แอมเนสตี้เรียกร้องยุติการใช้ความเป็นผู้หญิงและตัวตนของกลุ่ม LGBTI เป็นเครื่องมือโจมตีไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือชีวิตจริง

แอมเนสตี้เรียกร้องยุติการใช้ความเป็นผู้หญิงและตัวตนของกลุ่ม LGBTI เป็นเครื่องมือโจมตีไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือชีวิตจริง

แอมเนสตี้ยื่น “รายงานคู่ขนาน” ต่อ CEDAW ชี้ไทยยังไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงและ LGBTI ถูกคุกคามในโลกออนไลน์ แนะเร่งแก้ ม.17 ที่เปิดช่องเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลศาสนา ความมั่นคง

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ส่ง “รายงานคู่ขนาน” (Shadow Report) ต่อคณะกรรมการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นสมัยที่ 91 ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนั้นยังรายงานอีกกว่า 24 ฉบับ จากองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ที่ร่วมกันส่งเสียงแทนผู้หญิงหลากหลายกลุ่มในประเทศไทย เพื่อสะท้อนสิ่งที่รัฐอาจยังไม่เห็นหรือไม่อยากเห็นจากการลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ได้รับผลกระทบในสถานการณ์จริง

“รายงานคู่ขนาน” คือเครื่องมือจากองค์กรภาคประชาสังคมที่มีข้อมูลบางส่วนที่อาจจะขาดหายไปจากรายงานของภาครัฐ ในรายงานของแอมเนสตี้มุ่งเน้นประเด็นที่รัฐไทยมักหลีกเลี่ยง เช่น การคุกคามผู้หญิงในโลกออนไลน์ การถูกสอดแนมทางดิจิทัลที่ส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและสุขภาพจิต และระบบยุติธรรมที่ผลักภาระให้ผู้เสียหายต้องหาหลักฐานด้วยตนเองจึงจะสามารถดำเนินคดีได้ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศที่เกิดขึ้นผ่านเทคโนโลยี (Technology-facilitated Gender-Based Violence – TfGBV) ซึ่งยังคงกระทำต่อนักกิจกรรมผู้หญิง และผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทย โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน 

ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 16 มิ.ย. - 4 ก.ค. 2568 คณะกรรมการ CEDAW ได้มีการประชุมเพื่อตรวจสอบรายงานของแต่ละประเทศรวมถึงประเทศไทย โดยเชิญผู้แทนจากภาครัฐและภาคประชาสังคมเข้าร่วมเวทีสานเสวนาอย่างสร้างสรรค์ (Interactive dialogue) จากนั้น คณะกรรมการจะมีข้อเสนอแนะ รวมทั้งการติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลแต่ละประเทศต่อไป

เป็นภาคี CEDAW มานานกว่า 20 ปี แต่ยังมีช่องว่างใหญ่ พันธกรณีสากล สู่ความล้มเหลวในชีวิตจริงหญิงไทย

แอมเนสตี้มีข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2528 ประเทศไทยได้เป็นภาคีของอนุสัญญาซีดอว์ (CEDAW) นั่นหมายความว่าไทยมีพันธะผูกพันในการป้องกันและขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบมานาน 20 ปี แต่กลับพบว่าแม้จะเป็นภาคีในอนุสัญญานี้ แต่ก็ยังพบความล้มเหลวอย่างมีนัยยะสำคัญที่ต้องจับตามองในเรื่องการคุ้มครองผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) ที่ยังพบความรุนแรงในชีวิตจริงและโลกออนไลน์อยู่ เพียงเพราะออกมาแสดงความเห็น ใช้ชีวิต และปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนอื่น

หลักฐานที่มาจากคนจริง เสียงจริง และกว่า 40 เหตุการณ์รุนแรง ช่วงปี 2563–2567

อย่างไรก็ตามยังพบว่าในปี 2563 - 2567 แอมเนสตี้ได้สำรวจด้วยการสัมภาษณ์และบันทึกปัญหาที่พบจากการถูกเลือกปฎิบัติ ถูกคุกคาม และถูกใช้ความรุนแรงอย่างน้อย 40 กรณี ของความรุนแรงรูปแบบ TfGBV ที่เกิดกับผู้หญิง เด็กหญิง และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ได้ทำหน้าที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหรือส่งเสียงเพื่อสิทธิเสรีภาพของตัวเอง สิ่งที่พบมีหลายรูปแบบ เช่น

การถูกโจมตีด้วยสปายแวร์ Pegasus บนอุปกรณ์ของนักกิจกรรมหญิงอย่างน้อย 15 คน ระหว่างการประท้วงปี 2563 - 2564 โดยแอมเนสตี้มีข้อสรุปจากการประเมินหลักฐานต่างๆ ว่า หน่วยงานรัฐของไทยมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการโจมตีด้วยวิธีการนี้

การแจ้งเตือนจาก Meta ถึง 44 คนในไทยว่าอาจตกเป็นเป้าหมายของผู้โจมตีที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐ รวมถึงนักกิจกรรมหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ

การถูกโจมตีด้วยวิธี doxing (เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับการยินยอม) ยกตัวอย่างเช่น กรณีการการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของนักกิจกรรมนอนไบนารี่อายุ 17 ปี เช่น เลขบัตรประชาชน และชีวิตที่เคลื่อนไหวทางการเมือง จากบัญชีปริศนาบนแพลตฟอร์ม X

การที่ถูกข่มขู่ใช้ความรุนแรงและการโจมตีด้วยถ้อยคำเหยียดเพศและศาสนากับผู้หญิงข้ามเพศที่เป็นมุสลิม เพียงเพราะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นับถือศาสนาอิสลาม

ไทยยังไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยเบื้องหลังการจัดทำ “รายงานคู่ขนาน” (Shadow Report) ว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนเสียงของผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในไทยที่ตกเป็นเหยื่อการโจมตีทางออนไลน์ และยังถูกละเลยจากระบบของรัฐและกลไกยุติธรรม โดยส่งผลให้โลกดิจิทัลได้กลายเป็นพื้นที่ที่ “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง” สำหรับผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมาก

“ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ทำงานกับกลไกขององค์การสหประชาชาติ หรือ UN มาโดยตลอด และได้รับการตอบรับอย่างดี ผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน หรือคณะทำงานด้านการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและเด็กหญิง ก็ล้วนแล้วแต่หยิบยกข้อค้นพบให้งานวิจัยของแอมเนสตี้มาพูดถึงความล้มเหลวของทางการไทย ในการจัดการปัญหาความรุนแรงในโลกออนไลน์ โดยเราหวังว่าการส่งเสียงผ่านองค์กรระหว่างประเทศจะทำให้ทางการไทยหันมาใส่ใจปัญหานี้อย่างจริงจัง”

ชนาธิปย้ำว่า หนึ่งในข้อค้นพบสำคัญคือการที่ผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ต้องเผชิญกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี (TfGBV) ทั้งการถูกสอดแนมโดยสปายแวร์ การโดนแฮกบัญชี การถูกข่มขู่คุกคาม และการใช้ถ้อยคำเหยียดเพศในโลกออนไลน์ ซึ่งสร้างบรรยากาศความน่ากลัว จนหลายคนต้องถอยห่างจากพื้นที่สาธารณะ

“โลกออนไลน์ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ใช้เคลื่อนไหวและมีส่วนร่วมทางสังคม แต่แอมเนสตี้กลับพบว่าความรุนแรงในโลกออนไลน์ได้สร้างบรรยากาศความกลัวที่ผลักพวกเขาออกจากการมีส่วนร่วมทางสังคม ทุกวันนี้หลายคนเลือกที่จะเงียบ เพราะคิดว่าการเงียบคือทางรอดเดียวในการที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ถูกคุกคาม”

ชนาธิปยกตัวอย่างกรณีของ ‘นุ่น’ ผู้หญิงข้ามเพศที่ออกมาเรียกร้องสิทธิเพื่อความหลากหลายทางเพศของชาวมุสลิม แต่หลังจากออกมาพูดถึงเรื่องนี้กลับทำให้ถูกส่งข้อความข่มขู่ในลักษณะที่จะทำให้เสียชีวิต และถูกข่มขู่ด้วยคำพูดเหยียดเพศและศาสนา พร้อมชี้ว่ากลไกทางกฎหมายที่ไทยมีอยู่ปัจจุบันไม่สามารถช่วยเหลือกรณีลักษณะนี้ได้ เพราะยังมีข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น มาตรา 17 ของ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ที่เปิดช่องให้การเลือกปฏิบัติสามารถเกิดขึ้นได้ หากผู้กระทำความผิดอ้างเรื่องศาสนาหรือความมั่นคงของชาติ

“การแก้ไขมาตรา 17 เป็นข้อเสนอที่สำคัญที่สุดของเราและแอมเนสตี้ เพราะถ้ากฎหมายยังเปิดช่องให้เลือกปฏิบัติได้โดยอ้างศาสนาหรือความมั่นคงของชาติได้ เท่ากับเป็นการปล่อยให้ความรุนแรงมีอยู่ต่อไปในประเทศนี้ โดยที่หากเกิดอะไรขึ้นมาคนที่ก่อความรุนแรงอาจจะไม่ได้รับโทษหรือไม่ผิดกฎหมายอะไรเลย”

