‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

เปิดใจ ‘อ๊ะอาย 4EVE’ สมบัติแห่งชาติทีป๊อป เล่าเส้นทางจากเด็กขี้อายสู่ไอดอลดัง ความท้าทายการเรียน-ทำงาน แฟนคลับไออุ่น และปรัชญาชีวิตเชิงบวกที่สร้างแรงบันดาลใจ

KEY

POINTS

  • อ๊ะอายเปลี่ยนจากเด็กที่ร้องไห้ในงานแคสติ้งสู่ศิลปินมืออาชีพผ่านบทเรียนจากความผิดหวัง
  • ความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการเรียนและอาชีพ รวมถึงการรับมือกับแรงกดดัน
  • ทัศนคติต่อการรับมือกับผู้ไม่ชื่นชอบและการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

“ได้ยินก็เขิน รู้สึกงง ๆ” คำตอบแรกของ ‘อ๊ะอาย’ กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ สมาชิกน้องเล็กสุดของ ‘4EVE’ เมื่อได้ยินแฟนคลับเรียกเธอว่า ‘สมบัติแห่งชาติทีป๊อป’ แต่เบื้องหลังคำชมเชยเหล่านี้ คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ การล้มลุก และการเติบโตที่ไม่ธรรมดา

การได้นั่งคุยกับ อ๊ะอาย ในบ่ายวันหนึ่ง ทำให้ได้เห็นมิติของเธอที่แตกต่างจากภาพลักษณ์บนเวที นอกจากความสดใสและรอยยิ้มที่ไม่เคยจางหาย เธอยังมีความคิดที่ลึกซึ้ง มุมมองต่อชีวิตที่สุขุม และทัศนคติเชิงบวกที่น่าชื่นชม 

เส้นทางของเธอตั้งแต่เด็กขี้อายที่ร้องไห้ในงานแคสติ้ง จนกลายเป็นศิลปินที่ได้รับความรักจากแฟนคลับมากมาย คือเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิตและแรงบันดาลใจ

วัยเด็กที่ไม่มั่นใจ

การเริ่มต้นของ อ๊ะอาย ในวงการ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นดังที่หลายคนคาดคิด “จริง ๆ หนูไม่ได้เป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขนาดนั้น หนูเป็นคนขี้อาย สมชื่อจริง ๆ” เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

ก่อนหน้าที่เธอจะก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้ ‘พี่อาร์ม’ พี่ชายของเธอได้เปิดทางไว้แล้วด้วยการเข้าร่วมรายการประกวดและถ่ายโฆษณา ความสำเร็จของพี่ชายกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่ส่งเธอไปลองแคสติ้ง แต่ความขี้อายของเธอกลับเป็นอุปสรรค
“คุณแม่ก็พาไปแคสติ้ง หนูก็ไม่ทำเลย หนูร้องไห้ แล้วก็ไม่ได้แคสติ้ง” ความทรงจำเหล่านี้ยังคงชัดเจนในใจเธอ

‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

จุดเปลี่ยนสำคัญกับบทเรียนชีวิต

โอกาสสำคัญเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าโทรกลับมาขอให้เธอไปแคสติ้งอีกครั้ง และครั้งนี้เธอได้ไปเวิร์กช็อปกับนักแสดงดังจากช่อง 7 ที่เธอชื่นชอบมาก

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง “หนูเขินพี่เขามาก หนูก็ไม่กล้าเล่นอยู่ดี หนูก็ร้องไห้ สรุปเขาก็ไม่เอาหนู ก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่าหนูไม่ทำไง”

แต่ความผิดหวังครั้งนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ “พอเราเห็นโฆษณาตัวนั้นในทีวี เราก็รู้สึกว่า เขาอุตส่าห์ให้โอกาสเรา ขนาดตอนแรกเราไม่ทำ เขาก็ยังให้โอกาสครั้งที่สอง แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำโอกาสนั้น ก็เลยมีความฮึดสู้ขึ้นมา”

นับแต่นั้นมา ณ อายุไม่ถึง 7 ขวบ เธอไม่เคยร้องไห้ในงานแคสติ้งอีกเลย บทเรียนจากการเสียโอกาสครั้งนั้นกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้เธอเติบโตและพัฒนาตนเองต่อไป

