14 พ.ย. 2568 | 12:00 น.

“คุณจะเห็นคุณค่าของแสงไฟเมื่อมันเริ่มมอบดับลง
หวนคิดถึงดวงตะวันเมื่อลมหนาวเริ่มพัดมา
รู้ว่ารักเธอเท่าไหร่ ก็ต่อเมื่อเธอจากไปแล้ว…”
เมื่อถึงร่วงหล่นไปอยู่ในห้วงเวลาที่หัวใจบอบช้ำ ‘บทเพลง’ มักกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาบรรเทา (หรือแม้แต่จี้จุด) บาดเผลของเราเสมอ บางเพลงอาจร้องขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม บางเพลงทำหน้าที่เป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ภายใน และบางเพลงปลอบประโลมด้วยความเข้าใจและบอกให้ ‘ปล่อยไป’
เป็นเวลากว่า 12 ปีมาแล้วที่บทเพลงนามว่า ‘Let Her Go’ ปรากฎขึ้นและช่วยปลอบประโลมโลกนับตั้งแต่นั้นมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนเราเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่มีใครสักคนเลือนหายไปจากชีวิต บางทีหนทางที่ดีที่สุดคือการโอบรับความเจ็บปวดและความจริงผ่านการหวนคิดถึงความเจ็บปวดที่เราได้ปล่อยใครสักคนไป หรือเห็นคุณค่าในวันที่กาลเวลาล่วงผ่านไปแล้ว นั่นคือมนตราของเสียงเพลงและถ้อยคำจากศิลปินนาม ‘Passenger’
“ดนตรีโฟล์กคือความซื่อสัตย์และความเปิดเผย ไม่ได้พยายามจะดังที่สุด สว่างที่สุด หรือโดดเด่นที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากในโลกสมัยใหม่ที่เราอยู่กันตอนนี้”
เบื้องหลังชื่อ Passenger คือ ‘ไมเคิล เดวิด โรเซนเบิร์ก’ (Michael David Rosenberg) นักร้อง–นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ ผู้เริ่มต้นจากการเล่นดนตรีเปิดหมวกบนถนน ก่อนจะค่อย ๆ เดินทางสู่เวทีคอนเสิร์ตทั่วโลก ตลอดเส้นทาง เขาปล่อยสตูดิโออัลบั้มมาแล้ว 15 อัลบั้ม เพลงถูกสตรีมมากกว่าพันล้านครั้ง และ ‘Let Her Go’ เคยขึ้นอันดับ 1 ใน 19 ประเทศ อีกทั้งยังกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูก Shazam มากที่สุดตลอดกาล แต่แม้ตัวเลขจะยิ่งใหญ่ แกนกลางของ Passenger ก็ยังเป็นชายคนเดิมที่มีแค่กีตาร์หนึ่งตัว เสียงร้องอบอุ่น และเรื่องเล่าเรียบง่ายที่พูดกับหัวใจคนฟังตรง ๆ
ในวาระที่ Passenger กำลังจะเดินทางมาใกล้คนฟังชาวไทยมากขึ้นกว่าเดิม The People จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาถึงความรู้สึกทุกวันนี้ตั้งแต่เบื้องหลังแนวคิดการเขียนเพลงถึงความสำเร็จที่ถาโถมหลัง Let Her Go ดังไปทั่วโลก วิธีที่เขารับมือกับความคาดหวัง พร้อมทั้งมุมมองต่อการเติบโต การปล่อยวาง และการยังคงซื่อสัตย์ต่อเสียงเพลงของตัวเอง ซึ่งทำให้เราเห็นถึงหัวใจของคนทำเพลงคนหนึ่งที่ยังรักในสิ่งเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
“ยิ่งผมอายุมากขึ้น ก็ยิ่งตระหนักว่าความเรียบง่ายนั้นทรงพลังแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในดนตรี แต่ในศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย ทั้งในการทำอาหาร ในการใช้ชีวิตโดยรวม บางครั้งสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Passenger กำลังจะมาเยือนประเทศไทยกับทัวร์ ‘PASSENGER ASIA 2025’ ที่จะขึ้นแสดงในกรุงเทพฯ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ Phenix Grand Ballroom ชั้น 5 พร้อมพาเพลงโฟล์ก–ป็อปของเขามาเติมเต็มค่ำคืนให้แฟน ๆ ชาวไทยได้ฟังสด ๆ ใกล้ชิดมากขึ้น ก่อนที่เราจะไปยืนฮัม ‘Let Her Go’ ร่วมกันในฮอลล์คืนนั้น ลองมานั่งลงและทำความรู้จัก Passenger ให้ลึกขึ้นไปพร้อมกัน ผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษครั้งนี้จาก The People
The People : ‘Passenger’ นี่ถือเป็นชื่อในฐานะศิลปินเดี่ยวของคุณ ระหว่างความเป็น ‘Passenger’ กับ ‘ไมค์ โรเซนเบิร์ก’
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ จริง ๆ แล้ว Passenger เริ่มต้นจากการเป็นวงนะ แต่แล้วผมก็ตัดสินใจใช้ชื่อนี้ต่อแม้ว่าจะเดินทางต่อในฐานะศิลปินเดี่ยว เพราะรู้สึกว่าชื่อนี้มีความน่าสนใจกว่าการที่ผมใช้ชื่อจริงธรรมดาทั่วไป แล้วหลายปีที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกว่าตัวเองค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับชื่อนี้ และมันเข้ากันได้ดีกับแนวเพลงที่ผมทำด้วย แถมบางครั้งการแยก ‘ไมค์’ ออกจาก ‘Passenger’ ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะครับ
The People : ทำไมถึงใช้ชื่อว่า Passenger คุณพอจะบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังชื่อนี้ได้ไหม?
ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นชื่อที่เท่ดีนะ แล้วผมก็เคยเขียนเพลงชื่อ Passenger ด้วย ซึ่งผมกับวงในตอนนั้นก็เห็นตรงกันว่าน่าจะหยิบมาใช้เป็นชื่อได้เลย แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าชื่อนี้มันก็ค่อย ๆ มีความหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ
The People : กระบวนการเขียนเพลงของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มต้นจากไอเดียใหญ่ ๆ เป็นแกนหลักหรือเปล่า หรือว่าค่อย ๆ บันทึกชีวิตของตัวเองในทุก ๆ วันที่ผ่านไป?
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปีนะ ผมพยายามเสมอที่จะไม่รู้สึกชินกับวิธีเขียนเพลง ช่วงหลังผมเพิ่งเขียนละครเวสต์เอนด์เรื่องหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ผมหลุดออกจากรูปแบบการทำงานที่คุ้นเคยไปได้มาก แต่เอาตรง ๆ เลยนะครับ ผมแทบไม่เคยลำบากเรื่องการหาแรงบันดาลใจหรือเรื่องที่จะเขียนเลย เพราะโลกใบนี้มันน่าหลงใหลสุด ๆ อยู่แล้ว!
The People : บ้านเกิดของคุณใน Brighton หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษในภาพรวมมีส่วนหล่อหลอมตัวตนของคุณอย่างไร?
Brighton เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมและงดงามครับ ผมรู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่ได้เติบโตที่นั่น เมืองนี้มีความเป็นเสรีและศิลปะสูงมาก นอกจากนั้นก็มีดนตรีดี ๆ เกิดขึ้นที่นั่นเสมอ มันส่งผลต่อทั้งตัวตนของผมและเพลงที่ผมสร้างอย่างชัดเจนครับ
The People : ใครถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่จุดประกายให้คุณเดินทางสายศิลปิน?
พอล ไซม่อน (Paul Simon) ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย! เขาคือนักแต่งเพลงคนโปรดของผม และเป็นศิลปินที่ผมเวียนวนกลับไปฟังเพลงของเขาเสมอ
The People : ถ้าต้องเลือกหนึ่งอัลบั้มที่เปลี่ยนชีวิตคุณไปเลย จะเป็นอัลบั้มไหน?
ถ้าผมชอบ พอล ไซม่อน แน่นอนครับว่าอัลบั้มที่ผมจะเลือกก็ต้องเป็น ‘Simon and Garfunkel Live in Central Park’ งานชุดนี้ผมเคยฟังในรถกับครอบครัวตอนเราออกทริปกันตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจดนตรีแบบที่เข้าใจในวันนี้ แต่ในตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเวทมนตร์สำหรับผมเลยครับ
The People : หลังจากที่มีเพลงฮิตระดับโลกอย่าง Let Her Go แล้ว คุณจัดการกับวิธีการเขียนเพลงของตัวเองจากความคาดหวังหรือแรงกดดันอย่างไรบ้าง?
