27 ธ.ค. 2568 | 09:03 น.

KEY
POINTS
โชคชะตาบางทีก็หมุนเป็นวงกลม บางครั้งเราก็อาจเป็นมิตร บางครั้งก็กลายเป็นคู่แข่งกัน
ในปี พ.ศ. 2556 - 2557 การชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือที่รู้จักกันในนาม กปปส. คือเหตุการณ์ที่นำไปสู่การทำรัฐประหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น และนำไปสู่การอยู่ในอำนาจยาว ๆ เกือบสิบปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่ง กปปส. มีแกนนำที่แข็งแรงอย่าง “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ, เอกนัฎ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. และขุนพลข้างกาย 4 คนที่รู้จักกันในนาม “4 ทหารเสือ กปปส.” ที่ภายหลัง ต่างได้รับอานิสงส์จากรัฐประหารครั้งนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประกอบด้วย พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่ต่อมาจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์, ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลเดียวกัน, ชุมพล จุลใส สส.ชุมพรหลายสมัย
และคนที่เป็นน้องเล็กสุดใน 4 ทหารเสือ กปปส. อย่าง สกลธี ภัททิยกุล ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังมีคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 แต่งตั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
วันนี้เขากลับมาแล้ว! โดยถือธงนำการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคสีฟ้า ..เพื่อหวังจะปักธง ปชป. ในกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง และหนึ่งในคู่แข่งในเวทีกรุงเทพฯ ของสกลธี ก็คือมิตรร่วมรบกันมาเมื่อครั้งก่อน
หากพูดถึงการเมือง การทหาร และการรัฐประหาร จั้ม-สกลธี ภัททิยกุล คงไม่รู้สึกแปลกปลอมกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเขาเกิดมาในครอบครัวของทหารสัญญาบัตร เป็นลูกชายของ “บิ๊กตุ่น” พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เจ้าของฉายา “มันสมองของ คมช.” หลังการทำรัฐประหารรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรในเหตุกาณ์ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เด็กนิติศาสตร์ จากรั้วลูกแม่โดม ปริญญาโทด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่าและมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการรับราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และได้รับความเอ็นดูจากจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรมขณะนั้น (ต่อมา ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) ให้เป็นเลขานุการส่วนตัว ทำให้ได้เรียนรู้กฎหมายและความเป็นไปของบ้านเมืองผ่านการทำหน้าที่นี้
เมื่อวิชาเริ่มแก่กล้า สกลธี ตัดสินใจลาออกเพื่อเดินทางสายการเมืองกับ ปชป. ในปี พ.ศ. 2550 ในยุคที่คุณพ่อยังนั่งเลขาฯ คสช จึงถูกมองขณะนั้นว่า เป็นตัวแทนการสืบทอดอำนาจหรือไม่?
การเมืองในระบบรัฐสภาไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะห้อยนามสกุลลูกชายเลขา คมช.
สกลธีเข้าลงสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2550 ก่อนได้รับชัยชนะ ในการลงสมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขต 4 (จตุจักร, บางซื่อ, หลักสี่) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่ายทหารตั้งอยู่ ร่วมกับบุญยอด สุขถิ่นไทย และอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ในการเลือกตั้งที่ยังใช้ระบบเขตเดียวหลายคน
ระหว่างดำรงตำแหน่ง สส. สกลธียังให้ความสนใจในด้านกีฬาอีกด้วย โดยเป็นผู้จัดการทีมมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ พ.ศ. 2562 ที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว และเอเชียนเกมส์ พ.ศ. 2563 ที่กว่างโจว ประเทศจีน
เมื่อได้ตำแหน่ง ก็ต้องพยายามรักษาเก้าอี้ สกลธีลงเลือกตั้ง สส. กรุงเทพฯ อีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 ที่เปลี่ยนระบบมาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว แข่งกับ สุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย ก่อนจะแพ้กระแสแดงทั้งแผ่นดิน หลังเหตุสลายการชุมนุมปี พ.ศ. 2553 ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ จนไม่ได้เป็น สส.
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ถือเป็นบาดแผลทางการเมืองของสกลธี
ต่อมา เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามผลักดัน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย” ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 จนเกิดการนัดชุมนุมต่อต้านที่สถานีรถไฟสามเสน (อยู่ไม่ไกลจากที่ทำการ ปชป.) และเหล่า สส. และสมาชิก ปชป. จำนวนลาออกเพื่อประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สกลธีคือหนึ่งในนั้นที่ก้าวขึ้นมาเป็นขาประจำเวทีจนได้รับฉาย 1 ใน 4 ทหารเสือ กปปส.
