22 ส.ค. 2568 | 17:45 น.
KEY
POINTS
เชื่อว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเล่น Tiktok คุณคงเคยได้ยินเพลงนี้…
“It's been three years and six whole months. Since I saw your face that night”
นี่คือเพลง ‘24/7, 365’ เพลงรักที่ไม่มีคำว่ารักของ ‘elijah woods’ ศิลปินชาวแคนาเดี้ยนที่มักจะพาเราไปรู้จักคำว่ารักผ่านหลากหลายแง่มุมผ่านบทเพลงของเขา
แต่การจะมาถึงวันนี้ วันที่เขากลับมาเยือนประเทศอีกครั้งใน elijah woods: Give Me The Sunlight in Bangkok เส้นทางของเขาอาจจะเจอบททดสอบมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ การที่เขาหลงรักเสียงเพลงในทุกวินาที ทุกวัน และทุกปีมาตลอด
ต่อจากนี้ คือ บทสนทนาที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักเขา ‘elijah woods’ ศิลปินที่หลงเสน่ห์ประเทศไทย รักอาหารไทยและอยากใช้ชีวิตกับปัจจุบัน
ผมโตมากับการเล่นดนตรี พ่อสอนผมเล่นกีตาร์ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมชอบเกม Guitar Hero มาก และพ่อก็สอนให้ผมเล่นเพลงที่ผมชอบ 2-3 เพลงจากเกมนั้น หลังจากนั้นตอนอายุประมาณ 13 ปี ผมได้เป็นดีเจ ซื้อชุด DJ มาเล่นกับน้องชาย แทนที่จะแบ่งกันเล่น แต่ผมเล่นคนเดียว ไม่เคยให้น้องใช้เลย จนมันทำให้ผมเริ่มแต่งเพลง ซึ่งผมสนุกมาก ผมเริ่มเขียนจากเรื่องราวส่วนตัวมาก ๆ จนเกิดเป็นเพลงต่าง ๆ มาเรื่อย ๆ
ตอนที่เป็น DJ ผมถูกชวนไปเล่นดนตรีในเทศกาลเล็กๆ ผมตกใจว่ามีคนจ่ายเงินให้ผมไปเล่นเพลง EDM ที่ผมทำเอง แล้วก็ไม่ได้ดีอะไร หลังจากนั้นผมก็เริ่มแต่งเพลงให้ DJ แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกสนุก จนผมพยายามหาทางของตัวเอง เพลงที่ผมแต่งมันก็เริ่มมีมากขึ้น ไม่เคยคิดว่าจะได้ขึ้นเวทีแสดง แต่ช่วงโควิดนั่นแหละที่ผมตัดสินใจว่าอยากร้องเพลง แสดง ออกทัวร์ แล้วผมก็ขอบคุณที่ยังมีคนที่อยากฟังเพลงของผม
ผมคิดว่าความรักหมายถึงการใส่ใจคนรอบข้าง การที่คุณจะอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่ว่าจะช่วงเวลาที่ดีหรือร้ายเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจกันในทุกสถานการณ์ และทำให้มั่นใจว่า คุณจะอยู่ตรงนั้นเพื่อคนที่คุณรัก
ผมคิดว่า Sunlight หรือ Give Me The Sunlight หมายถึง บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวและอยู่ในความมืด แต่สำหรับผม ทัวร์นี้คือการใช้ดนตรีเป็นสื่อกลางเพื่อพาผู้คนมาอยู่ด้วยกัน
ปีที่แล้วผมได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่เป็นครั้งแรก บัตรรอบแรกขายหมดทันทีจนต้องเพิ่มอีกรอบแล้วก็ขายหมดอีกเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที สำหรับผมมันพิเศษและจริงมากๆ ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความรักและเสียงดนตรีที่แฟนเพลงไทยส่งมาให้ ทุกคนร้องตามทุกเพลง ซึ่งมันเติมเต็มความรู้สึกของผมในฐานะศิลปินที่อยากร้องเพลงให้กับคนที่เข้าถึงมันได้จริง ๆ
แรงบันดาลใจมาจากทุกที่ครับ เวลาเล่นคอนเสิร์ต ผมก็อยากทำเพลงให้สนุกและน่าตื่นเต้น ต่างจากตอนอยู่สตูดิโอที่เงียบๆ สิ่งที่ผมชอบคือการเอาเพลงช้าๆ มาปรับให้สนุกและเหมาะกับบนเวที โดยยังคงส่วนที่ทุกคนคุ้นเคย แต่ใส่การตีความใหม่เข้าไป เพราะผมทำเพลงเองทั้งหมด เลยสามารถสร้างเวอร์ชันพิเศษสำหรับคอนเสิร์ตได้ตลอด
ผมจะนิยามว่าเป็นการกินผัดไทยในประเทศไทย เพราะผมสามารถกินอาหารจานนี้ได้ทุกนาที ทุกชั่วโมงของทุกวัน แต่ในความเป็นจริง ความรักและความทุ่มเทแบบนี้ หมายถึงการต้องลงมือทำทุกวัน ทำงานหนัก และใส่ใจทุกขั้นตอน เพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่เพียงนาทีหรือชั่วโมงหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่จะอยู่ได้นานและผ่านการทดสอบของเวลา
ต้องเป็นตัวของตัวเอง ผมพยายามทำแบบนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขหรือช่วงเวลาที่มืดมนในชีวิต โดยเฉพาะตอนนี้มีโซเชียลมีเดีย มันง่ายมากที่จะเข้าไปแล้วบอกว่า 'นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้' และผมพยายามสะท้อนสิ่งนั้นในเพลงของผมให้มากที่สุด