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ เพราะหลังจาก Let Her Go ผมก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันและความคาดหวังเกิดขึ้นว่าผมน่าจะต้องมีเพลงฮิตอีก อาจจะไปร่วมเขียนกับคนอื่น หรือทำงานกับโปรดิวเซอร์ดัง ๆ อะไรทำนองนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมแค่อยากทำเพลงที่ผมรัก ในแบบเรียบง่ายที่ผมชอบทำอยู่แล้ว Let Her Go เป็นอุบัติเหตุอันแสนงดงาม และถ้าผมจะมีเพลงฮิตอีกครั้ง ผมคิดว่ามันก็คงเกิดขึ้นโดยบังเอิญพอ ๆ กันครับ
The People : ความงดงามของความเรียบง่ายที่มักสะท้อนผ่านเพลงของคุณคืออะไร?
ยิ่งผมอายุมากขึ้น ก็ยิ่งตระหนักว่าความเรียบง่ายนั้นทรงพลังแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในดนตรี แต่ในศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย ทั้งในการทำอาหาร ในการใช้ชีวิตโดยรวม บางครั้งสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ
The People : จากมุมมองของคุณ ความงดงามของดนตรีโฟล์กคืออะไร?
ดนตรีโฟล์กคือความซื่อสัตย์และความเปิดเผย ไม่ได้พยายามจะดังที่สุด สว่างที่สุด หรือโดดเด่นที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากในโลกสมัยใหม่ที่เราอยู่กันตอนนี้นะครับ
The People : เกี่ยวกับเพลง Let Her Go คุณจำช่วงเวลาที่ได้คอนเซปต์หลักของเพลงได้ไหม?
ผมจำได้ดีมากเลยครับ ผมเขียนเพลงนี้เสร็จภายใน 45 นาที บางครั้งเพลงที่เขียนเร็ว ๆ นี่แหละดีที่สุด เพราะคุณจะไม่คิดเยอะจนเกินไป คอนเซปต์มันเรียบง่ายมากเลย คุณจะคิดถึงสิ่งที่มี ก็เมื่อมันหายไปแล้ว ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เพลงนี้ดังมากขนาดนี้ ก็เพราะความรู้สึกแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ครับ
The People : ผู้คนมักเรียกเพลงนี้ว่า ‘เพลงอกหัก’ แต่สำหรับคุณ เพลงนี้พูดถึงการสูญเสียหรือการเปลี่ยนแปลงแบบอื่น ๆ บ้างไหม?
สำหรับผม Let Her Go แน่นอนว่ามันเริ่มต้นจากการอกหักครับ แต่พลังของเพลงนี้ ผมคิดว่า มันมาจากการที่มันเปิดกว้างพอให้ผู้ฟังทุกคนสามารถใส่ตัวเองและสถานการณ์ของพวกเขาลงไปในเพลงได้ครับ
The People : ท่อนคอรัสของเพลงนี้พูดเรื่อง การมองย้อนกลับไป (you only know after) ทำไมคุณคิดว่าผู้ฟังถึงมีความรู้สึกร่วมกับคำ ๆ นั้น?
การมองย้อนกลับไปมันเชื่อมเข้ากับความเสียใจ ความทรงจำ ความอกหัก และช่วงเวลาที่เราไม่มีทางย้อนกลับไปได้ มันเจ็บปวดถ้าคุณคิดถึงมันจริง ๆ ผมเป็นคนที่โคตรจะรักความหลังเลยนะครับ แต่ผมต้องพยายามมากที่จะไม่หันกลับไปหรือใช้ชีวิตอยู่กับอดีตมากเกินไป เพราะมันไม่ดีต่อจิตใจเลย และจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้น่ามหัศจรรย์เท่าปัจจุบันด้วยซ้ำ แต่ผมคิดว่าการได้แวะกลับไปผ่านเพลงสักหน่อย มันก็ดีเหมือนกันนะ
The People : ทำไมเราถึงสมควรปล่อยบางสิ่งไป?
เพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งใหม่เข้ามา
The People : คุณเคยได้ยินเพลงนี้ในสถานที่ที่คุณไม่คาดคิดมาก่อนบ้างไหม?
ผมจำได้เรื่องหนึ่ง ตลกดีครับ ตอนนั้นผมมา กรุงเทพฯ ครั้งแรก ไม่นานหลังจากที่เพลงนี้ดังโป้งป้างขึ้นมา ผมขึ้นแท็กซี่จากสนามบินไปโรงแรม แล้วเพลงนี้ก็ดังขึ้นมาทางวิทยุ ผมจำได้ว่ามองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างที่รถขับผ่านเมือง แล้วคิดกับตัวเองว่า ‘เพลงเล็ก ๆ ของเรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไงนะ!?’ มันเป็นช่วงเวลาที่เจ๋งสุด ๆ ไปเลยครับ
The People : อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณตอนนี้?
