‘อี แจ-มยอง’ จากเด็กสลัมแขนพิการในโรงงานนรก สู่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้

‘อี แจ-มยอง’ จากเด็กสลัมแขนพิการในโรงงานนรก สู่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้

‘อี แจ-มยอง’ ชีวิตพลิกผันเพราะการศึกษา จากเด็กสลัมแขนพิการในโรงงานนรก สู่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ผู้ท้าทายคมมีดและปากกระบอกปืน

KEY

POINTS

  • อี แจ-มยองเติบโตจากครอบครัวยากจนและถูกจำกัดด้วยความพิการจากการใช้แรงงานตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเลือกใช้ ‘การศึกษา’ เป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง
  • เส้นทางสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของอี แจ-มยอง เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความกล้าท้าทาย’ ทั้งระบบชนชั้น ความเชื่อเก่า และแรงกดดันทางการเมือง
  • ชัยชนะในการเลือกตั้งของเขาในช่วงที่เกาหลีใต้เผชิญวิกฤตการเมือง สะท้อนความหวังของประชาชนที่ต้องการผู้นำซึ่งเคยลิ้มรสความทุกข์ และสามารถฟื้นฟูประเทศได้จากความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เพื่อเฟ้นหาผู้นำคนใหม่แทนประธานาธิบดี ‘ยุน ซอก-ยอล’ (Yoon Suk-yeol) ที่ถูกปลดจากตำแหน่งหลังการประกาศกฎอัยการศึกอื้อฉาว ได้ผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยเมื่อ ‘คิม มุน-ซู’ (Kim Moon-soo) ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลจากพรรคพลังประชาชน (PPP) ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้หลังปิดหีบเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมง

โดยผู้ชนะการเลือกตั้ง คือ ‘อี แจ-มยอง’ (Lee Jae-myung) ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party หรือ DP) ที่ได้คะแนนเสียงเกือบร้อยละ 50 ของผู้ออกมาใช้สิทธิทั่วประเทศ

อีจะได้นั่งเก้าอี้ผู้นำเกาหลีใต้ต่อจากประธานาธิบดียุน โดยมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2025 - 2030 และอยู่ได้แค่วาระเดียว ไม่สามารถลงเลือกตั้งซ้ำได้ หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การขึ้นสู่อำนาจของเขาในวัย 61 ปี ได้รับการจับตาอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะเป็นการมาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หลังเกาหลีใต้เผชิญวิกฤตการเมืองภายใน ทำให้สังคมแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายรุนแรง และความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลียังไม่มีทีท่าทุเลาเบาบาง

เส้นทางชีวิตของเขาก็เป็นอีกเรื่องที่คนให้ความสนใจ เพราะเรียกว่า ดราม่าไม่แพ้ละครซีรีส์ กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องผจญมรสุมมากมาย ตั้งแต่เริ่มลืมตาดูโลกจนขึ้นสู่ผู้นำประเทศ เคยถูกใช้แรงงานเด็กจนแขนพิการ ถูกลอบสังหารปางตาย แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ทุกครั้งเพราะไม่ยอมแพ้

และนี่คือเรื่องราวของ ‘คนสู้ชีวิต’ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘อี แจ-มยอง’

ครอบครัวยากไร้จำวันเกิดไม่ได้แน่ชัด

อี แจ-มยอง เป็นลูกชาวนา เขาเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองอันดง (Andong) จังหวัดคยองซังบุก (North Gyeongsang) ทางภาคตะวันออกของเกาหลีใต้ เป็นลูกคนที่ 5 ในครอบครัวเกษตรกรที่มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน
 

ความยากจนของครอบครัวสะท้อนได้จากการที่แม่จำวันเกิดของลูกชายตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ได้แจ้งเกิดกับเจ้าหน้าที่เพื่อออกใบสูติบัตรในวันที่อี แจ-มยอง ออกมาลืมตาดูโลก

