19 พ.ย. 2568 | 15:30 น.

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน Innovation Thailand Top Executives Meeting ณ Garden Deck โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อ “Tourism Industry Innovation Ecosystem towards Innovation Nation” เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์และมุมมองเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างและผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย (Tourism Industry Innovation Ecosystem) พร้อมเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานชั้นนำจากภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการท่องเที่ยวต่างๆ กว่า 30 หน่วยงาน ซึ่งต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่การแข่งขันในระดับสากล
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Creative Innovation Tech กับการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมไทยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” โดยชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมคือกลไกสำคัญที่จะยกระดับการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจำเป็นต้องปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของธุรกิจและชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
“แม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยจะลดลง แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ"
ดังนั้น อนาคตของการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) การท่องเที่ยวเชิงผจญภัย (Adventure Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) เพื่อให้คุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมหมุนเวียนกลับสู่ชุมชนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกต่างให้ความสนใจประเทศไทย จากศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ และอัตลักษณ์ท้องถิ่น รวมถึงโอกาสใหม่จากเทรนด์ Health & Wellness Tourism ที่กำลังเติบโตทั่วโลก”
ทั้งนี้ ทาง NIA ร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พัฒนาแพลตฟอร์ม “Amazing Thailand Innovation Gadget” ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงบริการนวัตกรรมการเดินทางในไทยได้โดยตรง ตั้งแต่ข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ระบบจองโรงแรม ประกันภัย รวมถึงบริการด้าน Mobility และ Travel Service ครบวงจร โดยจะเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ตะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ท่ามกลางความเสี่ยงด้านการหลอกลวงออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Groom – Grant – Growth – Global” ของ NIA ที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมทักษะ โครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม กลไกการให้ทุนพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ จนถึงการผลักดันและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ
ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการด้านการเงินนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) นำเสนอ “กลไก NIA ในการสนับสนุน Low Carbon Tourism” โดยระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการปล่อยคาร์บอน คิดเป็นกว่า 8% ของโลก ทำให้การพัฒนา Low Carbon Tourism ถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่ Green Destination ซึ่งทาง NIA ยังมุ่งเน้นขับเคลื่อนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสู่การแข่งขันระดับโลกผ่านยุทธศาสตร์ Groom – Grant – Growth – Global ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาองค์ความรู้ และหลักสูตรให้ชุมชน การออกแบบเส้นทางนำร่องและโปรเจกต์ Sandbox เชื่อมโยงผู้ประกอบการ ชุมชน และผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสนับสนุนการตลาดและเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อสร้างระบบนิเวศการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของไทยอย่างยั่งยืน
คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) นำเสนอ “บทบาท NIA ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยนวัตกรรม” กล่าวถึงข้อมูลภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 27.5 ล้านคน (1 ม.ค.–9 พ.ย. 2568) เพิ่มขึ้น 7.14% จากปีก่อน อีกทั้งโอกาสจากการเติบโตของระบบนิเวศเทคโนโลยีการท่องเที่ยว (Travel Tech) ครอบคลุมตั้งแต่ระบบการจองและการสืบค้น (Booking–Search) กิจกรรมและทัวร์ (Activities–Tours) ระบบจัดการกระเป๋าเดินทางอัจฉริยะ (Smart Luggage) การเดินทางและการสัญจร (Mobility) และบริการที่พักแบบแบ่งปัน (Home Sharing) โดยทาง NIA ได้ขับเคลื่อนการเติบโตดังกล่าว ผ่านยุทธศาสตร์ Groom – Grant – Growth – Global ตั้งแต่การวิเคราะห์ Innovation Map เทรนด์เทคโนโลยีอย่าง AR/VR, AI, Blockchain และ Mobile Travel เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ (Groom) การสนับสนุนทุน Mandatory Innovation และ Localized Innovation สำหรับ Startup และ SME (Grant) ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ (Growth & Global) เช่น TAT Travel Tech Networking เพื่อผลักดันธุรกิจท่องเที่ยวไทยสู่การแข่งขันระดับโลก
นอกเหนือจากกลยุทธ์ข้างต้นแล้ว NIA ยังเดินหน้าสร้าง Thailand Innovation Hub เป็นเครือข่ายศูนย์กลางนวัตกรรมทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่โอกาสการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้น 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม พร้อมต่อยอดสู่เวทีโลกผ่าน 3 โปรแกรมสำคัญ คือ Corporate Spark จับคู่ธุรกิจกับสตาร์ตอัปชั้นนำ, Global Market Link ขยายโอกาสเชื่อมโยงสู่ตลาดต่างประเทศ และ Global Investment Link เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนระดับสากล
ถัดมาในช่วง Innovation Sharing ภายใต้หัวข้อ “Tourism Industry Innovation Ecosystem” จะเป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านนวัตกรรมการท่องเที่ยวไทยระหว่างผู้บริหารจากภาครัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมต่างๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเสริมสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือข้ามภาคส่วน การมีส่วนร่วมของชุมชน และการประยุกต์ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
ตัวอย่างแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ ระบบแนะนำเส้นทางด้วย AI การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรม รวมถึงการยกระดับมาตรฐานการให้บริการสู่ระดับสากล เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังร่วมพูดคุยถึงโอกาสและความท้าทายสำคัญ ทั้งแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยว การแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก บริบทนโยบายภาครัฐ และความต้องการแรงงานทักษะใหม่ พร้อมทั้งหารือแนวทางแก้ไข เช่น การเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเร่งขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของธุรกิจท่องเที่ยว การต่อยอดตลาด MICE (Meetings, Incentives, Conferences & Exhibitions) การสร้างโมเดลธุรกิจที่ใช้ข้อมูลขับเคลื่อน และการออกแบบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นคุณภาพ
สำหรับการจัดงาน Innovation Thailand Top Executive Meeting ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างรอบด้าน ทั้งเทคโนโลยี นโยบาย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเสริมศักยภาพชุมชน และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้เข้าร่วมต่างเห็นพ้องถึงความสำคัญของการสร้างคุณค่าแทนการแข่งขันด้านราคา การออกแบบบริการบนพื้นฐานข้อมูล และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและมีเอกลักษณ์ เพื่อนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนบนเวทีโลก