14 ก.ย. 2568 | 13:23 น.
KEY
POINTS
ทุกคนลองนึกภาพ ‘ความสุข’ ในชีวิตของตัวเองดูสิ…
มันอาจจะเป็นการประสบความสำเร็จที่ฝันไว้ หรือการได้รักใครสักคนอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ถูกกั้นด้วยเพศหรือกรอบทางสังคม ฟังแล้วเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่คนมากมายใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหา ปัจจุบันเรายิ่งเห็นชัดว่าคนรุ่นใหม่หลายคนไม่ยึดติดกับความเชื่อทางศาสนาเหมือนแต่ก่อน แต่เลือกหาความสุขจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัวแทน
แล้วความสุขสำหรับคุณคืออะไร?
‘ฟรีดริช นีทเช’ (Friedrich Nietzsche) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เคยทิ้งประโยคสะเทือนใจไว้ในผลงาน ‘The Gay Science’ (1882) ว่า “พระเจ้าตายแล้ว พระเจ้าตายอยู่เช่นนั้น และพวกเราคือผู้สังหารพระองค์” ประโยคนี้ไม่ได้หมายถึงการประกาศสงครามกับศาสนาโดยตรง หากแต่นำผู้คนให้เผชิญหน้ากับคำถามใหญ่ที่สุดว่า เมื่อศรัทธาในกรอบเก่าถูกสั่นคลอน มนุษย์จะหันไปศรัทธาอะไรเพื่อยึดเหนี่ยวชีวิตและค้นหาความสุขต่อไป
ในบริบทศตวรรษที่ 19 นีทเชใช้ ‘พระเจ้า’ เป็นสัญลักษณ์แทนศาสนาและคุณค่าทางศีลธรรมที่ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของศาสนา เมื่อผู้คนลดความเชื่อศรัทธาลง กรอบเหล่านั้นก็เสื่อมถอยไปด้วย แนวคิดนี้ถูกขยายต่อในงานปรัชญาวรรณกรรม ‘Thus Spoke Zarathustra’ (1883) ผ่านตัวละคร ‘ซาราธุสตรา’ นักบวชผู้ใช้ชีวิตในป่าและออกเดินทางเพื่อปลุกให้มนุษย์ค้นพบ ‘ศักยภาพสูงสุด’ ในตนเอง
แต่ศักยภาพสูงสุดนั้นคืออะไร?
ในยุคนั้นกระแสปรัชญาหลายสายต่างพยายามหาความหมายของชีวิต ในขณะที่อีกกระแสหนึ่งกลับเชื่อว่า ชีวิตไม่เคยมีความหมายแท้จริงอยู่แล้ว กระแสนั้นเรียกว่า ‘นิฮิลิซึม’ (Nihilism) เมื่อเชื่อว่าทุกอย่างไร้ความหมาย มนุษย์บางคนจึงเลือกใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างสิ้นหวัง หรือบางครั้งก็จบชีวิตด้วยซ้ำ นีทเชเรียกคนเหล่านี้ว่า ‘The Last Man’
เพื่อไม่ให้จบลงที่ความว่างเปล่าแบบนั้น เขาจึงเสนออีกขั้วตรงข้ามที่เรียกว่า ‘Übermensch’ หรือที่มักแปลว่า ‘ยอดมนุษย์’ หลายคนอาจนึกถึงฮีโร่ในหนังการ์ตูน แต่สำหรับนีทเช ยอดมนุษย์ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการช่วยเหลือผู้อื่นเหนือธรรมดา หากเป็นสัญลักษณ์ของ ‘อิสระ’ อิสระที่จะกำหนดความหมายของชีวิตด้วยตัวเอง อิสระที่จะเลือกเส้นทาง รักใครสักคน หรือแม้แต่ใช้ชีวิตในแบบที่สังคมไม่เคยกำหนดไว้
หาก The Last Man คือผู้ที่รู้ว่าชีวิตไร้ความหมายแล้วจมอยู่กับความว่างเปล่า Übermensch คือผู้ที่รู้เช่นกันว่าชีวิตไม่มีความหมายตายตัว แต่เลือกที่จะสร้างความหมายใหม่ขึ้นเอง ความต่างเล็กน้อยนี้เองที่นีทเชเห็นว่าเป็นการบรรลุศักยภาพสูงสุดของมนุษย์
ตัวอย่างในสังคมปัจจุบันก็สะท้อนแนวคิดนี้ได้ดี คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ยึดติดกับกรอบเพศหรือขนบธรรมเนียมเหมือนในอดีต แต่ยังมีอีกไม่น้อยที่ไม่กล้าแม้แต่จะค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง เพราะเกรงการถูกตัดสินจากสังคมหรือคนใกล้ตัว ทั้งที่ความจริงแล้ว นีทเชไม่ได้บอกให้ทุกคนแหกกรอบหรือเปลี่ยนโลก แต่สอนให้เห็นว่าการเป็นยอดมนุษย์คือการยืนอยู่บนเสรีภาพของตนเอง เลือกที่จะมอบความหมายและความรักในแบบที่จริงใจกับหัวใจตนเอง
อย่างไรก็ตาม การก้าวสู่การเป็น Übermensch ไม่ใช่เรื่องง่าย นีทเชเปรียบเทียบเส้นทางนี้ไว้เป็นการแปรเปลี่ยนทางจิตใจสามขั้นตอน
ขั้นแรกคือ ‘อูฐ’ ที่แบกรับภาระตามความคาดหวังของครอบครัวและสังคม ทำเพราะ “ควรทำ” มากกว่า “อยากทำ”
ขั้นต่อมาคือ ‘ราชสีห์’ ที่เริ่มคำรามใส่กรอบเก่าและกล้าบอกว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามอีกแล้ว” แม้ยังใช้พลังไปกับการต่อต้านมากกว่าสร้างใหม่
และขั้นสุดท้ายคือ ‘เด็กทารก’ ผู้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความไร้เดียงสา เป็นจิตใจที่ไม่ถูกพันธนาการด้วยกฎใด ๆ และพร้อมโอบรับชีวิตด้วยความสุขบริสุทธิ์
ทั้งสามขั้นไม่ได้เป็นกฎตายตัว แต่ช่วยให้เรามองเห็นว่าการเป็นยอดมนุษย์ไม่ใช่การเหนือกว่าคนอื่น หากเป็นการปลดปล่อยตนเองจากการตัดสินของสังคม แล้วกล้าที่จะสร้างความสุขด้วยสองมือของตัวเอง นีทเชจึงได้รับการมองว่าเป็น ‘นักปรัชญาแห่งความสุข’ ผู้ชี้ให้เห็นว่า หากอยากพบความสุขจริง ๆ เราต้องไม่ปฏิเสธความทุกข์ แต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เข้าใจมัน และโอบรับมันไว้ เพราะเมื่อเรายอมรับด้านมืดเหล่านี้ได้ ความสุขจะปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด
และเมื่อหันกลับมาถามตัวเอง คุณกำลังยังยึดติดกับค่านิยมคนอื่นอยู่หรือเปล่า? ยังต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อใครสักคนอยู่ไหม? หรือคุณเริ่มก้าวออกจากการเป็น The Last Man แล้วเดินเข้าสู่การเป็น Übermensch ในแบบของตนเอง มีอิสระที่จะรัก และอิสระที่จะสร้างความหมายชีวิตที่เป็นของคุณอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง?
เรื่อง : jaomie
ภาพ: Getty Images