26 ส.ค. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
“ช่วยลูก ฉันต้องช่วยลูกๆ…”
เช้าตรู่วันที่ 3 กันยายน 2019 บ้านหลังหนึ่งในเมืองเอดสบีน (Edsbyn) ประเทศสวีเดน กำลังถูกไฟลุกท่วมอย่างช้า ๆ เด็ก ๆ ร้องตะโกนสุดเสียงเรียกให้แม่ที่หลับอยู่บนชั้นสองตื่นขึ้นมาช่วยพวกเขาให้รอดจากเปลวเพลิง เสียงของลูกชายปลุกให้ ‘เอ็มมา สคูลส์’ (Emma Schols) คุณแม่ลูก 6 สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที โชคไม่ดีที่วันนั้น ‘แอนเดอร์ส’ (Anders) สามีของเธอเพิ่งไปทำงานเข้ากะ ทำให้ในบ้านเหลือเพียงเธอและลูก ๆ ทั้ง 6 คน วิลเลียม, เนลลี, เมลวิน, อัลบิน, โอลิเวอร์ และมอลลี่ให้เผชิญกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายเช่นนี้
เธอรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง สวมเพียงแค่ชุดชั้นใน ร่างกายแทบเปลือยเปล่า แต่ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่เธอคิดแค่สิ่งเดียว สิ่งเดียวเท่านั้นคือต้องช่วยลูกให้พ้นจากกองเพลิง เอ็มมาคว้าตัวลูกชายทั้งสองเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะผลักประตูจนสุดแรง เพื่อให้ลูกออกไปนอกตัวบ้านได้อย่างปลอดภัย แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก แรงลมก็พัดเข้ามาในบ้าน จนเกิดเสียงระเบิดตู้มใหญ่ เพียงเสี้ยววินาที เธอกอดลูกเอาไว้แน่นใช้ร่างกายเป็นโล่กำบังไม่ให้สะเก็ดเพลิงโดนตัวลูกแม้แต่ปลายผม
“วันนั้นพวกเขาตื่นเช้าเป็นพิเศษ น่าจะราวหกโมงได้ แล้วก็ลงไปเล่นกันข้างล่าง ฉันเลยรีบวิ่งตามไป ตอนนั้นฉันคงไม่เข้าใจว่ามันจะแย่ขนาดไหน ความคิดเดียวของฉันคือต้องพาเด็ก ๆ ที่หลบอยู่ในห้องเด็กเล่นออกไป”
หลังจากเสียงระเบิดเงียบลง เธอพาลูกไปที่ประตูหน้า และกำชับว่า
“ออกไป แล้วห้ามกลับเข้ามาเด็ดขาด!”
เด็ก ๆ ถามว่าแล้วแม่จะทำอะไร เอ็มมาตอบว่าต้องขึ้นไปช่วยพี่น้องอีกสี่คนบนชั้นบน หลังจากนั้นเธอก็วิ่งหายเข้าไปในกองเพลิง
“เสียงระเบิดมันดังที่สุดในชีวิตที่เคยได้ยิน แล้วไฟทะลักเข้ามาหาเรา ฉันเอาตัวบังลูกไว้ ก่อนจะดันพวกเขาออกไปได้สำเร็จ ฉันยืนอยู่กลางกองเพลิง คิดว่าต้องรีบช่วยลูกอีกสี่คนให้ทัน ก่อนที่ตัวเองจะไหม้ตาย”
“ฉันเดินฝ่ากองไฟเข้าไป ไม้ระแนงด้านข้างกำลังลุกเป็นไฟ ตรงแขน ด้านหลัง และหน้าอกของฉันโดนไหม้ทั้งหมด
“แล้วบันไดก็ลุกเป็นไฟ ฉันได้แต่คิดในใจว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ แต่แล้วฉันก็คิดว่ามันต้องลุกไหม้แน่ ๆ เพราะลูก ๆ ของฉันยังอยู่บนนั้นอีกสี่คน มันร้อนมากจนฝ่าเท้าเริ่มหลุดร่วง และห้อยลงมาเหมือนเส้นด้าย”
เมื่อมาถึงชั้นบน เอ็มมาตะโกนสุดเสียง รีบวิ่งฝ่าความมืดและควันหนาทึบเข้าไปในห้องนอนที่ที่ลูกชายและลูกสาวอีกสี่คนของเธอกำลังขดตัวด้วยความหวาดกลัว และในห้องก็แทบไม่มีอากาศเหลือ ทุกอย่างร้อนจนปอดแทบไหม้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในใจแม่คนนี้คือ
“ช่วยลูกๆ ต้องช่วยลูกๆ…”
เธอบอกตัวเองซ้ำ ๆ พลางตะโกนบอกเด็ก ๆ ชั้นบนให้ออกไปที่ระเบียง
เธอบอกตัวเองซ้ำ ๆ พลางตะโกนบอกเด็ก ๆ ชั้นบนให้ออกไปที่ระเบียง
