สัมภาษณ์ ‘HINANO’ นักร้องไทย-ญี่ปุ่น แปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ สู่เพลงสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่

สัมภาษณ์ ‘HINANO’ นักร้องไทย-ญี่ปุ่น แปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ สู่เพลงสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่

‘HINANO’ (ฮินาโนะ) นักร้องสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ทำเพลงสดใส แต่เนื้อหาออกจะมีเรื่องราวหม่นหมอง เธอเคยแปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ มาเป็นงานเพลงที่สะท้อนตัวตน ใช้ดนตรีเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับรับมือ

“สวัสดีค่ะ ชื่อฮินาโนะ ชื่อเล่นชื่อคิตตี้ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ทำเพลงอยู่ค่ะ (หัวเราะ) คุณพ่อเป็นคนไทย คุณแม่เป็นคนญี่ปุ่น ประมาณนั้น (หัวเราะ) เกิดที่ไทยค่ะ อยู่ที่นี่มาตลอดแต่ก็มีกลับญี่ปุ่นบ้างเมื่อก่อนตอนที่ปิดเทอมค่ะ”

คำกล่าวแนะนำตัวที่มาพร้อมด้วยน้ำเสียงอันสดใสของหญิงสาวรุ่นใหม่ สไตล์การแต่งตัวที่ดูปราดเดียวก็ต้องรู้สึกว่า เธอต้องเกี่ยวข้องกับ ‘ญี่ปุ่น’ ไม่มากก็น้อย

‘HINANO’ (ฮินาโนะ) คือชื่อศิลปินที่นักร้องสาวคนนี้ใช้ในวงการ ดนตรีของเธอเป็นเพลงป็อปเรียบง่าย มีกลิ่นอายความเป็น J-Pop ผสมอยู่ แม้ท่วงทำนองจะออกมาสดใสไม่ต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่ถ้าจับใจความเนื้อหาบางบทเพลงของเธอ อาจรู้สึกว่า ทำนองและเนื้อหาย้อนแย้งกันอยู่

ตัวอย่างหนึ่งคือเพลง Insomnia ซึ่งเธอบอกเล่าประสบการณ์ถูกคุกคามทางเพศ เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่อดีต สิ่งเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อมาทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเธอเสียหายไปด้วย

ติดตามเรื่องราวของเธอจากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

The People: จุดเริ่มต้นของการร้องเพลง

HINANO: จริง ๆ ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แล้วที่บ้านแม่ก็จับเราไปเล่นเปียโน เหมือนครอบครัวญี่ปุ่น แล้วคุณยายเขาก็ร้องคลาสสิกอยู่แล้ว เขาชอบร้องเพลง ก็เหมือนลึก ๆ ข้างในอยากเป็นนักร้อง แต่ว่าตอนนั้นเราถนัดยิมนาสติกมากกว่า เราก็เลยไปที่ ๆ เราถนัดไว้ก่อน แล้วตอนประมาณ ม.2 ก็แขนหักก่อนเข้าทีมชาติ ช่วงที่ใส่เฝือกอยู่ก็เลยได้ร้องเพลงบ่อย ๆ ก็เข้าไปทางนั้นเลย

The People: ที่เล่นยิมนาสติกนี่ระดับแข่งขันเลย?

HINANO: ใช่ค่ะ ที่โรงเรียนเก่าจะมีแข่งขันใน Southeast Asia อยู่แล้ว แล้วก็มีช่วงหนึ่งที่ไปเทรนที่หัวหมาก เป็น stadium แล้วที่นั่นจะมีทีมชาติไทยอยู่ ตอนแรกก็มีแพลนว่าจะเข้าทีมชาติแล้วก็อยู่จนกว่าจะพัฒนาได้มากขึ้นแล้วก็ไปต่อที่ญี่ปุ่นที่โอซาก้า ที่เป็นทีมที่นั่น

สัมภาษณ์ ‘HINANO’ นักร้องไทย-ญี่ปุ่น แปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ สู่เพลงสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่

The People: ได้ทักษะดนตรี ทักษะร้องเพลงมาได้อย่างไร ถึงทำให้มาร้องเพลง - เขียนเพลงสไตล์นี้

HINANO: รู้สึกว่าเรื่องเขียนเพลงน่าจะมาจากวิชาเรียน literature (วรรณกรรม) ภาษาอังกฤษ ไม่เคยเรียนเขียนเพลง แต่ว่าเคยมีที่ต้องสอบ ต้องเขียน assignment เขียน poem (กวี) เขียน essay (ความเรียง) แบบ analyze พวก A Streetcar Named Desire หรือพวกหนังสือพวกนี้ แล้วชอบมากๆ จะมีช่วงนึงที่ study เรื่องนักเขียนดัง ๆ ชื่อว่า Slyvia Plath แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราชอบวิธีเขียนกลอนของเขา แล้วปกติเป็นคนเขียน diary อยู่แล้ว แล้วพอไปเจอว่ามันเขียนอย่างนี้ได้ ที่โรงเรียนก็สอนเขียนกลอน แบบศึกษา Shakespeare อะไรแบบนี้ ก็เลยเริ่มฝึกเขียนเล่น ๆ

The People: ทำไมจึงเลือกทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษ?