พรสวรรค์ทางดนตรีจากครอบครัว

ความสามารถด้านการร้องเพลงของ อ๊ะอาย มีรากฐานมาจากครอบครัว โดยเฉพาะคุณพ่อที่มีรสนิยมทางดนตรีที่ดี “จุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูร้องเพลง น่าจะเป็นตอนที่ร้องเพลงกับพ่อบนรถ ก็นั่งร้องเพลงไปเรื่อย ๆ เพลงพี่บี้ (บี้ สุกฤษฎิ์) นี่แหละ” ช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะทางดนตรี

เมื่อคุณพ่อและคุณแม่สังเกตเห็นความสามารถ จึงส่งเธอไปเรียนร้องเพลง “เป็นการเรียนรวม ไม่ได้เรียนส่วนตัว คือเรียนประมาณ 5-6 คน ใน 1 ชั่วโมง ก็สนุกดี เพราะว่าเป็นเพื่อน ๆ ในกลุ่มวัยเดียวกัน มีความฝันเดียวกัน”

สิ่งที่น่าสนใจและกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอคือการ ‘หาวเป็นคีย์’ ซึ่งเธออธิบายว่า “หนูว่ามันออกมาเอง แบบธรรมชาติ คือหนูไม่สามารถทำตอนนี้ได้ มันต้องง่วง แล้วมันถึงจะทำ แต่บางทีหนูก็ไม่ได้หาวเป็นคีย์ตลอด หนูอาจจะหาวแบบปกติ หรือไม่มีเสียงเลย หรือไม่ก็เป็นโน้ตยาว ๆ หน่อย”

แรงบันดาลใจจากไอดอลระดับโลก

ไอดอลในใจของ อ๊ะอาย คือ ‘เจนนี่ BLACKPINK’ ที่เธอกล่าวถึงด้วยสายตาเป็นประกายว่า “หนูชอบเจนนี่เพราะว่าเขาเท่มาก หนูดูเอ็มวีของเขาคือ BOOMBAYAH กับ WHISTLE หนูคิดว่าคนนี้เท่มาก แล้วเขาแร็ปแบบมีเสน่ห์มาก ๆ อยู่บนเวทีเขาก็ทำทุกอย่างออกมาด้วยเสน่ห์ของเขาเอง โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องฝืนหรือพยายามอะไร”
 

และสำหรับ อ๊ะอาย คนโปรดใน BLACKPINK ไม่ได้มีแค่เจนนี่คนเดียว “จริง ๆ ไม่ใช่แค่เจนนี่ คือทั้งวง BLACKPINK เลย ต้องบอกว่า BLACKPINK คือวงที่หนูดูแล้วทำให้หนูรู้สึกอยากเป็นเกิร์ลกรุ๊ปบ้าง หนูมองว่าทั้ง 4 คนเก่งมาก เขายืนอยู่บนเวที พวกเขา shine มาก ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งแร็ป ทำทุกอย่าง ทำให้บนเวทีดูขลังมาก”

ความท้าทายในการสร้างสมดุลชีวิต

ช่วงมัธยมปลายของ อ๊ะอาย เต็มไปด้วยความท้าทายในการจัดการเวลาระหว่างการเรียนและการทำงาน แต่เธอมีแนวทางในการจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ “หนูไม่ได้กดดันตัวเอง” แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่ามีบางช่วงที่ชีวิตโกลาหลครั้งใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเตรียมสอบจบ ม.6 ที่ดันมาตรงกับช่วงเตรียมคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของ 4EVE “มันคือช่วงที่น่าจะเป็นมรสุมชีวิตที่สุดสำหรับหนู ในด้านของความเหนื่อย ความเครียด ความกังวล ทุกอย่างมันบุกเข้ามาพร้อม ๆ กัน”

ความยากลำบากอยู่ที่การสอบทฤษฎีดนตรี “การสอบในปีนึง มันจะมีอยู่ 5 ครั้ง แล้วหนูดันมารู้ตัวตอนที่เขาสอบครั้งที่ 3 แล้ว เกินครึ่งทางแล้ว เท่ากับตอนนั้นหนูลงสอบครั้งที่ 4 ก็พยายามติว ให้เพื่อนช่วยด้วย อาจารย์ก็ช่วย ก็ไปสอบ ไม่ผ่าน เหลืออีก 3 คะแนนถึงจะผ่าน”