สิ่งที่ผมตั้งใจใส่ไว้ในอัลบั้มนี้ คือให้แต่ละเพลงมีข้อความต่างกัน แต่ยังอยู่ในเรื่องเดียวกัน คือ เรามาคุยกันได้ไหม มันอาจหมายถึง ‘เราคุยเรื่องผมรักคุณได้ไหม’ ‘เราคุยเรื่องที่ยาก ๆ กันได้ไหม’ หรือ ‘ผมอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม’ เพราะผมเองก็ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาเยอะ และดนตรียังสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้จริงๆ”
ผมเขียนเพลงไปประมาณ 150 เพลง แล้วต้องคัดเหลือแค่ 11 เพลง อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยความรัก ความพยายาม ความลังเล และความไม่แน่นอน แต่ผมคิดว่านี่คือเวอร์ชันที่จริงใจที่สุด ผมตื่นเต้นมากที่จะได้แบ่งปันให้ทุกคนได้ฟัง เวลาที่เก็บเพลงไว้ก่อนปล่อย คุณก็จะคิดว่า ‘หวังว่าคนจะชอบนะ’ แต่พอได้ปล่อยและเห็นการตอบรับ มันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งเลย ผมแทบรอไม่ไหวที่จะให้ช่วงเวลานั้นมาถึง
ในอัลบั้มนี้เลยมีบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับผมทั้งสวยงามและยากลำบาก เพราะทุกครั้งมันมักจบด้วยการทำให้เรารู้จักมิติของความสัมพันธ์ใหม่ๆ
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกพวกเขาคืออยากให้ฟังมันตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ใช่แค่ 11 เพลงที่เอามาโยนรวมกัน ผมคิดว่าเรื่องราวที่ผมเคยผ่านมามันยากที่จะก้าวผ่านไปด้วยตัวคนเดียว และคงดีกว่าถ้าทุกคนได้ฟัง
ดนตรีคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม ผมไม่มีทักษะอื่นเลย ผมทำอย่างอื่นไม่ได้ ผมพบว่ามันง่ายมากที่จะลืมไปว่าดนตรีมันสำคัญแค่ไหน เพราะต้องอยู่ในวงการ เล่นคอนเสิร์ต ออกทัวร์ และทำเพลงตลอดเวลา แต่สำหรับผม นี่คือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกขอบคุณที่ทุกคนซื้อบัตรเพื่อมาฟังเพลงที่ผมแจ่ง
ผมคิดว่ามันคือพลังที่หลอมรวมผู้คนเข้าด้วยกัน คงจริงที่ว่าเพลงสามารถก้าวข้ามภาษาและพรมแดนและนำพาผู้คนมากมายที่แตกต่างมารวมกันได้
ผมไม่ใช่ Sabrina Carpenter ไม่ใช่ Taylor Swift ผมไม่ได้ออกไปเต้นและออกแบบท่าเต้น ผมดู Benson Boone บนเวที เขาตีลังกากลับหลัง ผมไม่ใช่แบบนั้น
ผมแค่รักการทำเพลงและชอบร้องเพลงการออกทัวร์และการแสดงเป็นสิ่งใหม่สำหรับผม ผมเลยคิดว่านั่นเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด คือ การนำเพลงจากสตูดิโอขึ้นสู่เวทีและทำให้สนุกสำหรับผมและแฟน ๆ ที่จะได้ฟังมันเป็นครั้งแรก
ผมมีสองเรื่องอยากพูด เรื่องแรกคือขอบคุณที่มาหาผม การลุกจากเตียง ใส่รองเท้า และมาที่คอนเสิร์ตต้องใช้ความพยายามมาก ผมซาบซึ้งใจจริงๆ กับทุกคนที่มาดูคอนเสิร์ต
ผมรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่พิเศษและหาได้ยาก โดยเฉพาะกับแฟนๆ ชาวไทยกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในตลาดสตรีมมิ่งอันดับสองหรือสามของผมมาตลอด และนั่นพิเศษมาก มันทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับประเทศไทย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาหารหรือผู้คน ทุกครั้งที่ผมมา เหมือนผมอยู่บ้าน ขอบคุณที่ทำให้ช่วงเวลาเหล่านี้เกิดขึ้น
มันพิเศษมาก ผมรักมันเลย คอนเสิร์ตสองรอบเมื่อปีที่แล้วมันพิเศษมาก และเป็นไฮไลท์ของการทัวร์ของผมเลย
ผมมีความฝันและแรงบันดาลใจมากมาย ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่วุ่นวายมาก ผมโชคดีที่ได้มาเอเชียเป็นครั้งแรก ออกทัวร์ ปล่อยเพลงใหม่หลายเพลง แต่งงาน เลี้ยงสุนัข และย้ายบ้านจากโตรอนโตไปลอสแองเจลิส
แต่ผมก็พบว่าการอยู่กับปัจจุบันนั้นยากมาก สำหรับปีนี้และทัวร์นี้ ผมอยากโฟกัสอยู่กับปัจจุบันจริงๆ อยากใช้เวลาอยู่กับช่วงเวลาของอัลบั้มนี้
เพราะชีวิตมันสั้นมาก และสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาได้ ผมเลยพยายามซึมซับทุกช่วงเวลาให้มากที่สุด
ภาพ : Live Nation Tero