สำหรับข้อเรียกร้องในการแก้ไขมาตรา 17 ไม่ได้เป็นเพียงข้อเสนอจากแอมเนสตี้เท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่ คณะกรรมการ CEDAW เคยเสนอให้รัฐบาลไทยดำเนินการมาแล้วตั้งแต่การทบทวนสถานการณ์ครั้งที่ผ่านมาในปี 2560 ชนาธิปอธิบายว่า คณะกรรมการ CEDAW เคยมองเห็นปัญหาของไทยในกฎหมายมาตรานี้ชัดเจน และได้แนะนำให้แก้ไขมาตรา 17 เพราะลงความเห็นว่าเป็นการเปิดช่องให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยอ้างเหตุผลทางศาสนาหรือความมั่นคงของชาติ หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นจะถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งสวนทางกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล แต่กลับพบว่าแม้จะมีข้อเสนอแนะที่ชัดเจน แต่ไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นรูปธรรมจนถึงปัจจุบัน

“มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องนี้ก็จริง แต่กระบวนการของไทยช้ามากๆ และยังค้างอยู่แค่ขั้นตอนการศึกษา ไม่มีการเดินหน้าแก้ไขจริง ทั้งที่คระกรรมการซีดอร์เขาส่งสัญญาณมาแล้วตั้งแต่ปี 2560 ให้ทบทวนหรือปรับแก้ไขกฎหมายมาตรา 17 ในกฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ”

ที่ผ่านมาพบว่าในการทบทวนรอบก่อนคณะกรรมการ CEDAW ยังไม่ได้กล่าวถึงความรุนแรงในโลกออนไลน์โดยตรง เนื่องจากในตอนนั้นไทยยังไม่มีฐานข้อมูลเพียงพอ แต่เมื่อแอมเนสตี้ได้จัดทำรายงาน “อันตรายเกินกว่าจะเป็นตัวเอง” (Being Ourselves is Too Dangerous)  ขึ้นในปี 2567 ข้อมูลเหล่านี้จึงถูกนำเสนออย่างเป็นระบบในทางวิชาการเป็นครั้งแรก เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกจริง แต่ยังเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบในโลกดิจิทัลด้วย ขณะที่ ชนาธิปแสดงความเป็นห่วงว่า รายงานที่จัดทำโดยทางการไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกคุกคามในโลกออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวมากเท่าที่ควร

ชนาธิปพูดทิ้งท้ายว่า การที่นักกิจกรรมหญิง และกลุ่ม LGBTI ถูกโจมตีด้วยคำเหยียดเพศ หรือการคุกคามบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่คือความล้มเหลวของระบบรัฐในการปกป้องผู้คนจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในไทย

“แอมเนสตี้ไม่อยากให้ความเป็นหญิงและประเด็นเรื่องเพศอื่นๆ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีใครก็ตาม ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง เวลาเราพูดถึงผู้นำที่เป็นผู้หญิง นักกิจกรรมหญิง หรือแม้แต่คนธรรมดาที่เป็นผู้หญิงที่ออกมามีบทบาทในสังคม รวมถึง LGBTI พวกเขามักถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือโจมตีด้วยถ้อยคำที่เหยียดเพศ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกันกับประเด็นที่เขามีบทบาทอยู่ในสังคม การกระทำแบบนี้ถือเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน” 

การส่งรายงานคู่ขนานครั้งนี้ไม่ได้มีแค่แอมเนสตี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกกว่า 24 องค์กรภาคประชาสังคมที่ร่วมกันส่งเสียงไปยังคณะกรรมการ CEDAW เพื่อให้เห็นว่า “ประเทศไทยยังไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงทุกคน” นอกนั้นในเวทีนี้ยังมีการนำเสนอความท้าทายของผู้หญิงในประเทศไทยอีกหลากหลายประเด็น ทั้งเรื่องแรงงานข้ามชาติ ผู้ไร้สัญชาติ และผู้หญิงที่ถูกบีบให้ออกจากกระบวนการยุติธรรม สะท้อนข้อท้าทายในกฎหมายและนโยบายที่กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปกป้องผู้เสียหาย และยังมีตัวแทนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิง ร่วมกล่าวคำแถลงในประเด็นอื่นๆ อาทิเช่น เสียงจากเครือข่ายสตรีชนเผ่า หญิงจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงความไม่สงบ กลุ่มผู้มีที่ความหลากหลายทางเพศ กลุ่มผู้หญิง คนพิการด้วย 

 

อ่านรายงานฉบับเต็มของแอมเนสตี้ ได้ที่: https://bit.ly/44dZeXv 

ติดตามรายงานจาก 24 องค์กรภาคประชาสังคม ได้ที่: https://bit.ly/4kOiMYf