ความกดดันสูงสุดมาถึงในช่วงก่อนสอบครั้งสุดท้าย ซ้ำยังต้องไปญี่ปุ่นกับวง “ก่อนที่จะเริ่มซ้อม เริ่มเข้าไปอยู่ในสตูฯจริงจัง 4EVE กับประธานค่ายนัดกันไว้ จองตั๋วไว้ล่วงหน้า จัดทริปไปญี่ปุ่น ก่อนที่จะเริ่มหัวแตกกัน ก่อนที่สมองจะระเบิดกัน” ในตอนนั้นเธอจึงต้องแบกไอแพดไปด้วยเพื่อสอบออนไลน์ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด “หนูทำไอแพดหายที่สนามบิน แต่ก็วิ่งหาจนเจอ หนูวิ่งจนรองเท้ากัดเท้าแตก กลายเป็นว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นต้องใส่แต่รองเท้าแตะ”

‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

การผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ทำให้เธอได้บทเรียนสำคัญ “มันเสร็จไปทีละอย่าง ทีละอย่าง แค่ใจเย็น ปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน” นี่คือปรัชญาที่เธอนำมาใช้ในชีวิตจนถึงปัจจุบัน

ครอบครัว 4EVE และการเติบโตร่วมกัน

เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่ดีที่สุดจากการเป็นสมาชิก 4EVE เธอไม่ลังเลที่จะตอบ “แว๊บแรกเลยคือแฟนคลับ เพราะถ้าหนูไม่ได้มาอยู่ในวง 4EVE ก็คงไม่ได้เจอแฟนคลับ หรือกลุ่มคนที่เขามอบความรักให้เราได้มากขนาดนี้”

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสมาชิกในวง “แล้วอย่างที่สองคือพี่ ๆ ในวง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหนูที่ได้มาอยู่ใน 4EVE ถ้าสมมุติว่าไม่ใช่พี่ ๆ หกคนนี้ แล้วก็ไม่ใช่เราเจ็ดคนนี้ มันก็อาจจะไม่ใช่หนูตอนนี้ก็ได้ ที่แบบเติบโตมาเป็นคนคนนี้”

การเติบโตของเธอเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนสังเกตเห็น “ตอนแรกเลย พี่ ๆ ทุกคนก็จะมองว่าหนูเป็นเด็กสุด เป็นน้องที่น่ารักน่าเอ็นดู ทุกคนก็จะโอ๋หน่อย แต่ว่าช่วงหลัง ๆ เหมือนเราอยู่ด้วยกันเยอะขึ้น แล้วหนูก็โตขึ้นด้วย”

เธอเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง “พี่ ๆ ในวงเมื่อก่อน เวลาเขามีประชุมกัน หรือสุมหัวกัน หรือมีเรื่องเครียดเกี่ยวกับวงอะไรอย่างนี้ หนูมักจะเป็นคนที่รับฟัง แล้วก็ให้พี่ ๆ คิด แบบว่าเอาเลยพี่ หนูเอาตามใจทุกคน แต่ว่าพี่ ๆ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่วงนี้หนูโตขึ้นแล้ว ก็เออ กล้าสู้แล้ว หมายถึงว่า สู้เพื่อตัวเองแล้ว สู้เพื่อวงแล้ว”

เมื่อถามถึงบรรยากาศการ deep talk ภายในวง เธอเล่าว่า “มันไม่เชิงมานั่งให้กำลังใจ หรือว่าคนนึงเล่า อีกคนนึงให้กำลังใจ มันจะเป็นการ deep talk ที่มักจะเกิดขึ้นเวลาไปต่างจังหวัดนาน ๆ หรือว่าไปต่างประเทศนาน ๆ จะหาวันมานั่งคุยกัน”
ปรัชญาการแบ่งปันความรู้สึกของวงสะท้อนถึงความเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง “เรามีกันตั้งเจ็ดคน อะไรที่เป็นเรื่องที่ดี เราก็จะคูณมันเข้าไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดี เราก็จะหารมัน แล้วเราก็จะได้เท่า ๆ กัน เรายอมที่จะรู้สึกไปพร้อม ๆ กัน มากกว่าให้คนนึงแบกรับเอาไว้คนเดียว”

‘ไออุ่น’ คือความอบอุ่นที่แท้จริง

เมื่อให้เธอเล่าถึงที่มาชื่อด้อม ‘ไออุ่น’ เธอเล่าอย่างมีความสุขว่า “เพราะว่าหนูชื่ออ๊ะอาย หนูก็เลยพยายามหาชื่อ อออ่าง จนได้คำว่า ไออุ่น เหมือนเราโดนโอบกอดไปด้วยไออุ่นที่อบอุ่นอยู่รอบกายเรา”

