30 ต.ค. 2568 | 18:00 น.

KEY
POINTS
บอกตามตรงว่าเรายังไม่เคยเจอใคร ที่มีรอยยิ้มสดใสได้เท่ากับ ‘สตางค์-ตริษา ปรีชาตั้งกิจ’ ศิลปินจากค่าย kiddorecords เพราะทุกครั้งที่เราถามคำถาม หญิงสาวตรงหน้าก็พร้อมส่งยิ้มกว้างกลับมาเสมอ
วันนี้เราอยากคุยกับเธอเรื่องความรักเป็นพิเศษ เพราะซิงเกิลใหม่ที่เพิ่งปล่อยอย่างเพลง ‘อยากเรียกที่รัก’ (Call Me Darling) ทำให้อยากเข้าใจมุมมองความรักของผู้หญิงคนนี้มากขึ้นไปอีกว่าใครกันนะที่จะได้รับคำว่า ‘ที่รัก’ จากสตางค์
แต่ระหว่างที่บทสนทนาดำเนินไป เรากลับได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเธอ ด้านที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการเดินอยู่ท่ามกลางแสงสีของวงการบันเทิง แต่เธอคนนี้กลับเลือกจะเก็บพลังงานลบ ๆ เอาไว้กับตัวเอง ไม่ขอทำให้ใครรู้สึกหม่นเพราะเธอเป็นอันขาด
วิธีการบำบัดความเศร้าของสตางค์ คือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดกล้อง เลื่อนไปโหมดวิดีโอ กดอัดคลิป และปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอพูดไม่เป็นภาษา เล่าระบายความอัดอั้นที่เจอมาทั้งหมดให้ผู้หญิงที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ฟัง
ผู้หญิงคนที่ไม่เคยตอบกลับ
ไม่มีคำปลอบ
ไม่มีอ้อมกอด
มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ดังชัดอยู่ในโสตประสาท
หลังจากทุกอย่างสงบลง เธอก็กลับมาเป็นสตางค์-ตริษาที่สดใสอีกครั้ง เก็บความคิดและประสบการณ์เลวร้ายฝังลงในคลังภาพส่วนตัว และหากวันไหนใจซึมจนเกินทน เธอก็จะหันไปพึ่งพาธรรมะ หวังจะช่วยปลดเปลื้องเรื่องทุกข์ใจให้เบาลงอีกทางหนึ่ง
ใช่, ฟังไม่ผิด หญิงสาวที่เพิ่งผ่านวันเกิดอายุ 22 ปี ไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา บอกกับเราอย่างนั้น แต่เธอคนนี้ก็ยังคงส่งพลังความสดใสให้คนรอบตัวอยู่ตลอด แม้ว่าเรื่องที่เธอเล่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
The People พูดคุยกับ สตางค์-ตริษา ศิลปินสาวผู้เชื่อในพลังของความสุข และอยากส่งต่อความสดใสให้ทุกคนผ่านเสียงดนตรีและการแสดง แม้ในใจลึก ๆ จะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม
สตางค์-ตริษาเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน เธอเติบโตท่ามกลางความรัก มีพ่อกับแม่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ ถึงทั้งสองจะไม่ได้มีความถนัดด้านการร้องเพลง ไม่ได้มีสายเลือดศิลปิน ไม่เข้าใจว่าการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์จะเป็นอย่างไร และดูเหมือนจะมีเพียงคุณตาคนเดียวเท่านั้นที่ดูชื่นชอบการร้องเพลงมากที่สุดแล้ว แต่พวกท่านก็ยังคงส่งแรงเชียร์ให้ลูกสาวกล้าทำตามฝันอยู่ไม่ห่าง