ด้วยเหตุนี้ วันเกิดที่เขาขึ้นทะเบียนกับทางการไว้ คือ วันที่ 12 ธันวาคม 1964 จึงไม่ตรงความเป็นจริง โดยเจ้าตัวเปิดเผยในหนังสือประวัติชีวิตของตนเองว่า เขาน่าจะเกิดราววันที่ 7 หรือ 8 ธันวาคม 1963 ตามการคาดคะเนของมารดา

ส่วนเหตุผลที่ต้องแจ้งเกิดกับรัฐบาลโดยเลือกใช้วันหลังปีเกิดจริง 1 ปี มาจากความเชื่อของมารดาที่ทำตามคำแนะนำของหมอดู 

หมกตัวอ่านนิยายผจญภัยในห้องสมุด

นอกจากไม่ทราบวันเกิดชัดเจน ชีวิตวัยเด็กของอี แจ-มยอง ยังปากกัดตีนถีบกว่าเด็กวัยเดียวกัน เขาเล่าว่า บ้านกับโรงเรียนประถมของเขาอยู่ห่างกันประมาณ 5 กิโลเมตร ทำให้แต่ละวันต้องใช้เวลาเดินเท้าไป - กลับโรงเรียนรวมกันนาน 4 ชั่วโมง

หลังเลิกเรียนเขาต้องกลับมาช่วยที่บ้านทำไร่ไถนา และครอบครัวก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้อชุดนักเรียนให้ใส่ นั่นยังไม่นับอุปกรณ์การศึกษาอื่น ๆ รวมถึงกระดาษ ดินสอสีที่แทบไม่เคยมีใช้ ทำให้มักถูกครูตี และลงโทษด้วยการขัดห้องน้ำเป็นประจำ

แม้การไปโรงเรียนจะลำบากและมักถูกทำโทษ แต่อีบอกว่า เขาไม่เคยคิดโดดเรียน เพราะห้องสมุดเล็ก ๆ ของโรงเรียน คือ สถานที่ที่เขาโปรดปราน มักใช้หมกตัวเพื่อหลีกหนีความทุกข์ยากต่าง ๆ ในชีวิต

อีชอบเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือแนวผจญภัย หนึ่งในเล่มที่เขาชื่นชอบรวมถึงนิยายไซ-ไฟ ซึ่งมีชื่อแปลเป็นไทยว่า ‘ใต้ทะเล 20,000 โยชน์’ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของ ‘ฌูล แวร์น’ (Jules Verne) นักเขียนชาวฝรั่งเศส
 

พ่อติดพนันต้องขายนาย้ายมาอยู่สลัม

หลังเรียนจบประถมศึกษา ครอบครัวของอี แจ-มยอง ต้องระหกระเหินย้ายจากบ้านนาเข้าเมือง เนื่องจากบิดาติดการพนันจนต้องขายที่ดินทำกิน และพาครอบครัวมาพำนักอาศัยรวมกันในชุมชนแออัดเสื่อมโทรมของเมืองซองนัม (Seongnam) ชานกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้

การย้ายมาที่นี่ทำให้แม่ของเขาต้องทำงานรับจ้างล้างสุขาสาธารณะ ส่วนอี แจ-มยอง ในวัย 13 ปี ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องเริ่มทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เขาโกงอายุเพื่อสมัครงานโรงงานและมักถูกนายจ้างขูดรีด จ่ายค่าจ้างช้า และปล่อยให้ทำงานในสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย

ครั้งหนึ่งเขาทำงานในโรงงานผลิตถุงมือเบสบอล และถูกเครื่องจักรทับข้อศอกซ้ายจนกลายเป็นคนพิการ แขนซ้ายคดงอผิดรูปถาวร แม้บาดแผลดังกล่าวจะทำให้เขาไม่ต้องเกณฑ์ทหาร แต่อียอมรับว่า เขาเคยเสียใจจ

