'The Story Thailand Forum 2024' สกัดข้อมูลหลัก 'AI และความยั่งยืน'

'The Story Thailand Forum 2024' สกัดข้อมูลหลัก 'AI และความยั่งยืน'

The Story Thailand เว็บไซต์ข่าวธุรกิจและ เทคโนโลยี จัดงานสัมมนา 'The Story Thailand Forum 2024' หัวข้อ “Tech Vanguard – CIOs Leading the Charge in AI and Sustainability” ระดมผู้นำสายเทคโนโลนีมาแลกเปลี่ยนมุมมองนำ AI มาใช้คู่กับแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมและเพิ่มความยั่งยืน

The Story Thailand เว็บไซต์ข่าวธุรกิจและ เทคโนโลยี  จัดงานสัมมนา 'The Story Thailand Forum 2024' ในหัวข้อ “Tech Vanguard – CIOs Leading the Charge in AI and Sustainability” โดยเป็นการระดมผู้นำด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน และบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงขององค์กรต่าง ๆ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองต่อการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมและเพิ่มความสำคัญต่อความยั่งยืน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแอปฯ 'เป๋าตัง' และอดีตประธาน Kasikorn Business Technology Group (KBTG)  ในหัวข้อ The next chapter of the digital transformation for Thailand มีประเด็นที่น่าคิดและน่าสนใจคือ

การแยกระหว่าง Digital Transformation VS Digital Disruption

\'The Story Thailand Forum 2024\' สกัดข้อมูลหลัก \'AI และความยั่งยืน\' Digital Disruption คือ การทำลายล้าง หมายถึง การมีเทคโนโลยีเกิดขึ้นแล้วนำมาประยุกต์ใช้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพราะชอบเทคโนโลยีนั้นๆ คนที่ใช้เทคโนโลยีเดิมๆ อาจจะอยู่ไม่ได้ ทำให้ในรอบห้าปีที่ผ่านมาองค์ใหญ่ๆ พยายามที่จะทำ digital transformation ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอด

ส่วน Digital Transformation คือ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัวภายในองค์กร เพื่อสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้องค์กรอยู่รอดได้

โดยองค์ประกอบของ Digital Transformation มี 3 อย่าง คือ

  1. Leadership รู้ว่าเปลี่ยนทำไม
  2. Mindset การมีกรอบความคิดที่ไม่อิงกับวิธีการแบบเดิมๆ
  3. Capability ในเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแง่ดี เช่น การสร้าง AI ในฐานะของผู้ที่เข้าใจ วิจัย และเห็นผลกระทบ

อุตสาหกรรมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้ Digital Transformation

ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดทุน ใช้ Digital Transformation กว่า 30 ปี ในอดีตจะใช้คนในการตัดสินใจในการทำ Macthing order ต้องใช้เวลาและคนในการดำเนินการ จึงมีระบบ Trading Automation ขึ้น ทำให้เกิดการ Macthing order แบบเรียลไทม์ ซึ่งผู้บริหารมี Mindset ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่ดีทำให้สำเร็จ

นอกจากนี้ สิ่งที่ Banking ต้องทำเพิ่มคือ ต้องเข้าใจว่า ธนาคารเป็นระบบปิด แล้วธนาคารในปัจจุบันทำหน้าที่เป็นตัวกลาง แต่เรารู้ว่าเทคโนโลยีทำให้ตัวกลางมีค่าน้อยลง คำถามต่อไปคือ ธนาคารเก่งในด้านเทคโนโลยี มี Minset ที่ดี มี Leadership ที่ดีอยู่แล้ว แต่การให้บริการที่ต้องปรับให้ทันสมัยมากขึ้นก็อาจจะต้องทำการบ้านมากขึ้น

ในส่วนที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันของประเทศในแง่ของการพัฒนา digital transformation ได้แก่