หากจะบอกว่านี่คือรักแรกพบของสตางค์ก็คงไม่ผิดมัก เพราะคงไม่มีรักครั้งไหนจะยอมเสียสละเพื่ออีกคนได้ถึงขนาดนี้ รักที่ปราศจากเงื่อนไข รักที่พร้อมอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต รักที่จะอยู่เคียงข้างกันจนวันสุดท้ายของชีวิต
และเพราะรัก จึงทำให้พวกท่านยังคงสนับสนุนความฝันของสตางค์ แม้ในใจจะอยากให้ลูกสาวเปลี่ยนเส้นทางชีวิต เลือกทางเดินที่ทรมานน้อยกว่านี้หน่อย เพราะไม่อยากเห็นเธอต้องทุกข์ใจอีกแล้ว
แต่สตางค์ก็คือสตางค์ เธอแกร่งกว่าที่คิด ไม่ว่าจะมีอีกกี่เรื่องเลวร้ายเข้ามา หญิงสาวคนนี้ก็พร้อมเผชิญโดยไม่หวั่นเกรง
ส่วนความชอบด้านการร้องเพลงของสตางค์เริ่มขึ้นตอนอายุ 9 ขวบ หลังจากดูรายการประกวดร้องเพลงผ่านทางโทรทัศน์ และเห็นว่าเสียงเพลงทำให้ผู้คนมีความสุขได้ขนาดไหน เธอจึงเริ่มคิดถึงความสุขของคนอื่นมานับตั้งแต่วินาทีนั้น
“ตอนนั้นเราอายุเก้าขวบ แรก ๆ พ่อกับแม่ก็สนับสนุน ลูกอยากทำอะไรก็ให้ทำ แต่ว่าพอทำไปถึงจุดนึงตอนที่ประกวดไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะมีช่วงที่เราทำไม่ได้บ้าง ผิดหวังบ้าง เห็นเราท้อบ้าง ป่าป๊ากับหม่าม้าก็มองว่าหรือเราอาจจะไม่เหมาะกับทางนี้ ลองเปลี่ยนไปทางอื่นดูมั้ย เป็นหมอมั้ย จะได้ไม่ต้องประกวดร้องเพลงแล้ว”
แต่สุดท้ายสตางค์ก็พิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านเห็น จนพวกท่านยอมให้ลูกสาวเดินบนเส้นทางนี้ต่อ
“มันมีช่วงที่เรารู้สึกเครียด กดดันทุกอย่าง แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าเราต้องผ่านไปได้” เธอเล่าพลางนิ่งคิด
เราเลยอดถามไปไม่ได้ว่าคนที่สดใสอย่างสตางค์ปกติแล้วร้องไห้บ้างหรือเปล่า
“ไม่เลย” เธอบอก
“ปกติไม่ร้องไห้ เพราะเราก็มีภูมิต้านทานอยู่ประมาณนึง อีกอย่างคือเราจะไม่กล้าพูดกับคนอื่นเพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาเครียด เลยจะมีวิธีที่แปลกนิดนึง (หัวเราะ) คืออัดคลิปร้องไห้ ระบายใส่ในมือถือเอาไว้ เพื่อให้เราได้พูดกับใครสักคน แต่ว่าก็ไม่อยากให้คนอื่นได้รับสิ่งไม่ดี”
“ช่วงนั้นมันเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา” เธอย้อนความทรงจำ
“เราอาจจะเป็นเด็กด้วย มองแค่ว่าชีวิตเรามีแค่ตรงนั้น ไม่ได้มองโลกให้กว้าง แค่รู้สึกว่าตอนนั้นน่ะ สิ่งที่เราทำอยู่คือความหวังของฉันทั้งหมด พอไปไม่ถึงฝันมันก็เลยหนัก ร้องไห้หนักมาก แต่เราก็รู้สึกว่าเราต้องฮึบสู้ต่อนะ มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกท้อ ท้อมันก็ท้อได้อยู่แล้ว แต่อย่าถอย ต้องทำต่อไปให้ได้
ในฐานะลูกสาวคนเดียวของบ้าน เวลามีเรื่องอะไรไม่สบายใจเธอก็มักจะเล่าให้ที่บ้านฟังอยู่เสมอ เพราะเธอมองว่าหากวันหนึ่งเธอไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว อย่างน้อย ๆ พ่อกับแม่ก็ยังเป็นคนที่จดจำทุกเรื่องราวของลูกสาวคนนี้ได้