ในช่วงปลายของเหตุการณ์ สกลธีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวระหว่างเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามหมายศาลที่ออกมาในข้อหาการชุมนุม ก่อนได้ประกันตัว
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2562 ศาลได้ยกฟ้องเขาในคดีกบฎ โดยมองว่า การชุมนุมของ กปปส.ในช่วงปี พ.ศ. 2556 - 2557 เป็นการชุมนุมที่อยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในส่วนนั้นออกมาชัดเจน ประกอบกับการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ของผู้ชุมนุม เป็นการเดินทางไปด้วยความสงบ สันติ อหิงสา ไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น
หลังรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ และการเมืองไทยกลับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอีกครั้ง 3 ใน 4 ทหารเสือ กปปส. ได้แก่ พุทธิพงษ์, ณัฏฐพล และสกลธี เลือกเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกวิจารณ์ว่า เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ คสช. โดยสกลธีดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ก่อนที่ต่อมาจะลาออกเพื่อลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2565 ในนามอิสระด้วยสโลแกน “กทม. More” แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง พ่ายแพ้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เมื่อเกิดความขัดแย้งจนแตกเป็น “พรรค 2 ลุง” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปต่อกับ พปชร. ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ แยกมาเป็นแคนดิเดตพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนทำให้คนที่เคยอยู่กับลุงทั้งสองต้องเลือกฝั่ง เวลานั้น สกลธีเลือกไปต่อกับลุงป้อม โดยดูแลการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ให้กับพรรค และท้ายที่สุดคือการพ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับกระแส “มีลุงไม่มีเรา” ที่พรรคก้าวไกล กวาด สส. เกือบยกจังหวัด ได้เก้าอี้ สส. 32 คน จากทั้งหมด 33 คน
จังหวะชีวิตเปลี่ยนอีกครั้ง สกลธีประกาศพักทางการเมืองในปี พ.ศ. 2567 ลาออกจากทุกตำแหน่งของ พปชร. ก่อนที่ความวุ่นวายใน ปชป. จะเกิดขึ้น นำไปสู่การลาออกของหัวหน้าพรรคอย่าง เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดโอกาสให้พรรคสรรหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ และได้คนเก่าคนแก่อย่าง อภิสิทธิ์ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
สกลธี ถูกชักชวนกลับบ้านหลังเดิม ค่าย ปชป. และได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้ง สส. ในเขตกรุงเทพฯ ให้กับพรรคสีฟ้านี้
โดยครั้งนี้ นอกจากจะต้องแข่งกับพรรคประชาชน เจ้าของพื้นที่เดิม และพรรคเพื่อไทย
ยังจะเป็นการวัดฝีมือกับรุ่นน้อง กปปส. ที่เคารพอย่าง ขิง-เอกนัฎ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอดีตโฆษก กปปส. ที่มาสวมเสื้อ ภท. ดูแลพื้นที่กรุงเทพฯ ให้กับพรรคสีน้ำเงิน เมื่อฝ่ายหนึ่งหมายมั่นปั้นมือจะนำธงฟ้ากลับมาครองใจชาวกรุงเทพฯ หลังไม่มี สส. เลยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 กับอีกฝ่ายที่มองว่าหาก ภท. จะเป็นรัฐบาลอย่างน้อยต้องได้รับการยอมรับจากคนเมืองหลวง โดยต่างหวังว่า กระแสชาตินิยม และแนวร่วม กปปส.เดิม ที่เคยร่วมทำภารกิจ Shutdown Bangkok จะมาให้การสนับสนุน
เมื่ออดีตแกนนำ กปปส. หันมาแข่งขันกันเอง น่าสนใจว่า ผู้ที่เคยร่วมร้องเพลง “สู้เข้าไปอย่าได้ถอย” และชูธงชาติปลิวไสวใจกลางเมืองหลวงในอดีต จะหันไปลงคะแนนให้กับใคร
ใครจะชนะในเกมนี้ ใครจะทำได้ดีกว่า กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ชาวกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิ์ออกเสียงจะเป็นคนให้คำตอบ