1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแรงงานและสังคมโดยรวม

2. สภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป หรือ Digital Disruption เกิดความท้าทายในระดับประเทศว่าประเทศไทยในอนาคตนี้จะเป็นอย่างไร ต่างชาติมีมุมมองต่อประเทศเป็นแบบไหน และเราจะปรับตัวให้กลายเป็นแถวหน้าในด้านดิจิทัลให้ได้ จากการดึงคนเก่งกลับมา การสร้างวัฒนธรรมของการพัฒนาเทคโนโลยี และการแก้คอร์รัปชั่นด้วยการทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ โปร่งใสและตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยี

3. ต้นทุนสังคมสูงขึ้นจากการคอร์รัปชั่น

4. ขาดความเป็นธรรมในสังคม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาที่เข้าถึงได้ต่างกัน

จึงควรแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนี้

  1. จำนวนคนทำงานน้อยลง แก้ด้วยการเพิ่ม Productivity ด้วย AI ทำการ Upskiil และ Reskill อยู่เสมอ
  2. สภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป หรือ Digital Disruption แก้ด้วยการสร้าง Tech Capability และ สร้าง Innovation Culture
  3. ต้นทุนสังคมสูงขึ้น แก้ด้วยการทำให้มี Digital Footprint เพื่อความโปร่งใส และมีการทำ Autonomous Process
  4. ขาดความเป็นธรรมในสังคม แก้ด้วยการเป็น Springboard ของการศึกษา และการทำระบบเปิด Service ดีๆ ในแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้น เพื่อยกระดับการศึกษาและการทำธุรกิจของคนตัวเล็กๆ ให้ดีขึ้น รวมถึงทำให้บทบาทของ Healthcare ให้ดีขึ้น

ส่วนทางด้าน AI  คุณกวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Head of R&D Innovation Lab บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) พูดถึงมุมมองของคนทำงานในองค์กรและต้องการผลักดันของใหม่ๆ ในองค์กร โดยเฉพาะเรื่องของ AI 

คุณกวีวุฒิ  บอกว่า เทรนด์ AI เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอ่านจาก Research ต่างๆ จะเห็นเลยว่า ทุกคนบอกว่า AI จะมาแน่ และองค์กรต่างๆ เริ่มสนใจที่จะอยากใช้ AI กันมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วในองค์กรหรือภาพของประเทศมักจะเจอกับปัญหาและทางตันก่อนจะใช้ได้อย่างเต็มที่ เพราะมีเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลต่างๆ อยู่ และในวงการยังไม่สามารถที่จะ Adoption AI เข้ามาใช้ในองค์กรได้ขนาดนั้น

\'The Story Thailand Forum 2024\' สกัดข้อมูลหลัก \'AI และความยั่งยืน\' ดังนั้น การที่เราจะทำให้เกิด Innovation ได้เอง เราอาจจะไม่จำเป็นต้องทำ Technology Feasibility เองทั้งหมด เพราะปัจจุบันมี Open Source ให้ใช้งานมากมาย และถ้าใช้ผิดที่อาจจะทำให้เกิดต้นทุนสูงตามมาได้ ดังนั้น จึงควรที่จะผลิต Technology ที่ครบในองค์ประกอบทั้งสามอย่างตาม Framework ด้าน Innovation ที่ประกอบด้วย

  • Human Desirability ต้องทำให้คนอยากใช้และเป็นประโยชน์
  • Business Viability ต้องช่วยสร้างธุรกิจ
  • Technology Feasibility ต้องทำให้เกิดขึ้นได้จริง