“เราคิดว่าถ้าวันไหนเราตายไปน่ะ อย่างน้อย ๆ การที่เราเล่าให้เขาฟังทุกเรื่อง เขาจะได้รู้เรื่องของเราทั้งหมด รู้ว่าเราต้องการอะไร คิดอะไร ไม่งั้นถ้าเราจากไปเขาก็ไม่รู้ความคิดของเราที่ผ่านมาเลย เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
“ทุกวันนี้มีอะไรก็เลยเล่าให้ฟังตลอด คุยทุกเรื่อง อีกอย่างเราเองก็อยากใช้ชีวิตทุกวันให้คุ้มค่าที่สุด เลยมองว่าเรื่องความตายมันไม่แน่นอน อย่างบางวันเราทำงานแล้วพักผ่อนน้อยมาก ๆ เวลาป่วยก็ทรมาน เลยมีความคิดเรื่องความตายขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ ว่าถ้าวันไหนเราตายไป เราก็อยากให้การตายของเรามันไม่สูญเปล่า เพราะที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว”
นอกจากการเป็นศิลปินแล้ว อีกหนึ่งบทบาทของสตางค์ คือ การขึ้นมารับตำแหน่ง Miss Tourism World Bangkok ทูตการท่องเที่ยวและทูตการกีฬา เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ประจำปี 2025 ซึ่งเธอเองก็ยอมรับว่าอาจดูเป็นเส้นทางชวนสับสน แต่พอได้เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ก็เปิดโลกอยู่ไม่น้อย
“ดูแบบงง ๆ นิดนึง (หัวเราะ) เราเองก็งง ๆ ตอนที่จะได้รับการคัดเลือก เพราะว่าตอนนั้นเขาก็มีการคัดคนเพื่อที่จะมาเป็นทูตด้านต่าง ๆ ซึ่งทูตเองก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เราใฝ่ฝันเหมือนกัน แต่เราก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้มีโอกาสเข้าไปทำ”
สตางค์เล่าว่าการเข้าไปเป็นทูตการท่องเที่ยวและทูตการกีฬาได้นั้น ต้องฝ่าฟันสารพัดด่าน ทั้งประวัติ ผลงาน รวมถึงความสามารถขั้นเทพ แถมยังต้องแข่งขันกับคนจากหลากหลายอาชีพ ทำให้เธอเองก็รู้สึกกดดันไม่น้อย แต่สุดท้ายความพยายามของเธอก็เกิดผล เมื่อคณะกรรมการต่างเล็งเห็นว่าสาวน้อยคนนี้เหมาะกับตำแหน่งมากที่สุด
นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีคำว่ากีฬาต่อท้ายมาด้วย แล้วสตางค์มีความเกี่ยวข้องยังไงกับกีฬา ― เราถาม
เธอเล่าให้ฟังว่า สมัยยังเป็นเด็ก นอกจากเป็นนักร้องตามเวทีประกวดแล้ว เธอยังร้องเพลงให้กับสมาคมมวยไทย จึงทำให้โปรไฟล์ของเธอยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก
“เรื่องของกีฬาเราจะทำการโปรโมทด้านมวยไทย ซึ่งเราเองก็มีความเกี่ยวข้องกับกีฬาชนิดนี้อยู่พอสมควร เคยไปร้องเพลงให้สมาคมมวยไทย เราก็เลยได้รับหน้าที่เข้ามาช่วยโปรโมทมวยไทย ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”
อีกอย่างการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ของสตางค์ เธอยังมีความฝันที่จะผลักดันให้เกิดพื้นที่กรีนสเปซเพิ่มขึ้นในตัวเมือง เธออยากเห็นกรุงเทพฯ มีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ อยากเห็นเมืองที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลว่าอากาศที่ใช้หายใจในทุกวัน จะนำพาโรคร้ายอะไรตามมาในภายหลัง
