27 พ.ย. 2561 | 17:37 น.
หลายคนอาจจะรู้จัก วิน ศิริวงศ์ จากการเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงของวง สควีซแอนิมอล แต่รู้หรือไม่ในอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตชายคนนี้คือการเป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัท โฟลว์โก้ จำกัด บริษัทผู้ติดตั้งระบบปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ วันนี้ The People ขอหยิบเรื่องราวของชายคนนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้หนุ่มวิน ต้องใช้ชีวิตแบบรักพี่เสียดายน้อง เพราะต้องทำเพลงที่ตัวเองรักควบคู่ไปกับการบริหารธุรกิจพร้อม ๆ กัน แต่การจากไปของคู่หูคู่คิดอย่าง “สิงห์” ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับมาโฟกัสกับงานบริหารมากกว่าเดิม “เมื่อชีวิตเรามีสองด้าน มันก็ต้องสมดุลให้ดี อีกด้านหนึ่งที่เราเป็นนักดนตรี อีกด้านหนึ่งที่เราเป็นผู้บริหาร หรือทายาท มันก็ต้องจัดสรรเวลาต่าง ๆ ให้มันถูกต้อง ไม่ทำให้ทุกอย่างมันด้อยลงไปกว่าอีกด้าน จริง ๆ ผมคิดไว้ในอนาคตว่าสักวันหนึ่งถ้าผมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วออกมาเต็มประสิทธิภาพของมัน ผมก็จะแฮปปี้มาก ๆ แล้ว” ถ้าเกิดใครยังไม่รู้ งานบริหารธุรกิจมูลค่ากว่าพันล้าน คือหน้าที่หลักของนักร้องเสียงดีคนนี้ โฟลว์โก้ คือบริษัทที่ดูแลและติดตั้งระบบปั๊มน้ำมัน เริ่มตั้งแต่ถังเก็บน้ำมันใต้ดิน หัวจ่ายน้ำมัน ยันเคาน์เตอร์คิดเงินในร้านสะดวกซื้อ วินเคยจำกัดความงานหลักของเขาไว้ว่า “ธุรกิจครบวงจรให้กับคนเปิดปั๊มน้ำมัน” เอ้า ! แล้วทำไมบริษัทนำ้มันไม่ทำหัวจ่ายเองล่ะ ทำไมถึงต้องมาจ้างโฟลว์โก้ ? นั่นคือคำถามที่หลายคนสงสัย “อาจเป็นบริษัทที่แปลก หลายคนอาจจะคิดว่าบริษัทนำ้มันเขาทำเองอยู่แล้ว โฟลว์โก้ เหมือนเป็นบริษัทที่ปิดทองหลังพระมากกว่า และคนก็แทบไม่รู้จักบริษัทนี้เลย เราเป็นเหมือนมดงานที่คอยจัดการทุกอย่างให้ธุรกิจของลูกค้นเดินหน้าไปแบบไม่ติดขัดเลย” แรกเริ่มเดิมทีหลังกลับมาจากอังกฤษ วินถูกวางให้เป็นตัวแทนของคุณพ่อ ในการรับไม้ต่อด้านงานบริหาร แต่ใช่ว่าการเล่นดนตรีจะทำให้เขาหยุดช่วยงานที่บ้าน เขามักหาเวลาว่างเริ่มเรียนรู้งานต่าง ๆ โดยเริ่มจากศูนย์เสมอ วินเคยเปรียบงานของตัวเองว่าเหมือนกับเป็นผู้ช่วยนักบิน ที่พร้อมจะสานต่องานของใครในบริษัทก็ได้ “ผมทำทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หลังกลับมาจากเรียนต่อ ผมก็เข้ามาศึกษางานมาเข้าใจธุรกิจก่อน คู่ค้า ลูกค้า ของเราคือใครบ้างผมเริ่มจากตรงนั้น ก่อนที่จะค่อย ๆ เริ่มมองภาพกว้างมากขึ้น คอยดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นในบริษัทเราบ้าง ในฐานะที่ผมเป็นลูกของผู้บริหารสูงสุด มันก็เหมือนกับผมเป็น Co-Pilot ตอนไหนที่ใครไม่อยู่เราก็ต้องสามารถทำงานแทนหรือบริหารต่อได้ ซึ่งนี่คือเป้าหมายใหญ่ของผมด้วย และมันก็ยากมากด้วยเพราะคุณพ่อเปรียบเหมือนต้นแบบและทุก ๆ อย่างของผม” ลูกชายคนเดียวของครอบครัว กับแรงกดดันในการสานต่อธุรกิจระดับพันล้าน “แรก ๆ ก็กดดัน แต่ถามว่าท้อไหม ก็ไม่ ผมคิดแค่จะทำทุกอย่างให้ผ่านไปทีละวัน ทีละวัน ชนะเรื่องเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เรื่องไหนก็ทำให้รู้ ไม่ว่าจะเรื่องกิจการ ที่บ้านหรืองานเพลง ผมไม่คิดว่ามันไม่เห็นจะต้องตัดสิ่งใดออกไปเลย แค่เราจัดการให้ดีเท่านั้นเองอย่าไปตั้งคำถามมันมาก” “คุณวิน” ในสายตาของลูกน้องจะเป็นอย่างไรเราไม่รู้ แต่ส่วนตัววินเชื่อว่าเขาไม่ใช่เจ้านายสไตล์จิกหัวใครแน่ ๆ “ผมคิดไว้เสมอว่า ไม่อยากจะเป็นผู้บริหารที่สั่งการอย่างเดียว เพราะเราอาจจะมีความรู้น้อยกว่าเขา ประสบการณ์น้อยกว่าเขา เพราะฉะนั้นผมจะเป็นคนที่คอยตั้งคำถามมากกว่า ทำแบบนี้ทำไม ทำไมต้องทำอย่างนี้ ดีที่สุดแล้วเหรอ ซึ่งถ้าเขาตอบคำถามผมมาได้ดี ผมก็เข้าใจว่าเขาต้องคิดดีแล้วซึ่งผมโอเค แต่ถ้าเขาดูตอบ งง ผมก็จะไปถามพ่อว่าท่านคิดเห็นอย่างไร” วิน ให้สัมภาษณ์เสมอว่า “พ่อ” ของเขา คือต้นแบบในการใช้ชีวิตของเขา “ผมเรียนรู้จากคุณพ่อเยอะมาก ๆ ท่านคือต้นแบบทุก ๆ อย่าง ผมอ่อนประสบการณ์เรื่องนี้มากในเรื่องสภาพแวดล้อมการทำงาน เจอปัญหาจะแก้ยังไง เจอตำหนิจะแก้ยังไง เจอความกดดันแก้ยังไง เวลาทำอะไรทุกอย่างผมมักจะสวมวิญญาณคุณพ่อเสมอ คิดตลอดถ้าเป็นพ่อท่านจะทำอย่างไร" แม้ปัจจุบันวิน อาจจะยังมีออกไปทำเพลงหรือทัวร์อยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ตัวว่ามันใกล้เวลาที่เขาจะต้องมาแทนคุณพ่อเต็มตัวแล้ว และเมื่อถามถึงเป้าหมายของเขาในตอนนี้ วินพูดเสมอว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ “เสมอตัวไว้” "ผมก็คิดว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด เป้าหมายผมในตอนนี้ก็คือ อย่างน้อยเก็บทุกอย่างให้อยู่ในสภาพนี้ให้ได้ อาจจะไม่โตขึ้น ใหญ่มากจนคุณพ่ออึ้ง แต่อย่างน้อยก็ไม่ให้มันเจ๊งก็แล้วกัน” นอกจากความโดดเดี่ยวที่อังกฤษ ทำให้เขาได้เจอมิตรภาพและสานต่อสิ่งนั้นจนสามารถทำความฝันได้สำเร็จ แต่การจากไปของชายผู้เป็นคู่คิดของเขาทำให้ชายคนนี้เสียศูนย์ไปอยู่สามปี เรียกได้ว่าธุรกิจมีส่วนช่วยเยียวยาความเจ็บปวดไม่มากก็น้อย ล่าสุดวินกลับมาสร้างสรรค์ผลงานอีกครั้งกับสองเพลงใหม่อย่าง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” (Glad to have you) และ “Grow Old” เมื่อถามวินถ้าว่า วันนี้คุณทำฝันสำเร็จแล้วหรือยัง วิน ตอบกลับมาอย่างถ่อมตัวว่า “ทุกวันนี้เรากำลังเดินทางอยู่” บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งจากรายการ พราว ออกอากาศเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี 2555