บทสัมภาษณ์ ‘Passenger’ ชายผู้เขียน ‘Let Her Go’ เพลงที่เข้ามาปลอบประโลมคนทั้งโลก

บทสัมภาษณ์ ‘Passenger’ ชายผู้เขียน ‘Let Her Go’ เพลงที่เข้ามาปลอบประโลมคนทั้งโลก

บทสนทนากับ ‘Passenger’ เจ้าของเพลง ‘Let Her Go’ ว่าด้วยเบื้องหลังบทเพลงที่ปลอบใจคนทั้งโลก และการเดินทางที่พาเขามาถึงวันนี้

 

คุณจะเห็นคุณค่าของแสงไฟเมื่อมันเริ่มมอบดับลง
หวนคิดถึงดวงตะวันเมื่อลมหนาวเริ่มพัดมา
รู้ว่ารักเธอเท่าไหร่ ก็ต่อเมื่อเธอจากไปแล้ว…

 

เมื่อถึงร่วงหล่นไปอยู่ในห้วงเวลาที่หัวใจบอบช้ำ ‘บทเพลง’ มักกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาบรรเทา (หรือแม้แต่จี้จุด) บาดเผลของเราเสมอ บางเพลงอาจร้องขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม บางเพลงทำหน้าที่เป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ภายใน และบางเพลงปลอบประโลมด้วยความเข้าใจและบอกให้ ‘ปล่อยไป’ 

เป็นเวลากว่า 12 ปีมาแล้วที่บทเพลงนามว่า ‘Let Her Go’ ปรากฎขึ้นและช่วยปลอบประโลมโลกนับตั้งแต่นั้นมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คนเราเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่มีใครสักคนเลือนหายไปจากชีวิต บางทีหนทางที่ดีที่สุดคือการโอบรับความเจ็บปวดและความจริงผ่านการหวนคิดถึงความเจ็บปวดที่เราได้ปล่อยใครสักคนไป หรือเห็นคุณค่าในวันที่กาลเวลาล่วงผ่านไปแล้ว นั่นคือมนตราของเสียงเพลงและถ้อยคำจากศิลปินนาม ‘Passenger

 

ดนตรีโฟล์กคือความซื่อสัตย์และความเปิดเผย ไม่ได้พยายามจะดังที่สุด สว่างที่สุด หรือโดดเด่นที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากในโลกสมัยใหม่ที่เราอยู่กันตอนนี้

 

เบื้องหลังชื่อ Passenger คือ ‘ไมเคิล เดวิด โรเซนเบิร์ก’ (Michael David Rosenberg) นักร้อง–นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ ผู้เริ่มต้นจากการเล่นดนตรีเปิดหมวกบนถนน ก่อนจะค่อย ๆ เดินทางสู่เวทีคอนเสิร์ตทั่วโลก ตลอดเส้นทาง เขาปล่อยสตูดิโออัลบั้มมาแล้ว 15 อัลบั้ม เพลงถูกสตรีมมากกว่าพันล้านครั้ง และ ‘Let Her Go’ เคยขึ้นอันดับ 1 ใน 19 ประเทศ อีกทั้งยังกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูก Shazam มากที่สุดตลอดกาล แต่แม้ตัวเลขจะยิ่งใหญ่ แกนกลางของ Passenger ก็ยังเป็นชายคนเดิมที่มีแค่กีตาร์หนึ่งตัว เสียงร้องอบอุ่น และเรื่องเล่าเรียบง่ายที่พูดกับหัวใจคนฟังตรง ๆ

 

ในวาระที่ Passenger กำลังจะเดินทางมาใกล้คนฟังชาวไทยมากขึ้นกว่าเดิม The People จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาถึงความรู้สึกทุกวันนี้ตั้งแต่เบื้องหลังแนวคิดการเขียนเพลงถึงความสำเร็จที่ถาโถมหลัง Let Her Go ดังไปทั่วโลก วิธีที่เขารับมือกับความคาดหวัง พร้อมทั้งมุมมองต่อการเติบโต การปล่อยวาง และการยังคงซื่อสัตย์ต่อเสียงเพลงของตัวเอง ซึ่งทำให้เราเห็นถึงหัวใจของคนทำเพลงคนหนึ่งที่ยังรักในสิ่งเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

 

ยิ่งผมอายุมากขึ้น ก็ยิ่งตระหนักว่าความเรียบง่ายนั้นทรงพลังแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในดนตรี แต่ในศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย ทั้งในการทำอาหาร ในการใช้ชีวิตโดยรวม บางครั้งสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Passenger กำลังจะมาเยือนประเทศไทยกับทัวร์ ‘PASSENGER ASIA 2025’ ที่จะขึ้นแสดงในกรุงเทพฯ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ Phenix Grand Ballroom ชั้น 5 พร้อมพาเพลงโฟล์ก–ป็อปของเขามาเติมเต็มค่ำคืนให้แฟน ๆ ชาวไทยได้ฟังสด ๆ ใกล้ชิดมากขึ้น ก่อนที่เราจะไปยืนฮัม ‘Let Her Go’ ร่วมกันในฮอลล์คืนนั้น ลองมานั่งลงและทำความรู้จัก Passenger ให้ลึกขึ้นไปพร้อมกัน ผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษครั้งนี้จาก The People