“เราเกิดที่กรุงเทพฯ ภาพที่เราเห็นคือเมืองเริ่มมีมลภาวะมากขึ้นเรื่อย ๆ อากาศที่ควรจะใช้หายใจได้อย่างสบายใจมันไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว เลยอยากจะผลักดันให้เกิดพื้นที่กรีนสเปซ อยากเห็นเมืองที่มีต้นไม้เยอะ ๆ แต่ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงอย่างเดียว การทำหน้าที่ตรงนี้จะต้องผ่านการประชุมหารือกันหลายฝ่าย เป็นอะไรที่จริงจังมาก ๆ
“ตอนที่เริ่มเข้ามาทำหน้าที่นี้ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เรามองว่าการได้อยู่ตรงนี้ ถ้าเราสามารถช่วยเหลือหรือมอบอะไรดี ๆ ให้ใครได้บ้าง เราก็อยากทำเต็มที่อยู่แล้ว
“เพราะการได้เห็นคนอื่นมีความสุขจากสิ่งที่เราทำ มันคือความสุขของเราเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของศิลปิน หรือนักแสดง เราก็อยากให้คนที่ได้ติดตามเรารู้สึกดี รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่เราตั้งใจทำ เราเลยยึดเรื่องของการส่งต่อความสุขเป็นเหมือนหัวใจสำคัญเป็นแกนหลักของชีวิต อยากแบ่งปันความสุขเล็ก ๆ ของเราให้กระจายไปถึงทุกคนเท่าที่จะทำได้”
ความรักสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องซับซ้อน เต็มไปด้วยการคาดหวังและความไม่แน่นอน แต่สำหรับสตางค์ เธอมองว่าความรักคือสิ่งเรียบง่ายที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาย่อมควรค่าแก่การถูกรัก ไม่ว่าพวกเขาคนนั้นจะมาจากที่ไหน หรือผ่านชีวิตมาแบบใดก็ตาม
คำว่า ‘ที่รัก’ สำหรับเธอจึงไม่จำกัดอยู่ในกรอบของความสัมพันธ์ใด ๆ แต่เป็นถ้อยคำที่ใช้โอบรับทุกหัวใจที่ยังเชื่อในความอบอุ่นเล็ก ๆ ระหว่างคนกับคน
“เรามองว่าทุกคนควรค่าแก่การถูกเรียกว่า ‘ที่รัก’ ทั้งหมดเลย
“แต่ถ้าในมุมความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่รักกัน คนที่เราจะเรียกเขาว่าที่รักได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ซื่อสัตย์กับเรา เป็นใครก็ได้เลยที่สามารถเข้ากับเราได้ อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข แค่นี้เลย
“แต่สำหรับเรานะ ความรักในอุดมคติไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะชีวิตส่วนหนึ่งของเราอยู่กับธรรมะ ทำให้เข้าใจว่ามนุษย์เรามีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง จะให้คนคนหนึ่งรู้สึกอย่างเดียวไปตลอดเป็นไปไม่ได้ สมมติว่ารักกันมาสิบปี ก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง มันไม่ใช่ว่าจะต้องหวานชื่นกันตลอดเวลา”
แม้เธอจะไม่เชื่อในรักอุดมคติ แต่สตางค์ยังเชื่อในพลังของความรู้สึกจริงใจ และซิงเกิลใหม่ของเธอ ‘อยากเรียกที่รัก’ (Call Me Darling) ก็เปรียบเหมือนบทต่อของเรื่องราวจากเพลงก่อนหน้า ‘ยังไม่มีหรอก… แฟน’ (Single, please flirt.) ครั้งนี้เธอถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่มีใครบางคนอยู่ในใจ แต่อาจยังไม่กล้าบอกตรง ๆ จึงเลือกจะพูดผ่านเสียงเพลงแทน