ความสัมพันธ์กับแฟนคลับสร้างความประทับใจให้เธออย่างมาก โดยเฉพาะในวันเกิด “สี่ปีที่ผ่านมาของการเป็น 4EVE มันทำให้เรารู้สึกว่า วันเกิดดูพิเศษจัง เพราะว่าพวกเขาทำโปรเจ็กต์ให้ ยอมเสียค่าโดเนต เอาเงินไปทำ เอาเราไปอยู่บนสยาม แล้วก็แค่เขียนแฮปปี้เบิร์ธเดย์”

เธอเล่าถึงความหมายพิเศษของสิ่งเหล่านี้ “ทุกครั้งที่หนูไปงานโปรเจ็กต์วันเกิดของตัวเอง จะมีการรวมพล ซึ่งหนูรู้สึกเหมือนเป็นการแร็ปอัพในแต่ละปี ช่วงอายุของหนู พวกเขาจะเอารูปหนูมาแปะเป็นแกลเลอรี่บ้าง หรือว่าอยู่ในคาเฟ่เป็นหน้าเราอยู่ในน้ำบ้าง มันทำให้เรามองตัวเองอีกรอบหนึ่งว่า เออ ปีนี้มันผ่านไปแล้ว แล้วมันก็กำลังเริ่มต้นใหม่”

เมื่อถูกถามว่าอยากจะพูดอะไรกับไออุ่น เธอตอบสั้น ๆ ว่า “จุ๊บ ๆ”

ปรัชญาการรับมือกับผู้ไม่ชื่นชอบ

การจัดการกับผู้ที่ไม่ชื่นชอบเป็นสิ่งที่ อ๊ะอาย มีทัศนคติน่าชื่นชม “มันแน่นอนว่า นอกจากคนที่รัก มันก็ต้องมีคนที่ไม่รักเราด้วยเหมือนกัน แต่หนูคิดว่า ถ้าสมมุติว่าเขาแค่ไม่ชอบ เขาแอนตี้เรา เขาอยากติเรา ก็ทำได้ เพราะว่าเราไม่สามารถไปเปลี่ยนกระบวนความคิดของเขา หรือว่าไปเปลี่ยนให้เขาชอบเรา มันไม่ได้อยู่แล้ว”

ความเข้าใจของเธอต่อธรรมชาติของสังคมแสดงให้เห็นถึงการคิดที่ลึกซึ้ง “มันเป็นเหมือนกฎของโลกใบนี้ คือถึงแม้ว่าหนูจะไม่ได้อยู่ในวงการ หนูไม่ได้อยู่ในวง 4EVE หนูเป็นคนธรรมดา มันต้องมีคนที่ไม่ชอบเราเหมือนกัน” ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีจุดยืนที่ชัดเจน “เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปพิสูจน์ตัวเอง หรือว่าทำอะไรให้เขารู้สึกว่า เราไม่ใช่แบบนั้น มันก็แล้วแต่คนมอง”

แม้เคยประสบกับการถูกบูลลี่ แต่เธอไม่ได้เก็บความแค้นไว้ วิธีการรับมือของเธอในขณะนั้นสะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่แม้ในวัยเด็ก “เราไม่ได้คิดอะไรเลย มันเป็นฟีลว่าไม่อยากไปรู้สึกว่าคนอื่นจะมองเรายังไง เราแค่ทำตัวเองให้ดีไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน เราใช้ชีวิตของเราไปอย่างนี้แหละ”

เมื่อถูกถามว่าหากได้กลับไปพบกลุ่มคนที่เคยบูลลี่ จะพูดอะไร เธอตอบด้วยใจกว้าง “หนูว่าบางทีคนที่บูลลี่หนูตอนนั้น เขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับหนูแล้ว คือหนูก็จำไม่ได้หรอกว่าใคร แต่ว่าถ้าเจอก็คง หวัดดีนะเพื่อน ไม่ได้ซีเรียส ไม่ซีเรียส ก็หวังว่าตอนนี้จะเติบโตขึ้น ก็แค่หวังว่าตอนนี้เขาจะเติบโตไปเป็นคนที่ดี”

บทบาทใหม่ที่ท้าทายในภาพยนตร์

ผลงานล่าสุด ‘Attack 13 วิญญาณเลขที่ 13’ นำเสนอความท้าทายใหม่สำหรับ อ๊ะอาย ผ่านตัวละครชื่อ ‘จิน’ ที่เธอเล่าว่า “เป็นตัวละครที่ไกลตัวหนูมาก เพราะว่าจินเป็นผู้หญิงที่จะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีเลย คือก่อนหน้านี้มันจะต้องมีบ้างที่เขาเคยยอม แต่ว่ามันก็จะมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขารู้สึกว่า ฉันไม่อยากยอมแล้ว เราต้องสู้เพื่อตัวเองบ้าง”

