28 พ.ค. 2568 | 17:05 น.
KEY
POINTS
ใครบางคนอาจเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยเสียงเครื่องทำกาแฟ แต่กับอีกหลายคน มันเริ่มจากเสียงเบา ๆ ที่ลอดเข้าหัวโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นไม่ใช่เสียงคน ไม่ใช่เสียงธรรมชาติ แต่เป็นเสียงของเพลง ‘เลิกกั๊กแล้วรักก่อนนะเตง’ ที่วนอยู่ในหัวเหมือนถูกตั้งค่าไว้ก่อนนอน
ยินดีต้อนรับสู่โลกของ ‘เพลงหลอนหูที่เอาออกจากหัวไม่ได้’ ปรากฏการณ์ที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนในชีวิตประจำวัน
ปรากฏการณ์ที่เรียบง่ายนี้ มีชื่อเรียกจริงจังในทางจิตวิทยาว่า ‘Involuntary Musical Imagery’ (INMI) หรือ ‘ภาพจำทางดนตรีที่เกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจ’ เมื่อเพลงบรรเลงขึ้นในหัวเองโดยไม่ขออนุญาตเรา
INMI ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกเพลง แต่มักเกิดกับท่อนที่ ‘ติดหู’ ท่อนที่สมองรับรู้ว่า มีโครงสร้างแบบจำง่าย ซ้ำง่าย และมีช่องว่างให้จินตนาการต่อ เช่น ท่อนที่ร้องว่า “เลิกกั๊กแล้วรักก่อนนะเตง” แล้วตามด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอราวกับคลื่นซัดฝั่งอย่าง “เปิดตัวกันเด เด เดบิ้วเลยมั้ย”
นักวิจัยด้านเสียงเชื่อว่า เพลงแบบนี้กำลังใช้กลไกบางอย่างในสมองเราอย่างแนบเนียน เช่น ‘working memory’ หรือ ‘ความจำชั่วคราว’ ที่พยายาม ‘ปั่นซ้ำ’ เพลงในหัว เพราะรู้สึกว่ายังร้องไม่จบ ยังหาท่อนต่อไปไม่เจอ หรือยังหาทางลงไม่ได้
มีศัพท์อีกคำที่น่าสนใจ คือ ‘Cognitive itch’ หรือ ‘อาการคันทางความคิด’ ที่เปรียบเสียงติดหูเหมือนอาการคันที่ไม่รู้ว่าเกิดตรงไหน แล้วเราก็เกาไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
เมื่อลูปเสียงนี้ถูกเล่นซ้ำโดยไม่มีเจตนา มันจะทำให้ผู้ฟังเกิดอาการ “คิดไม่ออก แต่หยุดคิดไม่ได้” คล้ายกับการเคี้ยวหมากฝรั่งทางเสียง ที่เหนียวติดฟันอยู่ในช่องความคิด
เพลง ‘เลิกกั๊กแล้วรักก่อน’ ไม่ใช่แค่ใช้คำคล้องจอง แต่ยังมีจังหวะซ้ำในระดับ syllable เช่น “เปิดใจยังทัน ทัน ทัน นะลองมั้ย” ที่เล่นกับจังหวะลมหายใจแบบเดียวกับที่เด็กท่องกลอน
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการออกแบบอย่างพิถีพิถันของเพลงป๊อปยุคใหม่ ที่เรียนรู้จากทั้ง data และพฤติกรรมของสมองมนุษย์ เพื่อให้เพลงไม่ใช่แค่ ‘ได้ยิน’ แต่ ‘หลอนหู’ ไปเลย ด้วยสูตรลับได้แก่ จังหวะซ้ำที่คาดเดาได้, คำที่พูดง่าย ร้องง่าย, ช่องว่างให้สมองเติมต่อ และความคุ้นเคยผสมความแปลกใหม่
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกดีกับเสียงที่ตามหลอกหลอน บางคนบอกว่าเพลงในหัวทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งนอนหลับ เพราะมันหมุนวนอยู่เหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่หยุดไม่ได้
มีคำแนะนำว่าหากอยาก หยุดเพลงที่ติดหู ให้ลองใช้วิธีเหล่านี้
อีกแง่หนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า INMI ไม่ใช่แค่ปัญหา แต่มันมี ‘ด้านดี’ ด้วย
บางครั้ง เราอาจพบว่าเสียงบางอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกฟัง แต่คือสิ่งที่เราตกหลุมไปโดยไม่รู้ตัว และหลุดออกมายากกว่าที่คิด
ในท้ายที่สุด ปรากฏการณ์เพลงติดหูอาจไม่ใช่แค่เรื่องของเสียง แต่มันคือเรื่องของความทรงจำ จังหวะที่ยังไม่คลาย และสมองที่พยายามจะเติมเต็มบางอย่างให้เสร็จสมบูรณ์
และครั้งหน้า ถ้าเสียง “เลิกรักแล้วกั๊กก่อนนะเตง” กลับมาอีกในหัวตอนกำลังประชุม หรือกำลังยืนในลิฟต์กับคนแปลกหน้า คุณอาจจะยิ้มเบา ๆ โดยไม่ต้องมีคำถามค้างคาใจว่า “นี่กูฮัมเพลงอะไรเนี่ย?”
เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: ปกเพลง เลิกกั๊กแล้วรักก่อน จากยูทูบ NEW CHAYAPAK
อ้างอิง:
Psychological Bulletin: https://doi.org/10.1037/a0035373
Psychology Today: https://www.psychologytoday.com/us/blog/brain-myths/201311/the-science-behind-earworms
Frontiers in Psychology: https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/fpsyg.2017.00215/full