“เพลงอยากเรียกที่รัก มันเหมือนเราอยากพูดกับใครสักคนว่า ‘เราอยากเรียกเธอว่าที่รักนะ’ แต่ก็แอบเขิน ไม่รู้ต้องทำยังไงให้เขาชอบเรา อยากให้เขารู้ว่าเรารู้สึกยังไง อยากส่งความจริงใจไปให้คนที่เราชอบได้รู้
“แล้วก็ในเพลงนี้ เราอยากให้คนที่มาฟัง เขารู้สึกกล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงออก ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม เพราะความรักมันไม่จำเป็นต้องมีกฎว่าต้องมาจากฝ่ายไหนก่อน เราแค่รู้สึกดีต่อกัน มันก็เพียงพอแล้ว”
เพราะความกล้าก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สตางค์เคยหลงลืมไปเหมือนกัน เธอเองเคยเป็นคนไม่กล้า ไม่มั่นใจในตัวเองจนพลาดโอกาสหลายครั้ง “เมื่อก่อนเราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก ทั้งที่ในใจก็อยากพูดออกไป แต่สุดท้ายมันก็แค่ความกลัวที่ทำให้เราพลาด แล้วก็กลับมาเสียดายทีหลังว่า โอกาสแบบนั้นมันไม่มีวันย้อนกลับมาอีกแล้ว”
“ก็เลยเขียนเพลงเกี่ยวกับความกล้าขึ้นมา คอยเตือนตัวเองตั้งแต่เด็กเลยว่าชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะกลัว แปะเอาไว้กลางอกเลยว่า ‘หยุดกลัว ลองทำดูก่อน’ เตือนสติตัวเองให้กล้าทำ กล้าลอง ต่อให้ผลมันจะไม่เป็นอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำ ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่า ‘รู้งี้’ เพราะโอกาสที่ผ่านเข้ามาบางทีมันผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย ไม่มีวันย้อนกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง”
ก่อนจะจบบทสนทนา เราอยากรู้ว่า นอกจากความสุขที่สตางค์คอยมอบให้คนอื่นแล้ว คำว่า ‘รักตัวเอง’ สำหรับเธอหมายถึงอะไร เป็นความรักแบบไหนกันแน่ที่ทำให้เธอคนนี้ ยังคงความสดใสได้ในทุก ๆ วัน
สตางค์บอกว่าสำหรับเธอ การรักตัวเองคือการลงไปสำรวจภายในจิตใจ ถามไถ่ตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันนั้น ทำให้ทุกข์ใจมากแค่ไหน และพยายามหาพื้นที่เล็ก ๆ ให้ตัวเองได้หลบไปพักใจ เพียงเท่านี้ก็กอบกู้ใจที่แหลกสลายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
“เราว่าการรักตัวเองคือการมีพื้นที่ในใจ เวลามีอะไรมากระทบ เราควรมีมุมเล็ก ๆ ไว้ฮีลตัวเอง สมมติว่าอกหัก ก็ยังมีพื้นที่ให้เรารักษาใจตัวเองอยู่ เราว่านี่แหละคือการรักในแบบของเรา”
‘อยากเรียกที่รัก’ จึงไม่ใช่แค่เพลงสารภาพรักของใครคนหนึ่ง แต่คือบทเพลงแห่งการเติบโต ที่ชวนให้คนฟังกล้าที่จะรัก กล้าที่จะพูด และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ผ่านพลังความสดใสและหัวใจที่ซื่อสัตย์ แม้ในวันที่หัวใจเปียกชื้นด้วยน้ำตาก็ตาม
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : พิชญุตม์ คชารักษ์