เนลลี ลูกสาววัย 9 ขวบ กระโดดลงมาจากชั้นบน เธอวิ่งไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนวิลเลียม ลูกชายคนโตวัย 11 ขวบ พยายามจะนำบันไดลง เพื่อให้น้อง ๆ ที่ติดอยู่ในกองไฟปีนลงมาได้
“เด็ก ๆ ตกใจมากตอนที่ฉันออกมาที่ระเบียง เลือดออกและมีแผลไฟไหม้ทั่วร่างกาย ผิวหนังบริเวณหน้าอกเริ่มลอกออก และผมของฉันเหมือนถ่านบนหัว”
แม้ภาพที่เห็นจะน่าหวาดกลัวเพียงใด แต่คุณแม่คนนี้ไม่ได้คิดถึงตัวเองเท่าไหร่นัก เธอยังคงเป็นห่วงลูก ๆ ทั้งหกของเธออยู่ดี หลังจากพยายามเพ่งสายตามองหาว่าลูกของเธอปลอดภัยหรือยัง เอ็มมาก็ได้ยินเสียงร้องจากข้างล่าง เธอคิดว่าลูกคนใดคนหนึ่งติดอยู่ แต่แล้วพบว่าเป็น มอลลี่ ลูกสาวคนเล็กวัย 1 ขวบยังอยู่ในเปลนอน กำลังยื่นแขนร้องไห้เรียกหาแม่
“ตอนนั้นร่างกายฉันแทบหมดแรงแล้ว เหมือนจะสลบไปให้ได้ แต่คิดเพียงอย่างเดียวว่า ฉันอุ้มลูกออกมาจากท้องได้ตั้งหกคน ฉันต้องพาลูกทั้งหกออกจากบ้านไฟไหม้นี้ให้ได้ ทันใดนั้นฉันก็มีแรงมหาศาล ลุกขึ้นยืน และอุ้มมอลลี่ขึ้นมาได้”
เอ็มมารีบวิ่งไปอุ้มมอลลี่ขึ้นมา และออกไปที่ระเบียง โดยมีลูกชายคนโตคอยช่วยดึงบันไดลงมาเพราะเพื่อนบ้านวิ่งมาช่วยพอดี เอ็มมาพยายามปีนลงทั้งที่เท้าเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้
“ฉันมีเพียงร่างกายของตัวเอง ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีเครื่องป้องกัน มีเพียงตัวฉันและหัวใจของความเป็นแม่”
“ตอนที่ฉันลงบันไดกับมอลลี่ รู้สึกเหมือนเท้าของฉันติดอยู่กับทุกขั้นบันได ฉันเลือดไหลไม่หยุด
“จากนั้นความเจ็บปวดก็เข้ามาพร้อมกัน มันเจ็บปวดมาก ฉันพาลูก ๆ ออกมาหมดแล้ว และคิดว่าตอนนี้ ถ้าจะตายก็ตายได้ แต่หัวใจอีกด้านหนึ่งก็บอกว่าฉันต้องอยู่ เพื่อเห็นลูก ๆ เติบโต”
เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ก่อนที่เธอจะสลบไป เธอได้สัญญากับวิลเลียม ลูกชายคนโตว่าเธอจะได้กลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นคำสัญญาที่กลายเป็นคติสอนใจ ในช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของครอบครัวนี้ก็ว่าได้
เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลงจอดได้เพราะควันไฟ แต่รถพยาบาลและดับเพลิงก็มาถึงทัน พาเอ็มมาไปโรงพยาบาล เธอได้รับบาดเจ็บไฟไหม้ 93% ของร่างกาย หลายจุดเป็นแผลไฟไหม้ระดับสาม แพทย์ไม่เชื่อว่าเธอจะรอด พวกเขาต้องสูบของเหลวเข้าไปกว่า 40 ลิตรเพื่อพยุงอวัยวะภายใน เธอสลบอยู่หลายสัปดาห์ ทั้งผ่าตัด ลอกผิวหนังที่ไหม้ออก และปลูกถ่ายผิวหนังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้โอกาสรอดแทบไม่มี แต่เอ็มมาก็ฟื้นขึ้นมา และสิ่งแรกที่เธอถามหาเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาคือ
“เด็ก ๆ ยังมีชีวิตอยู่ไหม”
เด็ก ๆ ทั้งหกคนรอดชีวิตโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนเอ็มมาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลาสามสัปดาห์ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากเดินทางไปในโลกหลังความตาย และเป็นเรื่องยากที่คนจะรอดชีวิตจากแผลไฟไหม้ระดับรุนแรงเช่นนี้ได้ เธอถูกไฟไหม้ถึง 93% ของร่างกาย
