากชนิดหนึ่ง คุณแม่ที่มีอาการนี้จะผลิตน้ำนมมากเกินกว่าความต้องการของทารก และจะสร้างน้ำนมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าลูกจะหย่านมแล้วก็ตาม
คุณหมอด้านต่อมไร้ท่อแนะนำเอลิซาเบธว่า โรคนี้สามารถใช้ยาลดระดับฮอร์โมนโปรแลคตินให้ผลิตน้ำนมน้อยลงได้ แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้ไม่มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกสาว ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป และมาตรวจร่างกายเป็นระยะ
แน่นอนว่าเธอเลือกข้อสองอย่างไม่ลังเล
“ฉันต้องปรับตัวเยอะมาก ๆ ตอนนั้นฉันเพิ่งเป็นแม่มือใหม่ แถมยังต้องมาเรียนรู้วิธีใช้เครื่องปั๊มนม แล้วก็จัดตารางเวลาปั๊มนมอีก”
ภาวะน้ำนมล้นของเอลิซาเบธทำให้ชีวิตประจำวันของเธอไม่เหมือนคุณแม่ทั่วไป ร่างกายของเธออ่อนเพลียมากขึ้นสองสามเท่า เพราะนอกจากจะต้องดูแลลูกสาวคนแรกแล้ว เธอต้องมานั่งปั๊มนมตามตารางที่จัดไว้ห้าช่วง ได้แก่ ตื่นนอน หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น และก่อนนอน รวมทั้งต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลหลายครั้งเพราะมีภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหารจากการให้นม
เอลิซาเบธยอมรับว่า ช่วงแรกเธอแทบจะปรับตัวไม่ได้เลย เนื่องจากต้องปั๊มนมออกมาก่อนให้ลูกเข้าเต้าทุกครั้ง เพราะกลัวว่าน้ำนมที่ทะลักออกมาจะผิดจังหวะตอนที่ลูกดูด แล้วเด็กจะสำลักน้ำนม
"การให้นมลูกด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับฉัน แต่ก็ไม่รู้เลยว่าการให้นมลูกจะกลายเป็นเรื่องยากขนาดนี้ พอร่างกายมีปริมาณน้ำนมมากเกินจะรับมือไหว ฉันต้องปั๊มนมก่อนให้ลูกเข้าเต้า เพราะถ้าให้ลูกดูดนมตอนที่เต้าคัดตึง ลูกก็จะสำลักน้ำนม ฉันเลยต้องปั๊มนมบ่อยมากจนแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย ชีวิตคุณแม่มือใหม่ก็โดดเดี่ยวอยู่แล้ว แต่สำหรับฉันมันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม"
ไม่ใช่แค่ผลกระทบด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ที่เอลิซาเบธต้องเผชิญเท่านั้น อีกภาระที่หนักไม่แพ้กัน คือเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการปั๊มนม ทั้งตู้แช่แข็ง ถุงเก็บน้ำนม แผ่นซับน้ำนม เสื้อชั้นใน ไปจนถึงค่าไฟที่สูงลิบลิ่ว
เวลาผ่านไปจนเอลิซาเบธมีลูกเพิ่มอีกสองคน นั่นคือ โซเฟีย และเบนจามิน ร่างกายของเธอก็ผลิตน้ำนมมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า คราวนี้ถึง 200 ออนซ์ต่อวันเลยทีเดียว และเธอก็ต้องเพิ่มช่วงปั๊มนมเป็น 8-10 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที ยังไม่นับว่าจะต้องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ และเก็บเป็นสต็อกไว้ในตู้แช่ เป็นวงจรแบบนี้ไม่รู้จบ
แม้จะต้องปรับตัวกับโรคที่เป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เอลิซาเบธก็มองอีกมุมว่า อย่างน้อยเธอก็มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกทั้งสามคน อิซาเบลลา โซเฟีย และเบนจามินเติบโตอย่างแข็งแรง ไม่ต้องกังวลว่าลูก ๆ จะอ่อนแอหรือเจ็บป่วยง่าย เพราะลูก ๆ ได้รับสารอาหารที่เสริมภูมิต้านทานจากน้ำนมของเธออย่างเต็มที่ตั้งแต่ยังเล็ก