ความแตกต่างระหว่างตัวละครกับตัวตนที่แท้จริงทำให้เกิดความยากลำบากในช่วงแรก “มันก็เลยจะยากหน่อย เพราะว่าหนูเป็นคนที่ยอมคนง่ายมาก บางเรื่องหนูก็จะแบบ เฮ้ย ใจเย็น ๆ”

“ตอนแรกยากมาก คือถ่ายคิวแรก ๆ หนูยอมรับเลยว่าเครียดมาก เพราะพอเราจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวจิน มันจะมีความรู้สึกไม่แน่ใจเกิดขึ้นว่า จินจะทำอย่างนี้หรือเปล่า แล้วพอหนูไม่แน่ใจ หนูก็จะเผลอเอาตัวเองเข้าไปคิดแทนจิน”

แต่ด้วยการสนับสนุนจากทีมงาน อ๊ะอาย จึงสามารถผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ “แต่ว่าก็ผ่านไปได้ด้วยความรู้สึกที่โอเค เพราะว่าพี่ ๆ ทีมงานรวมไปถึงพี่ผู้กำกับคอยให้คำแนะนำ”

แรงสนับสนุนจากครอบครัว

คุณพ่อและคุณแม่เป็นอีกคนที่มีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องในชีวิตของ อ๊ะอาย “คุณพ่อก็จะเป็นคนขับรถ ส่วนคุณแม่ก็จะเป็นเหมือนผู้จัดการ” แม้ช่วงหลังจะต้องแยกไปอยู่กับพี่ ๆ ในวง แต่คุณพ่อและคุณแม่ก็คือความหมายของคำว่า ‘บ้าน’ เสมอมา “บ้านที่มีพ่อกับแม่ เราก็จะเจอกันตอนเช้ากับตอนกลางคืน ส่วนบ้านอีกหลังนึงก็คือบ้านของ 4EVE”

สำหรับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ห่วงใยมากที่สุดคือ “หนูว่าพ่อกับแม่ห่วงหนูเรื่องสุขภาพ และความเครียด” แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องขบขันสำหรับเธอ “หนูไม่เครียด แต่พ่อกับแม่หนูชอบเครียด เขาจะมองว่าหนูทำงานเยอะ”

เธออธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ “สมมุติว่าหนูกลับบ้านมา แน่นอนว่ามันจะต้องมีความเหนื่อยที่สะสมมาจากการทำงานทั้งหมดของทั้งวันนั้น หนูก็จะไม่อยากพูดบ้าง หรือพูดน้อยบ้าง อาจจะเหนื่อย ไม่ได้พูดคุยแบบเป็นปกติ คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้สึกว่า มีอะไรหรือเปล่า เครียดหรือเปล่า แล้วเวลาหนูบอกว่าหนูไม่เครียด ก็ไม่เชื่อ” เธอเล่าไปหัวเราะไป

‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

ความฝันในอนาคต

เมื่อถามถึงแผนการในอนาคต อ๊ะอาย มีความฝันที่ชัดเจนสำหรับแต่ละช่วงวัย “ปีนี้หนูวาดภาพตัวเองว่าคงไปเล่นคอนเสิร์ตที่อเมริกา แล้วก็ไปด้วยความจอยมาก ๆ ไปกระโดด ๆ อยู่บนเวที”

สำหรับในวัย 25 ปี เธอยังคงมองเห็นตัวเองในวงการ “อายุ 25 ปีก็ยังอยากทำงานตรงนี้อยู่ แต่ถ้าสมมุติว่าเลยขึ้นไปแล้ว แบบ 30 หนูรู้สึกว่าหนูต้องมั่นคงมาก ๆ อยากให้ตัวเองมั่นคงมาก ๆ แบบไม่ต้องคิดเรื่องเงิน แล้วเขาบอกว่าผู้หญิงอายุ 30 จะเปล่งประกาย เผื่อเราจะได้บทดี ๆ ขึ้นมา” 

คุยถึงตรงนี้ เธอเลยเปรยถึงบทบาทด้านการแสดงที่เธออยากเล่น “บทที่อยากเล่นมาก ๆ มีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเลยคือ ชีวิต หนูเพิ่งดูหลานม่า แล้วชอบมาก ชอบทุกอย่าง รวมไปถึงนักแสดง ก็เลยคิดว่า ถ้ามีโอกาส อยากเล่นบทชีวิต ที่ดูเรียลมาก ๆ” 

นิยามความสุขและปรัชญาชีวิต

เมื่อถูกถามถึงนิยามความสุข อ๊ะอาย ให้คำตอบที่ลึกซึ้งและสะท้อนถึงปรัชญาชีวิตของเธอ “ความสุขมันคือการที่หนูได้ใช้ชีวิต ณ ปัจจุบันนี้”

เธอเล่าถึงที่มาของความคิดนี้ “เมื่อวานเพิ่งไปถ่ายงาน 4EVE มา แล้วนั่งคุยกันเรื่องชีวิต หมายถึงชีวิตหลังความตาย ตอนแรกคุยเรื่องเอเลี่ยนว่าทำไมถึงคิดว่าเอเลี่ยนต้องตัวเขียว แล้วถ้าสมมุติเราโดนจับไป เราจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม แล้วก็งง แล้วมันก็ไปถึงชีวิต ก็เลยคุยกันว่าหลังความตายเรา จะรู้สึกไหมว่าตัวเองตาย”

การสนทนาที่ลึกซึ้งนี้นำไปสู่การตระหนักรู้ที่สำคัญ “หนูก็เลยมานั่งคิดจากคำถามเมื่อกี้ว่า ถ้าถามว่าความสุขคืออะไร ก็คือชีวิตหนู ณ ตอนนี้ หนูพยายามต่อไปเพื่อที่จะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด เพราะว่ามันเป็นชีวิตที่หนูรู้สึกว่า หนูรู้ว่าหนูชอบอะไร หนูรู้ว่าหนูไม่ชอบอะไร เพราะฉะนั้นหนูมีสิทธิ์เลือกแล้วว่าหนูอยากทำอะไรบ้าง”

เธออธิบายต่อว่า “แล้วตอนนี้ดันได้ทำในสิ่งนั้น หนูดันได้เป็น 4EVE ได้แสดง ได้เล่นภาพยนตร์ ได้ร้องเพลงต่อไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นพวกนี้มันคือความสุขของหนูทั้งหมด หนูก็เลยคิดว่าความสุขก็คือสิ่งนี้ที่หนูยังได้ใช้ชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้”

เมื่อถูกท้าทายด้วยคำถามเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของอนาคต เธอตอบด้วยความมุ่งมั่นที่น่าประทับใจ “หนูไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าถ้ามันหายไป หนูคิดแค่ว่าถ้าสมมุติว่าหนูจบชีวิตลงไป ชาติหน้าไม่มีแล้วนะ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นครั้งนี้หนูต้องทำให้มันดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะพอใจ แล้วตัวเองจะทำได้ เอาให้มันคุ้มค่าที่สุด ไหน ๆ ก็ได้เกิดมาแล้ว”

‘อ๊ะอาย 4EVE’ เส้นทางสู่ความฝัน จากเด็กขี้อายสู่สมบัติแห่งชาติทีป๊อป

การเดินทางที่ยังคงดำเนินต่อไป

จากเด็กขี้อายที่ร้องไห้ในงานแคสติ้ง สู่ไอดอลที่มั่นใจและเต็มไปด้วยปรัชญาชีวิตที่งดงาม อ๊ะอาย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเติบโตที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากความสำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเรียนรู้จากความล้มเหลว การรับมือกับความท้าทาย และการมีทัศนคติที่เป็นบวกต่อชีวิต

ทัศนคติของเธอทั้งการปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมัน การไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง และการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ไม่เพียงสะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่ในวัยที่ยังอ่อนเยาว์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหลายคนที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในชีวิต

จนถึงตรงนี้น่าจะพูดได้เต็มปากว่า ‘อ๊ะอาย’ คือ ‘สมบัติแห่งชาติทีป๊อป’ ที่แท้จริง ไม่เพียงในแง่ของความสามารถทางดนตรีและการแสดง แต่ยังรวมถึงหัวใจที่อบอุ่น จิตใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง และการมองโลกในแง่บวกที่ทำให้เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับไออุ่นและผู้คนมากมาย การเดินทางของเธอยังคงดำเนินต่อไป พร้อมด้วยความฝันที่ยิ่งใหญ่และปรัชญาชีวิตที่ว่า “ใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด”