NIA จัดงาน Innovation Thailand Top Executives Meeting: “Food & Agriculture Industry" เสริมศักยภาพอาหารและการเกษตรของไทย

16 ตุลาคม 2568 กรุงเทพมหานคร — สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน Innovation Thailand Top Executives Meeting ณ​ ห้องพญาไท 3 โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท ภายใต้หัวข้อ “Food & Agriculture Industry Innovation Ecosystem towards Innovation Nation” เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พร้อมเสริมสร้างเครือข่ายนวัตกรรมและความร่วมมือด้านอาหารและการเกษตรของไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานชั้นนำจากภาครัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษาและสมาคมต่างๆ กว่า 20 องค์กร ร่วมวางทิศทางขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารและเกษตรในระดับสากล

 

 

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวเปิดงานโดยฉายภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Demographic Shift) ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ซับซ้อนขึ้นจากอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี (Technology Disruption) ที่แม้จะก่อให้เกิดความท้าทาย แต่ก็เป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมระดับพลิกวงการ (Disruptive Innovation) ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและระบบเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง

ดร.กริชผกา ระบุว่า “การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังหล่อหลอมอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ซึ่งต้องอาศัยนวัตกรรมเชิงลึก เพื่อสร้างความยั่งยืนและความสามารถเชิงการแข่งขันของประเทศ” พร้อมชี้ให้เห็นแนวโน้ม Future of Food ที่จะกำหนดทิศทางอาหารแห่งอนาคตใน 3 มิติ ได้แก่ 1) Good for Health อาหารที่ดีต่อสุขภาพ และตอบโจทย์ความใส่ใจของผู้บริโภค 2) Good for Heart อาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ และระบบหลอดเลือด และ 3) Good for Planet อาหารที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าวถือเป็นโอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทย ทว่ายังเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูง ทำให้ “นวัตกรรม” กลายเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้สินค้านวัตกรรมอาหารเหล่านี้มีราคาที่จับต้องได้ (Affordable) และสามารถขยายตลาดได้จริง (Scalable) ผ่านการใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เช่นเดียวกับที่เทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรมที่เคยช่วยให้ธุรกิจปรับราคาลงได้ เมื่อเกิดการผลิตในวงกว้าง

ดังนั้น เพื่อให้ระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารและการเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ทาง NIA จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ “Groom – Grant – Growth – Global” ครอบคลุมตั้งแต่การบ่มเพาะผู้ประกอบการนวัตกรรม การสนับสนุนด้านทุนและองค์ความรู้ การเร่งการเติบโตของธุรกิจ ไปจนถึงการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ

• Groom – สร้างต้นน้ำของระบบนวัตกรรม ผ่านการพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการ ผ่านโครงการอย่าง STEAM4INNOVATOR และ Startup Thailand League เพื่อวางรากฐานผู้ประกอบการนวัตกรรมในอนาคต
• Grant – สนับสนุนทุนวิจัยและต่อยอดนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ SMEs และวิสาหกิจเพื่อสังคม ผ่านกลไก Mandatory Innovation เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ Localized Innovation เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่
• Growth – เร่งการเติบโตของผู้ประกอบการด้วยโปรแกรมอย่าง AGROWTH: AgTech Accelerator ที่ส่งเสริมสตาร์ทอัพด้านเกษตร (AgTech Startup) และ Thai Kitchen: FoodTech Accelerator Program (SPACE) ที่ยกระดับสตาร์ทอัพอาหารของไทย ให้พร้อมขยายสู่ตลาดโลก
• Global – เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่เครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก ผ่าน Global Startup Hub ภายใต้ Startup Thailand พร้อมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ เช่น JETRO (ญี่ปุ่น) NIPA (เกาหลี) และ Vinnova (สวีเดน) รวมถึงเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพไทยเข้าถึงการลงทุนและขยายตลาดสากลอย่างยั่งยืน

 

 

นอกจากนี้ NIA ยังเดินหน้าสร้าง Thailand Innovation Hub เพื่อเป็นเครือข่ายศูนย์กลางนวัตกรรมทั่วประเทศ เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่โอกาสการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้น 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม พร้อมต่อยอดสู่เวทีโลกผ่าน 3 โปรแกรมสำคัญ ได้แก่ 1) Corporate Spark จับคู่ธุรกิจกับสตาร์ทอัปนานาชาติ 2) Global Market Link สร้างโอกาสเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ และ 3) Global Investment Link เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนระดับสากล

“อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศ การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Innovation Nation อย่างแท้จริง”

ดร.กริชผกา กล่าวทิ้งท้าย
 

 

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีช่วง Innovation Sharing ภายใต้หัวข้อ “Food & Agriculture Industry Innovation Ecosystem” เพื่อเปิดเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมต่างๆ กว่า 20 องค์กรชั้นนำ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองถึงแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนวัตกรรมด้านอาหารและการเกษตรของไทย โดยมีการกล่าวถึงความจำเป็นของ “การบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า” ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ไปจนถึงการสร้างมาตรฐานและนโยบายที่เอื้อต่อการขยายผลในระดับอุตสาหกรรม

 

 

นอกจากนั้น หลายภาคส่วนยังสะท้อนถึง “ความท้าทาย” ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโครงสร้างเกษตรกรที่ยังขาดโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็พอจะมองเห็น “โอกาส” จากการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาเชิงระบบ ตั้งแต่การสร้างนวัตกรรมจากโจทย์จริงของเกษตรกร ไปจนถึงการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุน และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม

 

 

ทิ้งท้ายกับอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ อย่างเรื่อง “การสร้างคน” และ “การพัฒนาเครือข่ายด้านอาหารและการเกษตร (Ecosystem) อย่างยั่งยืน” โดยทุกภาคส่วนเห็นพ้องกันว่า การสร้างนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้จริง ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการและเกษตรกรรุ่นใหม่ รวมถึงการผลักดันให้เกิดนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีและการวิจัยระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงในระบบเศรษฐกิจอาหารแห่งอนาคต