แต่เดิมเอลิซาเบธเป็นคนที่ชอบให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ก่อนมีลูก เธอเคยบริจาคเลือดให้สภากาชาดเป็นประจำ เพราะสำหรับเธอ การให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ใครอีกคนมีโอกาสมีชีวิตที่ดีขึ้น คือสิ่งที่เติมเต็มความหมายให้ชีวิต
เมื่อถึงช่วงที่ตั้งครรภ์ลูกคนแรก เธอจึงไม่สามารถบริจาคเลือดได้ กระทั่งเธอเป็นไฮเปอร์แลคเทชั่น น้ำนมที่ไหลออกมาเยอะเกินกว่าที่ลูกของเธอจะดื่มทัน แต่แทนที่จะปล่อยให้น้ำนมส่วนเกินเหล่านั้นสูญเปล่า เธอกลับมองเห็นโอกาสที่จะให้ผู้อื่นอีกครั้ง ด้วยการบริจาคน้ำนมให้ทารกที่ต้องการความช่วยเหลือแทน
ถึงจะชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ความกังวลตามประสาผู้เป็นแม่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เอลิซาเบธกลัวว่า ถ้าเธอบริจาคน้ำนมให้คนอื่นไปหมด แล้วน้ำนมแห้งขึ้นมาจะทำยังไง เธอจะมีนมพอให้ลูกกินไหม แล้วเธอจะต้องทำยังไง
แต่ด้วยความคิดที่ว่ายังมีทารกอีกมากมายที่ต้องการน้ำนม และแม่หลายคนคงเจ็บปวดใจที่ร่างกายไม่สามารถให้นมบุตรได้ การบริจาคนี้จะไม่ใช่แค่การจัดการปัญหาส่วนตัว แต่จะช่วยชีวิตเด็กได้มหาศาล จึงทำให้เธอก็ผ่านความกลัวนั้นมาได้ และตั้งเป้าว่าจะบริจาคน้ำนมของเธอให้ทารกที่ต้องการให้ได้มากที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เอลิซาเบธก็เริ่มศึกษาข้อมูลการบริจาคน้ำนมอย่างจริงจัง เคียงคู่ไปกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้พร้อมสำหรับการตรวจคัดกรองที่ธนาคารนม และเรียนรู้ขั้นตอนการส่งนมแม่ไปที่ธนาคาร
ความโชคดีอีกหนึ่งอย่างของเอลิซาเบธ คือ การมีสามีอย่าง เดวิด เซียร์รา (David Sierra) อยู่เคียงข้างและอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างเท่าที่สามีคนหนึ่งจะทำให้ภรรยาได้ ทั้งช่วยดูแลลูก ช่วยจัดการเรื่องปั๊มนม เป็นกำลังใจให้เธอเสมอ และพร้อมที่จะปรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ไปด้วยกัน
เอลิซาเบธเริ่มบริจาคให้ธนาคารนมขนาดใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และยังให้กับเหล่าคุณแม่ที่ติดต่อมาผ่านเฟซบุ๊ก และกระจายไปยังพื้นที่แห่งอื่นที่ต้องการน้ำนมจากเธอ
”หลังจากคลอดลูกคนแรก ฉันก็เริ่มบริจาคน้ำนมให้ศูนย์คลอดบุตรท้องถิ่นที่เดียวกับที่ฉันฝากครรภ์ มันยอดเยี่ยมมาก เพราะฉันบริจาคนมให้กับคนในชุมชน ช่วยให้คุณแม่ที่ขาดน้ำนมหลังคลอด มีนมให้ลูกได้กินตั้งแต่วันแรก โดยไม่ต้องพึ่งนมผง”
อีกเรื่องราวที่เธอประทับใจไม่เคยลืม เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนมารีอา (Hurricane Maria) พัดถล่มที่เปอร์โตริโกในปี 2017 เธอได้พบกับ ‘วาคีน (Joaquin)’ ทารกอายุสามเดือนที่คลอดก่อนกำหนดที่เสียแม่ไประหว่างคลอด ซึ่งพ่อของเด็กต้องเผชิญกับความยากลำบากที่จะต้องหาซื้อนมผง และต้องซื้อนมจากธนาคารนมที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เอลิซาเบธอยากช่วยเหลือวาคีน จึงตัดสินใจส่งน้ำนมให้ต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม
น้ำนมจำนวนมหาศาลที่เอลิซาเบธบริจาคกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยชีวิตทารกและคุณแม่ในหลากหลายกลุ่ม ทั้งเด็กที่คลอดก่อนกำหนด คุณแม่ที่มีปัญหาผลิตน้ำนมน้อย ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม หรือผ่าตัดหน้าอกออก รวมถึงทารกของคู่รัก LGBTQ+ เธอรู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้มีส่วนร่วมในความรักของแม่ที่ส่งต่อไปยังชีวิตเล็ก ๆ ผ่านน้ำนมที่เธอบริจาค
ตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี เอลิซาเบธได้บริจาคน้ำนมให้กับธนาคาร และเจ้าตัวเอาไปให้ด้วยตัวเองมากกว่า 350,000 ออนซ์ หรือประมาณ 10,350.73 ลิตร ซึ่ง Guinness World Records บันทึกสถิติของเอลิซาเบธในฐานะ ‘ผู้บริจาคน้ำนมมากที่สุดในโลก’
เอลิซาเบธเปิดเผยว่า Guinness World Records เคยติดต่อเธอหลังจากทราบเรื่องการบริจาคน้ำนม แต่ขณะนั้นเธอยังไม่พร้อมที่จะทำลายสถิติและไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ
ทว่าเมื่อเกิดวิกฤตขาดแคลนนมผง เธอกลับมาตั้งใจทำลายสถิติอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและกระตุ้นให้ผู้คนเห็นว่าการแบ่งปันน้ำนมเป็นเรื่องปกติในสังคม
ณ วันนี้เธอเป็นที่จดจำในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะนางฟ้าผู้มอบหยดน้ำนมให้เติบโตแข็งแรงให้เด็กหลายชีวิตทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุด เอลิซาเบธตระหนักดีว่าเธอไม่สามารถผลิตน้ำนมและบริจาคได้ตลอดไป และกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจที่จะผ่าตัดเต้านมทั้งสองข้างเพื่อหยุดกลไกร่างกายในการผลิตน้ำนม
“ฉันยังคิดเรื่องการผ่าตัดเต้านมทั้งสองข้างอยู่ เพราะลองวิธีรักษาอื่น ๆ จนหมดแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากอยู่ดี ถ้าฉันตัดสินใจจะผ่าตัดจริง ๆ ก็คงต้องรอหลังจากหยุดให้นมเบนจามินไปสักพัก ระหว่างนี้ฉันก็จะยังบริจาคน้ำนมต่อไป”
กว่าวันที่ต้องยุติบทบาทนี้จะมาถึง เธอจะยังคงอุทิศชีวิตให้กับการบริจาคน้ำนมอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับดูแลร่างกายให้ดีที่สุด และเดินหน้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภาพ: oneounceatatime
อ้างอิง:
Largest donation of breastmilk by an individual / Guinness World Records
Woman spends 10 hours a day pumping breast milk — for other people’s kids / New York Post
Mom Sets World Record After Donating Over 422 Gallons of Breast Milk / The Bump
Oregon woman breaks Guinness World Record for largest breast milk donation / koin
Mom Sets Record For Donated Breast Milk—Enough to Fill 2,253 Venti Starbucks Cups / parents
This “Milk Goddess” Mom Donated 600 Gallons of Her Own Breast Mil / allure