ชีวิตเปลี่ยนเพราะเรียนหนังสือ

เหตุการณ์ที่ทำให้อี แจ-มยอง ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเกิดขึ้นในโรงงานซึ่งมีวัฒนธรรมการทำงานที่ให้พลังลบ หรือ toxic เพราะคนงานรุ่นพี่มักยุยงให้รุ่นน้องที่มีอายุน้อยกว่าทะเลาะชกต่อยกัน

แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาเห็นลูกจ้างในออฟฟิศของโรงงานชื่อ ‘ฮง’ (Hong) ซึ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เรียกบรรดาคนงานรุ่นพี่ที่แก่กว่าและจบแค่มัธยมต้นไปต่อว่า นั่นจึงทำให้อีรู้ว่า อำนาจการศึกษาทำให้สามารถก้าวข้ามค่านิยมเรื่องความอาวุโสของวัยในสังคมเกาหลีได้

จากนั้นเขาจึงเริ่มใช้เวลาหลังเลิกงานไปเรียนกวดวิชา หวังสอบเทียบวุฒิเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายใหญ่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกคนเอาเปรียบ, สอง เพื่อหลุดพ้นความยากจน และสาม เพื่อการมีชีวิตที่เป็นอิสระ

กระนั้น อียังต้องเจออุปสรรคจากบิดาผู้ไม่สนับสนุนการศึกษาเล่าเรียน โดยทุกครั้งที่อี แจ-มยอง พยายามอ่านหนังสือตอนกลางคืน พ่อของเขามักเข้ามาต่อว่าเรื่องค่าไฟ และไม่ยอมให้เงินกวดวิชา เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งสิ้นเปลือง

เคราะห์ดีที่เจ้าของโรงเรียนกวดวิชามองเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในตัวอี จึงยอมให้เรียนฟรี จนกระทั่งสอบเทียบชั้นมัธยมปลายได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 1980 โดยอีพูดถึงวันนั้นว่า “มันคือวันที่ดีที่สุดในชีวิตของผม”

รางวัลของคนขยันอ่านหนังสือ

หลังสอบเทียบ ม.ปลายสำเร็จ อี แจ-มยอง เดินหน้ากวดวิชาและอ่านหนังสือต่อเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเขาต้องอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ เริ่มตั้งแต่ช่วงหลังเลิกงานโรงงาน ต้องไปเรียนกวดวิชาถึง 5 ทุ่ม และต่อด้วยเข้าห้องอ่านหนังสือเพื่อค้นคว้าด้วยตนเอง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปตี 4 เกือบรุ่งเช้าทุกวัน

แต่การอ่านหนังสือแบบอดหลับอดนอนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อีสอบ ‘เอ็นทรานซ์’ ได้คะแนนดีจนสามารถเข้าเรียนต่อได้เกือบทุกคณะที่ต้องการ ซึ่งสุดท้ายเขาเลือกเรียนกฎหมายกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุงอัง (Chung-Ang University) ซึ่งให้ทุนการศึกษาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

หลังจบจากจุงอังในปี 1986 อีสอบเนติบัญฑิตและได้ใบรับรองประกอบอาชีพทนายความในการสอบเพียงครั้งเดียว และแน่นอน เขาเลือกทำงานเป็นทนายด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อช่วยเหลือคนด้อยโอกาส โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนเขาในวัยเด็ก

หลังเรียนจบไม่นาน พ่อของเขาล้มป่วย และนั่นเป็นครั้งแรกที่อีได้เห็นน้ำตาของบิดาตนเอง

“น้ำตาของพ่อผมไม่ได้ไหลออกมาเพราะความเสียใจที่จะจากโลกนี้ไป หรือโศกเศร้าเพราะความทุกข์ยากตรากตรำที่ผ่านมาในชีวิต แต่มันคือความเสียใจและเจ็บปวดที่เขาจะไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของผม”