รีเบคกา (Rebekah) ภรรยาสุดที่รักของผม, บอนนี (Bonnie) และ อาร์เซนอล (Arsenal) ลูกน้อยของเรา รวมไปถึง เจ้าแมวของผมที่ชื่อว่า ชาร์ลี (Charlie) ด้วย
The People : คุณกำลังจะได้มาบรรเลงเพลงของคุณที่กรุงเทพฯ เร็ว ๆ นี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ผมแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เล่นที่ประเทศไทย ผมเคยมาเที่ยวหลายครั้งและชอบมาก ดีใจสุด ๆ ที่ในที่สุดก็ได้มาทำการแสดงที่นี่ครับ
The People : ถ้านักฟังหน้าใหม่ในประเทศไทยมีเวลาแค่ 10 นาทีก่อนดูโชว์ของคุณ เขาควรฟังเพลงไหน (นอกจาก Let Her Go) เพื่อจะ ‘เข้าใจ’ ตัวตนของคุณ?
ยากเลย! ผมออกอัลบั้มมา 15 อัลบั้มแล้ว ดังนั้นจะให้เลือกแค่เพลงสองเพลงก็เป็นเรื่องที่หินใช้ได้ แต่ถ้าต้องเลือกจริง ๆ ผมขอเป็น ‘Scare Away the Dark’ และ ‘Sword From the Stone’ แล้วกัน ผมคิดว่าสองเพลงนี้น่าจะช่วยให้คนฟังพอเข้าใจตัวตนของผมและสิ่งที่ผมทำ
The People : ถ้านักเขียนเพลงรุ่นใหม่มาขอคำแนะนำหนึ่งอย่างสำหรับการมีอาชีพที่ยาวนาน คำตอบจริงใจของคุณคืออะไร?
เขียนจากหัวใจเสมอครับ อย่าพยายามเขียนในแบบที่คิดว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ให้เขียนให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นแหละคือวิธีที่คุณจะพัฒนาได้ครับ
ในท้ายที่สุด การเดินทางของ Passenger อาจไม่ใช่แค่เรื่องราวของศิลปินที่มีเพลงฮิตระดับโลกหนึ่งเพลง หากคือภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ยังเชื่อใน ‘ความเรียบง่าย’ อย่างไม่สั่นคลอน จากเด็กหนุ่มใน Brighton ที่หลงรักเวทมนตร์ของเพลงโฟล์ก โตมาเขียนเพลงบนท้องถนน จนวันหนึ่งได้สร้างสรรค์เพลง ที่ปลอบประโลมคนทั้งโลกนามว่า ‘Let Her Go’ แต่ต่อให้โลกจดจำเขาจากเพลงอกหักเพลงนี้ เขาก็ยังยืนยันเสมอว่าเป้าหมายของตัวเองไม่ใช่การไล่ล่าความสำเร็จซ้ำสอง หากคือการเขียนเพลงที่เขารักให้ซื่อสัตย์ที่สุดกับหัวใจตัวเองเสมอ
ไมเคิล โรเซนเบิร์ก ไม่ได้มอง Let Her Go แค่ในฐานะเพลงเศร้าเกี่ยวกับการเลิกรา แต่มองว่าเป็นพื้นที่ว่างให้คนฟังใส่เรื่องราวของตัวเองลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสีย การเปลี่ยนผ่าน หรือการตระหนักถึงคุณค่าบางอย่างหลังจากมันหลุดมือไปแล้ว เขายอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนรักความหลัง แต่ก็พยายามไม่ใช้ชีวิตอยู่กับอดีตนานเกินไป เพราะเชื่อว่าการ “ปล่อยไป” คือการเปิดทางให้สิ่งใหม่เดินเข้ามา นั่นทำให้เพลงของเขาไม่ใช่แค่การย้ำบาดแผลเก่า ๆ หากยังเป็นการชวนให้เราเรียนรู้ที่จะเดินหน้าต่ออย่างอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น
และบางที ภาพของชายคนหนึ่งที่นั่งฟังเพลงที่เรียบง่ายของตัวเองในวิทยุของแท็กซี่คันหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อน อาจเป็นฉากที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดของเขาได้ดีที่สุด จากวันที่ยังแปลกใจว่า “เพลงเล็ก ๆ ของเรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไง” มาถึงวันที่เขากำลังจะกลับมาเล่นเพลงเดิมให้เมืองเดิมฟัง แต่คราวนี้ต่อหน้าแฟนเพลงตัวจริงในฮอลล์ใหญ่ ความทรงจำเก่าและเสียงเพลงเดิมจะยังคงอยู่เหมือนเดิม