เอ็มมาแทบไม่อยากจะเชื่อเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ความทรงจำเกี่ยวกับมอลลี่ในเปลและความกลัวของลูก ๆ ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ เพียงหนึ่งเดือนครึ่งหลังจากนั้น เด็ก ๆ จึงได้มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล
“มันวิเศษมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ยากลำบาก มอลลี่ลูกคนเล็กจำฉันไม่ได้ นั่นน่าจะเป็นส่วนที่ยากที่สุด เธอไม่อยากมาหาฉัน ซึ่งฉันเข้าใจได้เพราะอุปกรณ์และสายยางที่ระโยงระยางเต็มไปหมด แล้วฉันก็ดูแตกต่างจากภาพของแม่ที่ลูกจะจำได้
“ตอนที่ฉันถูกย้ายจากหน่วยรักษาไฟไหม้ในอุปซอลา ไปยังโรงพยาบาลในฮูดิกสวาลล์ เจ้าหน้าที่ขอถ่ายรูปฉันเพื่อระลึกถึงความทรงจำที่ดี หากมีใครมาบาดเจ็บด้วยแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ เพราะไม่มีใครคิดว่าการฟื้นฟูของฉันจะเร็วขนาดนี้”
เธอต้องเรียนรู้ใหม่ทุกอย่าง ตั้งแต่หายใจ พูด กิน ดื่ม เดิน จนถึงใช้กล้ามเนื้อต่าง ๆ อีกครั้ง เมื่อได้พบลูก ๆ ครั้งแรก พวกเขาช็อกกับสภาพร่างกายของแม่ แต่ก็โล่งใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่
การฟื้นฟูนั้นยากลำบากเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งบาดแผล แผลเป็น การใส่ชุดรัดผิวหนัง และการทำกายภาพ แต่เธอก็อดทน แพทย์ถึงกับบอกว่ากรณีของเอ็มมาเป็นนั้นไม่ต่างจากปาฏิหาริย์
หลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่ร่วมเดือน เอ็มมาได้กลับบ้านกับครอบครัวอีกครั้ง นอกจากการกายภาพที่เธอต้องทำทุกวันแล้ว เธอยังกลับมาขี่ม้าและได้ออกไปเที่ยวเล่นสนุก ๆ และได้สร้างความทรงจำร่วมกับลูกทั้งหกคนของเธออีกด้วย
“ตอนนี้พวกเขาจำฉันได้แล้ว ไฟไหม้และสิ่งที่เราเคยผ่านมาได้ทิ้งร่องรอยไว้ทั่วร่างกายของฉัน และส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัว แต่สิ่งที่เราเคยผ่านมาก็ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น วันนี้ฉันจะใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า จะไม่มองข้ามอะไรอีกแล้ว และรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกๆ วันที่เราได้อยู่ด้วยกัน”
ในงาน Swedish Heroes Gala 2020 วิลเลียม ลูกชายของเธอ ได้พูดถึงช่วงเวลาหลังเกิดเพลิงไหม้ว่า “คุณอาจคิดว่าบางที คุณอาจจะไม่ได้เจอแม่อีก แต่ตอนนี้เราได้เจอแม่เกือบทุกวัน และนั่นทำให้ผมมีความสุขมาก”
ปัจจุบันเธอยังเจ็บปวด มีแผลเป็นตึงแน่น และเท้าไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ แต่เธอเริ่มกลับมาทำกิจกรรมกับลูกๆ ได้อีกครั้ง แม้ไม่เหมือนเดิม 100%
เธออยากกลับไปเรียนต่อเป็นพยาบาล และฝันว่าจะได้เป็นพยาบาลผดุงครรภ์ หรือเจ้าหน้าที่กู้ชีพฉุกเฉิน เพราะเธอรู้ดีว่าการช่วยชีวิตคนอื่นให้รอดพ้นจากความตายได้นั้น ไม่ต่างจากการทำให้โลกทั้งใบของคนคนนั้นและคนที่รักพวกเขา กลับมามีความสุขได้อีกครั้ง
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : eemmaasch /Instagram
อ้างอิง