เส้นทางชีวิตการเมือง

อี แจ-มยอง ใช้เวลาสร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นทนายความเพื่อสาธารณชนอยู่นานนับ 20 ปี โดยบอกว่า ณ เวลานั้น เขาคือทนายความสิทธิมนุษยชนเพียงคนเดียวของเมืองซองนัม ซึ่งเปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองของตนเอง

ปี 1992 อีเข้าพิธีวิวาห์กับ ‘คิม ฮเย-คยอง’ (Kim Hye-kyung) และมีทายาทด้วยกัน 2 คน

หลังชีวิตครอบครัวและหน้าที่การงานมั่นคง อีตัดสินใจกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองในปี 2005 ภายใต้สังกัดพรรคยูริ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น DP โดยเริ่มจากการลงสมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองซองนัม และตามด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ

กว่าจะชนะการเลือกตั้งครั้งแรกต้องรอถึงปี 2010 โดยได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองซองนัมติดต่อกัน 2 สมัย ก่อนก้าวไปเป็นผู้ว่าการจังหวัดคยองกี (Gyeonggi) จังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดของเกาหลีใต้ในปี 2018 - 2021

ได้ฉายาทรัมป์เวอร์ชั่นเกาหลี

ในมุมการเมือง อี แจ-มยอง จัดเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า บ้าบิ่น และชอบท้าทายระบบ จนเคยได้ฉายา ‘โดนัลด์ ทรัมป์เกาหลี’

เขากลายเป็นขวัญใจคนยากเพราะมักออกนโยบายประชานิยม และเป็นแกนนำผู้ผลักดันนโยบายสวัสดิการรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) ซึ่งหลายคนเกรงว่าจะเข้ามาเขย่าโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่

ระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด - 19 อี แจ-มยองได้รับการยกย่องจากการออกนโยบายให้เงินช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้คนในจังหวัดคยองกีแบบไม่เลือกหน้า แม้รัฐบาลกลางจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว

ชื่อเสียงครั้งนั้นทำให้ต่อมา อีได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนพรรค DP ลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในปี 2022 แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับยุน ซอก-ยอล ไปแบบเฉียดฉิว ด้วยคะแนนห่างกันไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์

แม้จะแพ้การชิงประธานาธิบดีสมัยแรก แต่อี แจ-มยอง ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรค DP และสามารถพาพรรคฝ่ายค้านคว้าชัยในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2024 ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา

นักสู้ผู้รอดตายจากคมมีดและกระสุน

ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2024 จะเริ่มขึ้นไม่กี่เดือน อี แจ-มยองถูกผู้เห็นต่างทางการเมืองบุกใช้มีดจ้วงแทงที่คอระหว่างเดินให้สัมภาษณ์นักข่าวที่เมืองปูซาน เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะบาดแผลทำให้เส้นเลือดดำฉีกขาด แต่สุดท้ายก็รอดชีวิตมาได้ในที่สุด

อีกเหตุการณ์เสี่ยงตายที่ฉายแวว ‘นักสู้’ ของอี แจ-มยองได้ชัด คือ การเป็นแกนนำต่อต้านการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024

โดยทันทีที่ประธานาธิบดียุนประกาศใช้กฎหมายพิเศษนี้เพื่อรวบอำนาจ และใช้เป็นทางออกแก้ปัญหาการเมืองภายในของตัวเอง อี แจ-มยองใช้สมาร์ตโฟนของเขาไลฟ์ปลุกระดมประชาชนให้ออกมาชุมนุมต่อต้านทันที 

ขณะเดียวกัน เขายังเรียกร้องให้บรรดานักการเมืองพากันไปรวมตัวที่รัฐสภา เพื่อโหวตคัดค้านการใช้กฎอัยการศึกดังกล่าวจนสำเร็จ โดยการถ่ายทอดสดผ่านโทรศัพท์มือถือของเขายังเผยให้เห็นวินาทีที่ตัวเองยอมเสี่ยงตาย ปีนข้ามรั้วเข้าไปในรัฐสภาเพื่อหลบเลี่ยงตำรวจ - ทหารที่ออกมาทำงานสกัดกั้นนักการเมืองภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดียุน

“ผมและเพื่อน ๆ จะช่วยกันปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต” อีประกาศผ่านไลฟ์ของเขา

ลดท่าทีแข็งกร้าวเพื่อความสมานฉันท์

แม้เส้นทางชีวิตที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยอุปสรรคและเรื่องเสี่ยงตาย ยังไม่นับคดีความต่าง ๆ อีกมากมายที่เขาตกเป็นผู้ต้องหาและยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้งการละเมิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการให้ข้อมูลเท็จในปี 2022 ตลอดจนคดีคอรัปชั่นต่าง ๆ ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธความผิดทั้งหมด โดยชี้ว่า ล้วนเป็นคดีความใส่ร้ายทางการเมือง

อี แจ-มยอง บอกว่า เขาจะยืนหยัดเดินหน้าทำงานเพื่อสาธารณชนต่อไป โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักของเขา คือ การพาเกาหลีใต้กลับคืนสู่สังคมที่ผู้คนลดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย และจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า 

พร้อมกันนี้เขายังลดท่าทีแข็งกร้าวในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2025 ด้วยการชี้ว่า ตนเองจะเป็นผู้นำที่ยึดมั่นการทำงานตามแนวทาง ‘ปฏิบัตินิยม’ ไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ทางการเมืองใด ๆ เพื่อคลายความหวาดกลัวของฝ่ายอนุรักษนิยม ที่มักโจมตีว่า เขามีใจฝักใฝ่ระบอบคอมมิวนิสต์

“ข้าพเจ้าจะเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชน” เขากล่าวต่อรัฐสภาในสุนทรพจน์วันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้

“ข้าพเจ้าจะทำงานเพื่อสร้างความสามัคคี และเป็นประธานาธิบดีผู้ยุติความแตกแยกบาดหมางทางการเมือง”

นั่นคือคำมั่นและเป้าหมายต่อไปในชีวิตของ ‘อี แจ-มยอง’ บุรุษผู้ควรค่ากับคำว่า ‘นักสู้’ ผู้พลิกชีวิตตัวเองด้วยการศึกษา จนสามารถก้าวข้ามความยากจน ร่างกายพิการ กลายเป็นประธานาธิบดีของชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสี่ของเอเชียอย่างเกาหลีใต้ได้ในที่สุด

 

เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล
ภาพ: Getty Images 

อ้างอิง: 

“Lee Jae-myung: South Korea’s Opposition Leader Who Survived a Stabbing.” BBC News, 30 May 2025, https://www.bbc.com/news/articles/c4gepwxzeqgo.

“Who Is Lee Jae-myung, South Korea’s Possible Next President?” The Economist, 30 Jan. 2025, https://www.economist.com/asia/2025/01/30/who-is-lee-jae-myung-south-koreas-possible-next-president.

Choe, Sang-Hun. “South Korean Opposition Leader Lee Jae-myung Faces Critical Moment.” The New York Times, 3 Dec. 2024, https://www.nytimes.com/2024/12/03/world/asia/lee-jae-myung-opposition-leader.html.

“Lee Jae-myung and the Stakes of South Korea’s Presidential Future.” The Korea Herald, 2025, https://www.koreaherald.com/article/10488824.

“A Life Pursuit: Lee Jae-myung’s Journey from Factory Worker to Presidential Frontrunner.” Korea JoongAng Daily, 16 May 2025, https://koreajoongangdaily.joins.com/news/2025-05-16/national/politics/A-life-pursuit-Lee-Jaemyungs-journey-from-factory-worker-to-presidential-frontrunner/2307212.

Ripley, Amanda. “Lee Jae-myung Has Big Plans for South Korea—If He Can Beat the Odds.” TIME, 28 May 2025, https://time.com/7289366/lee-jae-myung-south-korea-president-trump-economy-challenges-interview/.