03 ต.ค. 2568 | 12:00 น.
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่าย จัดเวทีเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้ยินโดยผู้มีอำนาจและเป็นส่วนหนึ่งในสมการการพัฒนา พร้อมสื่อสารว่า “สิทธิในที่อยู่อาศัย” คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
“ทุกวันนี้ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ มักมองข้ามคำถามว่า ใครคือผู้แบกรับต้นทุน? และคำตอบก็มักจะเป็นชุมชนที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมือง ขณะที่โครงการเหล่านั้นที่ถูกระบุว่า ‘สีเขียว’ มักพบว่าจะทิ้งร่องรอยของการสูญเสียไว้เบื้องหลัง ขณะที่สิทธิของผู้ได้รับผลกระทบมักถูกเพิกเฉย” ศตพัฒน์กล่าว
“การสูญเสียบ้านไม่ใช่แค่การถูกไล่รื้อทางกายภาพ แต่คือการสูญเสียวิถีชีวิต รากเหล้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและตัวตนที่สืบทอดกันมา นี่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทำให้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี” ศตพัฒน์กล่าว
“การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแรงผลักดันในการเข้าถึงแร่สำคัญ ๆ การส่งเสริมตลาดคาร์บอนเครดิต หรือการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชุมชนชายขอบอาศัยอยู่ เช่น ชาวกะเหรี่ยงในแม่ฮ่องสอน หรือชาวมอแกนบนเกาะพยาม จ.ระนอง ซึ่งหลายโครงการส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำ พื้นที่ทำกิน และระบบนิเวศที่ชุมชนพึ่งพิงในการดำรงชีวิต”
“เราต้องยืนยันร่วมกันกับชุมชนและขบวนการภาคประชาชนว่า สิทธิในที่อยู่อาศัยที่เพียงพอคือสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจละเลยได้ การพัฒนาและการอนุรักษ์ใดๆ ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิมนุษยชน และขอเชิญชวนให้สังคมช่วยกันขยายเสียงของชุมชนที่ถูกลืมให้ดังขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่คิดถึงสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม และที่อยู่อาศัยของผู้คน” ศตพัฒน์กล่าว
“เรามุ่งหวังที่จะนำเรื่องราวการต่อสู้และความกังวลของพวกเขาออกจากพื้นที่ชายขอบ เข้ามาสู่ใจกลางของบทสนทนาระดับชาติในงาน Bangkok Climate Action Week 2025 เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้รับฟังข้อมูลโดยตรงจากผู้ที่ชีวิตและวิถีชุมชนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เป้าหมายสูงสุดคือการจุดประกายให้เกิดการตระหนักรู้และสร้างแรงกดดันทางสังคม เพื่อผลักดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทั้งในระดับนโยบายและกฎหมาย ที่เคารพและคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง แทนการปล่อยให้การพัฒนาเดินหน้าไปบนต้นทุนชีวิตของคนเล็กคนน้อย”
1. บ้านที่กำลังจะหายไป เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่พักอาศัย แต่คือที่ดินทำกิน แหล่งอาหาร และชีวิตทั้งชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมืองที่ต้องแบกรับความเปราะบางซ้ำซ้อนจากโครงการของรัฐ
2. เปิดห้องพิจารณา เวทีชำแหละกฎหมายไทยที่ยังทำงานเสมือน “ตรายาง” เพื่อเทียบกับหลักสากลที่ไทยเคยให้คำมั่นไว้ในระดับนานาชาติ
3.เสียงจากแผ่นดิน ฟังเสียงจากเจ้าของเรื่องจริงที่เกี่ยวกับป่า ทะเล และผืนดินที่อาจถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
4. จากเสียง…สู่พลัง สรุปข้อเสนอร่วม และทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ Take Action ช่วยกันยืนยันว่า การพัฒนาที่แท้จริงต้องคำนึงถึงสิทธิในที่อยู่อาศัยและสิทธิมนุษยชนของผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
โดยจะต้องมองเห็นผู้คนให้มากขึ้นในทุกมิติสำหรับโครงการพัฒนาใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนในพื้นที่ รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วนต้องสามารถเข้าถึงกระบวนการประชาพิจารณ์ การรับฟังเสียงสะท้อน การมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการอำนวยความสะดวกจากผู้รับผิดชอบโครงการ
“เราไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่การพัฒนาที่แท้จริงต้องเคารพสิทธิของผู้คน ฟังเสียงจากพื้นที่ และที่สำคัญ ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ศตพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย