‘จอร์จ วอชิงตัน’ อำนาจสูงสุดคือการรู้จักก้าวลง

‘จอร์จ วอชิงตัน’ อำนาจสูงสุดคือการรู้จักก้าวลง

จากลูกชายครอบครัวเจ้าของที่ดินในเวอร์จิเนีย สู่ผู้บัญชาการกองทัพกองทวีปและประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ ไม่ได้สร้างประวัติศาสตร์เพียงจากชัยชนะในสนามรบ แต่จากการตัดสินใจวางอำนาจ การก้าวลงของเขากลายเป็นรากฐานของประชาธิปไตยอเมริกัน และเป็นบทเรียนแก่ผู้นำทั่วโลก

KEY

POINTS

ในประวัติศาสตร์โลก มีเพียงไม่กี่คนที่ชื่อของเขาถูกจารึกไม่ใช่เพราะชัยชนะในสนามรบเท่านั้น แต่เพราะความสามารถในการละวางจากอำนาจเมื่อถึงเวลา ‘จอร์จ วอชิงตัน’ คือบุคคลเช่นนั้น

จากหนุ่มน้อยที่เริ่มชีวิตในฐานะช่างสำรวจ เขาได้ก้าวสู่การเป็นทหารในสงครามใหญ่ และต่อมากลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพกองทวีป ก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้นำจำนวนมากคือ การเลือกจะก้าวลงจากตำแหน่งและกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ไร่ของตนเอง

วอชิงตันเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 ที่เวอร์จิเนีย ในครอบครัวเจ้าของที่ดิน (landowner) ซึ่งจัดอยู่ในชนชั้นกลางระดับสูงของยุคนั้น (gentry class) แตกต่างจากเกษตรกรยากจนทั่วไป บิดาเสียชีวิตเมื่อเขาอายุเพียง 11 ปี ทำให้เขาไม่มีโอกาสไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษอย่างชนชั้นสูงคนอื่น ๆ เขาจึงเป็นคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง สนใจเลขคณิต ตรีโกณมิติ และเรขาคณิต จนต่อมาใช้ทักษะเหล่านี้ในการเป็นช่างสำรวจที่มีฝีมือ การเดินทางสำรวจป่าเขาและลุ่มน้ำทำให้เขารู้จักภูมิประเทศของอเมริกาเหนือเป็นอย่างดี และสิ่งนี้เองที่ต่อมากลายเป็นทุนสำคัญสำหรับการทำสงคราม

จากอาชีพช่างสำรวจ วอชิงตันค่อย ๆ เชื่อมโยงเข้าสู่เส้นทางทหาร เพราะในยุคนั้นอาณานิคมอังกฤษมักเรียกช่างสำรวจมาเป็นผู้นำทางหรือผู้จัดทำแผนที่ทางยุทธศาสตร์ ทักษะนี้เองทำให้เขาได้รับโอกาสเข้าประจำการในกองทัพท้องถิ่น เขาเริ่มจากตำแหน่งนายทหารระดับล่าง และด้วยบุคลิกที่สุขุม กล้าหาญ และมีความสามารถ เขาจึงถูกยกขึ้นสู่ตำแหน่งพันโทในวัยเพียง 21 ปี

ในปี ค.ศ. 1753 เขาได้รับภารกิจสำคัญที่หุบเขาแม่น้ำโอไฮโอ ดินแดนซึ่งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างอ้างสิทธิ์ ความขัดแย้งนี้นำไปสู่สงครามฝรั่งเศส–อินเดียน (French and Indian War) วอชิงตันในฐานะพันโทพร้อมกำลังพล 150 นาย ได้ปะทะกับกองทัพฝรั่งเศสและพันธมิตรชาวพื้นเมือง แม้พ่ายแพ้ที่ Fort Necessity และถูกจดจำด้วยรอยปราชัย แต่เขาได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในสนามรบ และเริ่มสร้างชื่อในฐานะผู้นำทหารหนุ่ม

ประสบการณ์จากสงครามฝรั่งเศส–อินเดียนทำให้เขาตระหนักว่า อังกฤษไม่ให้เกียรตินายทหารอาณานิคมเทียบเท่าเจ้าหน้าที่จากยุโรป ความรู้สึกเช่นนี้ฝังแน่นในใจเขา และกลายเป็นรากฐานความคิดที่ว่า ชาวอาณานิคมควรมีศักดิ์ศรีและสิทธิ์ของตนเอง

หลังสงครามสงบ วอชิงตันกลับไปใช้ชีวิตที่ไร่เมานต์เวอร์นอน แต่งงานกับ ‘มาร์ธา เคิสทิส’ ม่ายสาวผู้มั่งคั่ง เขากลายเป็นเจ้าของไร่ผู้มั่งคั่งและผู้นำครอบครัว ทว่าเมื่ออังกฤษเริ่มเพิ่มมาตรการกดดันอาณานิคม ทั้งการเก็บภาษีโดยไม่ให้สิทธิ์ออกเสียงและการใช้อำนาจจากแผ่นดินแม่ ความไม่พอใจได้คุกรุ่นทั่วแผ่นดิน

เมื่อการปฏิวัติอเมริกาปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1775 วอชิงตันไม่ได้อยู่ฝ่ายอังกฤษ เขาเข้าร่วมฝั่งอาณานิคมอเมริกันทันที และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองทัพกองทวีป (Continental Army) ประสบการณ์ในสงครามฝรั่งเศส–อินเดียนช่วยให้เขานำกองทัพที่ด้อยทั้งกำลังและเสบียงต่อสู้กับกองทัพอังกฤษที่ใหญ่และทันสมัยกว่า แม้ต้องเผชิญความพ่ายแพ้หลายครั้ง แต่เขายืนหยัด อดทน และรอเวลาที่เหมาะสม จนกระทั่งคว้าชัยชนะเด็ดขาดที่ยอร์กทาวน์ในปี ค.ศ. 1781 ซึ่งบีบให้จักรวรรดิอังกฤษยอมจำนน

ชัยชนะครั้งนั้นทำให้การประกาศเอกราชปี ค.ศ. 1776 กลายเป็นความจริง วอชิงตันได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ แต่แทนที่จะใช้เกียรติยศนั้นเพื่อขึ้นสู่อำนาจ เขากลับลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และกลับไปใช้ชีวิตที่ไร่เมานต์เวอร์นอน การละวางครั้งนี้สร้างความประทับใจแก่ชาวอเมริกันและชาวโลกว่า เขาไม่ใช่ผู้นำที่แสวงหาอำนาจเพื่อประโยชน์ตน

แม้ประเทศจะประกาศเอกราชแล้ว แต่สหรัฐฯ ที่เพิ่งถือกำเนิดยังสั่นคลอนอย่างรุนแรง ระบบเศรษฐกิจพังพินาศจากสงคราม หนี้สินท่วมหัว รัฐบาลกลางอ่อนแอ ไม่มีอำนาจเพียงพอในการเก็บภาษีหรือควบคุมรัฐต่าง ๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและรัฐบาลกลาง รวมถึงปัญหาภาษีและหนี้สินที่ทำให้ประชาชนหลายกลุ่มไม่พอใจ การลุกฮือของเกษตรกรใน ‘กบฏเชย์ส’ (Shays’ Rebellion, 1786–1787) คือสัญญาณชัดเจนว่าประเทศใหม่อาจล่มสลายหากไม่มีผู้นำที่ทุกฝ่ายเชื่อถือ

วอชิงตันถูกเรียกร้องให้กลับมา เขาเป็นบุคคลที่ทุกฝ่ายมั่นใจว่าไม่มีความทะเยอทะยานส่วนตัวและพร้อมทำเพื่อส่วนรวม เขาเข้าร่วมการประชุมร่างรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1787 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปี ค.ศ. 1789 วอชิงตันวางรากฐานรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง กำหนดรูปแบบฝ่ายบริหาร สร้างแบบอย่างการใช้อำนาจที่มีขอบเขต และรักษาความสมดุลระหว่างรัฐต่าง ๆ

ตลอดการดำรงตำแหน่งสองสมัย เขาแก้ปัญหาการเงินและรักษาความสงบภายในประเทศ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการตัดสินใจไม่รับตำแหน่งสมัยที่สาม เขาลงจากตำแหน่งด้วยตัวเอง และในปี 1796 ได้กล่าว ‘สาสน์อำลา’ (Farewell Address) เตือนถึงอันตรายจากความแตกแยกทางการเมือง และเตือนอเมริกาไม่ให้เข้าไปพัวพันในสงครามยุโรปที่ซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายต่อชาติ

วอชิงตันกลับไปที่ไร่เมานต์เวอร์นอน ใช้ชีวิตสงบ ทำการเกษตร พบปะเพื่อนฝูง และครอบครัว แต่เพียงสองปีหลังเกษียณ เขาก็ล้มป่วยจากการติดเชื้อในลำคอ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799 ในวัย 67 ปี

มรณกรรมของเขาเป็นข่าวสะเทือนทั้งชาติ ชาวอเมริกันตระหนักว่า พวกเขาได้สูญเสียบุคคลผู้สร้างชาติและเป็นตัวอย่างของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คือ การรู้จักก้าวลงจากอำนาจและกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาอย่างสงบ

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ: Getty Images

 

อ้างอิง:

Mount Vernon Ladies’ Association. “George Washington.” George Washington’s Mount Vernon. Mount Vernon Ladies’ Association, 2025 Web. 24 Sept. 2025. https://www.mountvernon.org/.

U.S. National Archives and Records Administration. “National Archives.” Archives.gov. Web. 24 Sept. 2025. https://www.archives.gov/.

Library of Congress. “George Washington Papers.” Library of Congress Digital Collections. Web. 24 Sept. 2025. https://www.loc.gov/collections/george-washington-papers.

“George Washington.” Encyclopædia Britannica, Encyclopædia Britannica, Inc., 2025 (หรือปีอัปเดตล่าสุด). Web. 24 Sept. 2025. https://www.britannica.com/biography/George-Washington.

“George Washington: Facts, Revolution & Presidency.” History.com, A&E Television Networks, 2025. Web. 24 Sept. 2025. https://www.history.com/articles/george-washington.

.