The People : ‘Passenger’ นี่ถือเป็นชื่อในฐานะศิลปินเดี่ยวของคุณ ระหว่างความเป็น ‘Passenger’ กับ ‘ไมค์ โรเซนเบิร์ก’

เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ จริง ๆ แล้ว Passenger เริ่มต้นจากการเป็นวงนะ แต่แล้วผมก็ตัดสินใจใช้ชื่อนี้ต่อแม้ว่าจะเดินทางต่อในฐานะศิลปินเดี่ยว เพราะรู้สึกว่าชื่อนี้มีความน่าสนใจกว่าการที่ผมใช้ชื่อจริงธรรมดาทั่วไป แล้วหลายปีที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกว่าตัวเองค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับชื่อนี้ และมันเข้ากันได้ดีกับแนวเพลงที่ผมทำด้วย แถมบางครั้งการแยก ‘ไมค์’ ออกจาก ‘Passenger’ ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะครับ 

 

The People : ทำไมถึงใช้ชื่อว่า Passenger คุณพอจะบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังชื่อนี้ได้ไหม?

ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นชื่อที่เท่ดีนะ แล้วผมก็เคยเขียนเพลงชื่อ Passenger ด้วย ซึ่งผมกับวงในตอนนั้นก็เห็นตรงกันว่าน่าจะหยิบมาใช้เป็นชื่อได้เลย แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าชื่อนี้มันก็ค่อย ๆ มีความหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ 

 

The People : กระบวนการเขียนเพลงของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มต้นจากไอเดียใหญ่  ๆ เป็นแกนหลักหรือเปล่า หรือว่าค่อย ๆ บันทึกชีวิตของตัวเองในทุก ๆ วันที่ผ่านไป?

มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปีนะ ผมพยายามเสมอที่จะไม่รู้สึกชินกับวิธีเขียนเพลง ช่วงหลังผมเพิ่งเขียนละครเวสต์เอนด์เรื่องหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ผมหลุดออกจากรูปแบบการทำงานที่คุ้นเคยไปได้มาก แต่เอาตรง ๆ เลยนะครับ ผมแทบไม่เคยลำบากเรื่องการหาแรงบันดาลใจหรือเรื่องที่จะเขียนเลย เพราะโลกใบนี้มันน่าหลงใหลสุด ๆ อยู่แล้ว!

 

The People : บ้านเกิดของคุณใน Brighton หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษในภาพรวมมีส่วนหล่อหลอมตัวตนของคุณอย่างไร?

Brighton เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมและงดงามครับ ผมรู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่ได้เติบโตที่นั่น เมืองนี้มีความเป็นเสรีและศิลปะสูงมาก นอกจากนั้นก็มีดนตรีดี ๆ เกิดขึ้นที่นั่นเสมอ มันส่งผลต่อทั้งตัวตนของผมและเพลงที่ผมสร้างอย่างชัดเจนครับ

 

The People : ใครถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่จุดประกายให้คุณเดินทางสายศิลปิน?

พอล ไซม่อน (Paul Simon) ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย! เขาคือนักแต่งเพลงคนโปรดของผม และเป็นศิลปินที่ผมเวียนวนกลับไปฟังเพลงของเขาเสมอ

 

The People : ถ้าต้องเลือกหนึ่งอัลบั้มที่เปลี่ยนชีวิตคุณไปเลย จะเป็นอัลบั้มไหน?

ถ้าผมชอบ พอล ไซม่อน แน่นอนครับว่าอัลบั้มที่ผมจะเลือกก็ต้องเป็น ‘Simon and Garfunkel Live in Central Park’ งานชุดนี้ผมเคยฟังในรถกับครอบครัวตอนเราออกทริปกันตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจดนตรีแบบที่เข้าใจในวันนี้ แต่ในตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเวทมนตร์สำหรับผมเลยครับ

 

บทสัมภาษณ์ ‘Passenger’ ชายผู้เขียน ‘Let Her Go’ เพลงที่เข้ามาปลอบประโลมคนทั้งโลก

 

The People : หลังจากที่มีเพลงฮิตระดับโลกอย่าง Let Her Go แล้ว คุณจัดการกับวิธีการเขียนเพลงของตัวเองจากความคาดหวังหรือแรงกดดันอย่างไรบ้าง?

เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ เพราะหลังจาก Let Her Go ผมก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันและความคาดหวังเกิดขึ้นว่าผมน่าจะต้องมีเพลงฮิตอีก อาจจะไปร่วมเขียนกับคนอื่น หรือทำงานกับโปรดิวเซอร์ดัง ๆ อะไรทำนองนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมแค่อยากทำเพลงที่ผมรัก ในแบบเรียบง่ายที่ผมชอบทำอยู่แล้ว Let Her Go เป็นอุบัติเหตุอันแสนงดงาม และถ้าผมจะมีเพลงฮิตอีกครั้ง ผมคิดว่ามันก็คงเกิดขึ้นโดยบังเอิญพอ ๆ กันครับ

 

The People : ความงดงามของความเรียบง่ายที่มักสะท้อนผ่านเพลงของคุณคืออะไร?

ยิ่งผมอายุมากขึ้น ก็ยิ่งตระหนักว่าความเรียบง่ายนั้นทรงพลังแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในดนตรี แต่ในศิลปะแขนงอื่น ๆ ด้วย ทั้งในการทำอาหาร ในการใช้ชีวิตโดยรวม บางครั้งสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ

 

The People : จากมุมมองของคุณ ความงดงามของดนตรีโฟล์กคืออะไร?

ดนตรีโฟล์กคือความซื่อสัตย์และความเปิดเผย ไม่ได้พยายามจะดังที่สุด สว่างที่สุด หรือโดดเด่นที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากในโลกสมัยใหม่ที่เราอยู่กันตอนนี้นะครับ


The People : เกี่ยวกับเพลง Let Her Go คุณจำช่วงเวลาที่ได้คอนเซปต์หลักของเพลงได้ไหม?

ผมจำได้ดีมากเลยครับ ผมเขียนเพลงนี้เสร็จภายใน 45 นาที บางครั้งเพลงที่เขียนเร็ว ๆ นี่แหละดีที่สุด เพราะคุณจะไม่คิดเยอะจนเกินไป คอนเซปต์มันเรียบง่ายมากเลย คุณจะคิดถึงสิ่งที่มี ก็เมื่อมันหายไปแล้ว ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เพลงนี้ดังมากขนาดนี้ ก็เพราะความรู้สึกแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ครับ

 

The People : ผู้คนมักเรียกเพลงนี้ว่า ‘เพลงอกหัก’ แต่สำหรับคุณ เพลงนี้พูดถึงการสูญเสียหรือการเปลี่ยนแปลงแบบอื่น ๆ บ้างไหม?

สำหรับผม Let Her Go แน่นอนว่ามันเริ่มต้นจากการอกหักครับ แต่พลังของเพลงนี้ ผมคิดว่า มันมาจากการที่มันเปิดกว้างพอให้ผู้ฟังทุกคนสามารถใส่ตัวเองและสถานการณ์ของพวกเขาลงไปในเพลงได้ครับ

 

The People : ท่อนคอรัสของเพลงนี้พูดเรื่อง การมองย้อนกลับไป (you only know after)  ทำไมคุณคิดว่าผู้ฟังถึงมีความรู้สึกร่วมกับคำ ๆ นั้น?

การมองย้อนกลับไปมันเชื่อมเข้ากับความเสียใจ ความทรงจำ ความอกหัก และช่วงเวลาที่เราไม่มีทางย้อนกลับไปได้ มันเจ็บปวดถ้าคุณคิดถึงมันจริง ๆ ผมเป็นคนที่โคตรจะรักความหลังเลยนะครับ แต่ผมต้องพยายามมากที่จะไม่หันกลับไปหรือใช้ชีวิตอยู่กับอดีตมากเกินไป เพราะมันไม่ดีต่อจิตใจเลย และจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้น่ามหัศจรรย์เท่าปัจจุบันด้วยซ้ำ แต่ผมคิดว่าการได้แวะกลับไปผ่านเพลงสักหน่อย มันก็ดีเหมือนกันนะ

 

The People : ทำไมเราถึงสมควรปล่อยบางสิ่งไป?

เพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งใหม่เข้ามา

 

The People : คุณเคยได้ยินเพลงนี้ในสถานที่ที่คุณไม่คาดคิดมาก่อนบ้างไหม?

ผมจำได้เรื่องหนึ่ง ตลกดีครับ ตอนนั้นผมมา กรุงเทพฯ ครั้งแรก ไม่นานหลังจากที่เพลงนี้ดังโป้งป้างขึ้นมา ผมขึ้นแท็กซี่จากสนามบินไปโรงแรม แล้วเพลงนี้ก็ดังขึ้นมาทางวิทยุ ผมจำได้ว่ามองออกไปนอกหน้าต่างระหว่างที่รถขับผ่านเมือง แล้วคิดกับตัวเองว่า ‘เพลงเล็ก ๆ ของเรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไงนะ!?’ มันเป็นช่วงเวลาที่เจ๋งสุด ๆ ไปเลยครับ

 

The People : อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณตอนนี้?

รีเบคกา (Rebekah) ภรรยาสุดที่รักของผม, บอนนี (Bonnie) และ อาร์เซนอล (Arsenal) ลูกน้อยของเรา รวมไปถึง เจ้าแมวของผมที่ชื่อว่า ชาร์ลี (Charlie) ด้วย

 

The People : คุณกำลังจะได้มาบรรเลงเพลงของคุณที่กรุงเทพฯ เร็ว ๆ นี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ผมแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เล่นที่ประเทศไทย ผมเคยมาเที่ยวหลายครั้งและชอบมาก ดีใจสุด ๆ ที่ในที่สุดก็ได้มาทำการแสดงที่นี่ครับ

 

The People : ถ้านักฟังหน้าใหม่ในประเทศไทยมีเวลาแค่ 10 นาทีก่อนดูโชว์ของคุณ เขาควรฟังเพลงไหน (นอกจาก Let Her Go) เพื่อจะ ‘เข้าใจ’ ตัวตนของคุณ?

ยากเลย! ผมออกอัลบั้มมา 15 อัลบั้มแล้ว ดังนั้นจะให้เลือกแค่เพลงสองเพลงก็เป็นเรื่องที่หินใช้ได้ แต่ถ้าต้องเลือกจริง ๆ ผมขอเป็น ‘Scare Away the Dark’ และ ‘Sword From the Stone’ แล้วกัน ผมคิดว่าสองเพลงนี้น่าจะช่วยให้คนฟังพอเข้าใจตัวตนของผมและสิ่งที่ผมทำ

 

The People : ถ้านักเขียนเพลงรุ่นใหม่มาขอคำแนะนำหนึ่งอย่างสำหรับการมีอาชีพที่ยาวนาน คำตอบจริงใจของคุณคืออะไร?

เขียนจากหัวใจเสมอครับ อย่าพยายามเขียนในแบบที่คิดว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ให้เขียนให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นแหละคือวิธีที่คุณจะพัฒนาได้ครับ

 

 

ในท้ายที่สุด การเดินทางของ Passenger อาจไม่ใช่แค่เรื่องราวของศิลปินที่มีเพลงฮิตระดับโลกหนึ่งเพลง หากคือภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ยังเชื่อใน ‘ความเรียบง่าย’ อย่างไม่สั่นคลอน จากเด็กหนุ่มใน Brighton ที่หลงรักเวทมนตร์ของเพลงโฟล์ก โตมาเขียนเพลงบนท้องถนน จนวันหนึ่งได้สร้างสรรค์เพลง ที่ปลอบประโลมคนทั้งโลกนามว่า ‘Let Her Go’ แต่ต่อให้โลกจดจำเขาจากเพลงอกหักเพลงนี้ เขาก็ยังยืนยันเสมอว่าเป้าหมายของตัวเองไม่ใช่การไล่ล่าความสำเร็จซ้ำสอง หากคือการเขียนเพลงที่เขารักให้ซื่อสัตย์ที่สุดกับหัวใจตัวเองเสมอ 

ไมเคิล โรเซนเบิร์ก ไม่ได้มอง Let Her Go แค่ในฐานะเพลงเศร้าเกี่ยวกับการเลิกรา แต่มองว่าเป็นพื้นที่ว่างให้คนฟังใส่เรื่องราวของตัวเองลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสีย การเปลี่ยนผ่าน หรือการตระหนักถึงคุณค่าบางอย่างหลังจากมันหลุดมือไปแล้ว เขายอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนรักความหลัง แต่ก็พยายามไม่ใช้ชีวิตอยู่กับอดีตนานเกินไป เพราะเชื่อว่าการ “ปล่อยไป” คือการเปิดทางให้สิ่งใหม่เดินเข้ามา นั่นทำให้เพลงของเขาไม่ใช่แค่การย้ำบาดแผลเก่า ๆ หากยังเป็นการชวนให้เราเรียนรู้ที่จะเดินหน้าต่ออย่างอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้น

และบางที ภาพของชายคนหนึ่งที่นั่งฟังเพลงที่เรียบง่ายของตัวเองในวิทยุของแท็กซี่คันหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อน อาจเป็นฉากที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดของเขาได้ดีที่สุด จากวันที่ยังแปลกใจว่า “เพลงเล็ก ๆ ของเรามาไกลขนาดนี้ได้ยังไง” มาถึงวันที่เขากำลังจะกลับมาเล่นเพลงเดิมให้เมืองเดิมฟัง แต่คราวนี้ต่อหน้าแฟนเพลงตัวจริงในฮอลล์ใหญ่ ความทรงจำเก่าและเสียงเพลงเดิมจะยังคงอยู่เหมือนเดิม