อีกท่านหนึ่ง ดร.เอื้อมพร ปัญญาใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด กับหัวข้อ Real used case: ESG in Action ที่ได้ถ่ายทอดแนวคิดของการทำ ESG พร้อมบอก Fremework และวิธีการ Action ที่นำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ดร.เอื้อมพร   กล่าวว่า  หลายธุรกิจอาจจะยังเข้าใจคำว่า ESG แบบผิดๆ อาจจะเน้นการตั้งทีมขึ้นมาทำ โดยขาดความเข้าใจ ทางแปซิฟิกไพพ์เองก็เคยอยู่ในจุดนั้น โดยเริ่มต้นจากการทำ CSR โดยลงไปดูว่าชมชุนโดยรอบโรงงานอยากได้อะไร ไม่ต่างจากที่อื่นที่ทำธุรกิจแล้วมักจะคิดว่าทำกำไรได้เท่าไหร่ก็ต้องคืนกำไรให้สังคมด้วย ซึ่งเราก็คืนให้แบบที่เราไม่เข้าใจถึงแก่นของการทำ ESG เช่น การไปบริจาคน้ำดื่ม ซ่อมถนนเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการบริจาคน้ำดื่มหรือซ่อมถนนให้ชุมชนไม่ดี แต่อาจจะไม่ได้ต่อยอดอะไรให้กับธุรกิจมากนัก เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นที่มาที่จะต้องทำให้ผู้บริหารเข้าใจถึงแกนของการทำ ESG ก่อน 

\'The Story Thailand Forum 2024\' สกัดข้อมูลหลัก \'AI และความยั่งยืน\' การเริ่มต้นทำ ESG ของแปซิฟิกไพพ์คือการเริ่มต้นที่ Economic โดยประกอบด้วยการทำให้ธุรกิจโปร่งใส เติบโต ทำกำไร พร้อมดูด้วยว่าธุรกิจมีสังคมอย่างไร ใครที่เกี่ยวข้องกับเราบ้าง และมีสิ่งแวดล้อมเป็นแบบไหน โดยเริ่มต้นจาก Fremework ให้เกิดความยั่งยืนขึ้นได้จริงในองค์กร เริ่มต้นกระบวนการจาก

  1. Materity หรือการ Defind ให้ออกว่าธุรกิจมีอะไรสำคัญที่มากกว่ายอดขายและกำไร รวมถึงดูให้ออกว่าเรามีจุดไหนบ้างที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาได้บ้าง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้เห็น Stakeholders ที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากนั้นเราจะได้ประเด็นสำคัญออกมา
  2. Policy เราจะดึงประเด็นสำคัญออกมาจัดลำดับ และสร้างเป็นนโยบายออกมาว่า เราจะทำอะไรบ้าง เช่น ข้อแรกของเราอยากจะทำให้ธุรกิจเติบโต ต้องการกำกับการดูแลกิจการที่ดี การต่อต้านธุรกิจ ซึ่งอันดับต้นๆ ของแปซิฟิกไพพ์ไม่ได้มีในเรื่องของกำไรหรือเงินมาเกี่ยวข้องเลย และหลังจากนั้นนำมาพล็อตกราฟ ซึ่งทำให้เห็นว่า ใครที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำสิ่งนี้บ้าง
  3. Implementation ลงมือทำ และทำ Plan-do-check-action
  4. Dislosure วัดผลลัพธ์

การลงมือทำ ESG ด้วย Strategy ที่แข็งแรง

เรามีผู้มีส่วนได้เสีย หรือ Steakholder ที่ต่างกันค่อนข้างมาก เช่น คนในชุมชน พนักงาน ช่าง ฯลฯ จึงไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดียวกับทุกๆ Steakholder ได้ ดังนั้น อย่าไปพูดถึงแค่ Business Strategy แต่ควรพูดเรื่องความยั่งยืนขององค์กรก่อนมากกว่า ซึ่งควรที่จะดูว่าเราจะทำในมิติไหนก่อน

และเราก็ออกแบบ Sustainabilitiy Strategy ออกมา 3 เรื่องคือ

  1. สร้างแรงบันดาลใจและทำให้ผู้คนใช้ชีวิตที่ดีบนโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย
  2. ส่งเสริมบุคลากรด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อสร้างการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
  3. มุ่งมั่นบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน

ESG Fremework สำหรับแปซิฟิกไพพ์มี 3 แกน ดังนี้

  1. เศรษฐกิจ : การสร้างความเติบโตและมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับพันธมิตรทางคู่ค้าและลูกค้าอย่างยั่งยืน
  2. สังคม: ดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วยความรู้และความปลอดภัย
  3. สิ่งแวดล้อม: ดูและสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า

ทางด้าน คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท บิทคับ แคปปิตอล  มาในหัวข้อ AI and Sustainability Solution โดย คุณจิรายุส  กล่าวว่า คนชอบพูดถึง Sustainability  ในเรื่องโลกร้อน Net Zero ฯลฯ ซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมเรื่องของ Sustainability ได้ 100% เลยอยากจะมาอธิบายกันให้เข้าใจก่อนว่า Sustainability หมายถึงอะไร

\'The Story Thailand Forum 2024\' สกัดข้อมูลหลัก \'AI และความยั่งยืน\' Sustainability คือ ความยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่แค่ความยั่งยืนในด้านธรรมชาติ แต่ต้องยั่งยืนในหลายมิติ ไม่ได้มองแค่ตัว E ที่หมายถึง Environmental เท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึง Social และ Governance ด้วย

การสร้าง Sustainability ต้องไม่ใช่การทำแค่ Career แต่ต้องมี Role

นั่นคือ เราต้องทำการแยก Career กับ Role ก่อน ซึ่งทุกคนต้องมีทั้งหมวกที่เป็น Career เช่น การมีครอบครัว มีงาน มีค่าใช้จ่าย ต้องทำเงิน ฯลฯ แต่ทุกอาชีพที่ต้องการความยั่งยืนควรที่จะมีหมวกอีกใบขึ้นมาคือ Role เช่น ทุกคนต้องมีความโปร่งใส ความดี ความซื่อสัตย์ ฯลฯ ดังนั้น ทุกคนควรสวมหมวก 2 ใบ แต่นักธุรกิจส่วนใหญ่มักจะมีแค่หมวกใบเดียวคือ หมวก Career จากการคิดที่จะทำเงินเพียงอย่างเดียว มองแต่ Output GDP หรือ Performance ทั้งๆ ที่เป็นอาชีพที่เปลี่ยนโลกได้มากที่สุด

แต่ตอนนี้ทั่วโลกเริ่มหันมาโฟกัสกับการทำ Contributive Strategy กันมากขึ้น มากกว่าการวาง Competitive Strategy แบบเดิมๆ เพื่อทำให้ชีวิตมี Value System ที่ดี ดังนั้น หากนักธุรกิจอยากสร้าง Sustainability Solution ก็ต้องหัดสวมหมวกสองใบมากขึ้น

นอกจากนี้ AI ยังทำให้เกิดการควบรวมตำแหน่งงานมากขึ้น หนึ่งคนมี Job Description มากอยู่แล้ว และจากการเข้ามาของ AI ที่ทำงานหลายงานแทนคนได้ ทำให้หลายตำแหน่งถูกควบรวม คนหนึ่งคนจึงจะภาคภูมิใจในตำแหน่งสิ่งที่ตัวเองจะทำได้อย่างแท้จริง ดังนั้น องค์กรจึงควรที่จะวางแผนเรื่องนี้ให้เกิดตรงกลางด้วยการเพิ่ม Value System ให้กับการทำงาน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการต่อต้านตามมา และนี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความยั่งยืนกว่า AI

นอกจากนี้ ยังมีวิทยากรท่านอื่นอีก ดังนี้

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กับหัวข้อ Technology: The twin factor of sustainability, from Net

ปริชญ์ รังสิมานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด ในหัวข้อ The Real used cases of AI in Business

ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director KBTG ในหัวข้อ AI Economy by AI Ecosystem, AI from one to millions 

ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท LINE ประเทศไทย ในหัวข้อ Humanized AI: AI adaptation for everyday life

ปิยธิดา ตันตระกูล กรรมการผู้จัดการบริษัท เทรนด์ ไมโคร (ประเทศไทย) ในหัวข้อ Generative AI: Cyberworld with Double Edge

หากสนใจรายละเอียดติดตามต่อได้ ที่เว็บไซต์ www.thestorythailand.com