HINANO: ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกของคิตตี้ค่ะ โตมาที่โรงเรียนอินเตอร์แล้วเขาไม่ให้พูดภาษาอะไรนอกจากภาษาอังกฤษที่โรงเรียน เลยโตมากับการคุยภาษาอังกฤษ แล้วก็ถนัดภาษาอังกฤษมากที่สุด มากกว่าภาษาไทยหรือญี่ปุ่น ก็เลยถ้าจะเขียนความรู้สึกตัวเอง รู้สึกว่าการเขียนเป็นภาษาที่ตัวเองถนัดน่าจะสื่อสารได้ดีกว่าค่ะ

The People: ออกแบบดนตรีเองไหม ดนตรีดูมีกลิ่นอายความเป็น J-Pop อะไรแบบนั้น

HINANO: จริง ๆ ก็ได้หมดค่ะ จะเป็นแนวไหนก็ได้หมด คิตตี้ไม่ค่อยได้มีเซ็ตไว้ว่าอยากทำแนวไหน อาจจะมีแบบชอบเพลงนี้ ชอบเพลงโน้น อาจจะฟังแล้วอยากได้ element โน้น element นี้ จริง ๆ ตอนนี้ก็จะมี playlist ที่เป็นญี่ปุ่น ไทย อังกฤษ เกาหลี แล้วถ้าเป็นอังกฤษจะแยกเป็นยุค 70s 80s 90s 00s อะไรแบบนี้ ก็เลยฟังเยอะ พยายาม immerse ตัวเองในดนตรี

The People: ทำไมจึงเลือกนำเรื่องราวของประสบการณ์แต่ละช่วงวัยมาเขียนเป็นเนื้อเพลงแทนที่จะเป็นเรื่องราวความรักเหมือนเพลงส่วนใหญ่ในตลาด

HINANO: คิตตี้รู้สึกว่าความรักมันก็เป็นสิ่งที่ใหญ่อยู่นะ เป็นปัญหา เป็นอะไรที่ทำให้คนรู้สึกได้เยอะมากที่สุดในความคิดของคิตตี้ แล้วความรักมันก็มีในแง่แบบ เพื่อน, ครอบครัว, หรือแฟนหนุ่ม/สาว อะไรแบบนี้ แต่ว่าของคิตตี้ น่าจะมีหลายอย่าง ความรักกับตัวเองด้วย อย่างเช่นเพลง Tomorrow I'll be Twenty-Two คิตตี้ส่วนมากจะเขียนแบบสิ่งที่รู้สึก แล้วก็คิตตี้น่าจะเป็นความถนัดด้วย ไม่ค่อยเก่งเรื่อง glamorize อย่างเช่น Lana Del Rey เรารู้สึกว่าเขาเขียนเก่งมาก ในมุมมองของเราคือเก่งมาก เพราะว่าเราเขียนแบบนั้นไม่ได้...

คิตตี้ทำได้แค่เขียนแบบเจออะไรเป็นแบบนี้ ก็เลยรู้สึกว่าสำหรับคิตตี้เรื่องพวกตัวเอง เรื่องชีวิต ที่ไม่ใช่ความรัก อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตเวลานี้ ... แต่ว่ารู้สึกปัญหาของมัน ความรู้สึกแย่ ๆ เหล่านั้น มันไม่แย่เท่าทั้งหมดของชีวิตในตอนนี้

ตอนเพลง Wish Upon A Star ท่อนเวิร์ส มีเขียน มีพูดถึงแฟนคนเก่า เพราะว่า เขาบอกเลิกในวันที่แมวของเราตาย ซึ่งเพลงนี้เกี่ยวกับแมว แต่ว่าช่วงหนึ่งจะพูดถึงเรื่องนั้น แต่ที่เราเฮิร์ตมากกว่าคือการที่เสียอะไรที่เขาตายไปแล้ว แล้วเราเอากลับมาไม่ได้จริง ๆ อะไรแบบนั้น จริง ๆ ก็พูดยาก ในอนาคตก็น่าจะมีเพลงความรักแบบนี้

The People: เส้นทางสู่การทำเพลงและค่ายเพลง เรามาปล่อยเพลงได้ยังไง?

HINANO: ตอนแรกเราก็เริ่มทำเพลงกับเพื่อน ๆ เพราะว่าคิตตี้ เรียนคลาสสิกแล้วทำดนตรี arrange ไม่เป็น แต่ว่าในหัวมีไอเดีย แล้วเห็นเพื่อนที่ชื่อแบ่งปัน เขาทำเพลงเยอะ แบบให้เราไปร้องเพลงเขาไปอัด เราเขียนเนื้อญี่ปุ่น คิดเมโลดี้ให้เพลงของเขาเยอะ แล้วก็เลยถามเขาว่าแบบ “เธอช่วยเราได้ไหม เรามีไอเดียอยู่” เราอยากลองทำเพลง ก็เลยคุยกับเขาแล้วเขาก็ช่วย ระหว่างนั้นเราเราก็สังเกตว่าเขาทำยังไงบนคอมฯ แล้วก็เก็บมาทำเอง แล้วหลังจากนั้นก็ทำเพลงตัวเองเรื่อย ๆ แต่ก็มีช่วย ถ้าไม่มีเพื่อนก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้

The People: แล้วเจอค่ายเพลงได้อย่างไร

HINANO: ก็พี่บอล (Scrubb) เจอคิตตี้ คิดว่าแบ่งปัน น่าจะเป็นลูกศิษย์ของพี่ป้อง แล้วเขาอาจจะแชร์เพราะว่าแบ่งปัน produce แล้วก็พี่บอลน่าจะไปเห็น อันนี้ไม่แน่ใจ อาจจะแบบนี้

แล้วพี่บอลก็ทักมาสองสามวันหลังจากปล่อยเพลงแรก แล้วเขาก็คุยเรื่อง MILK! ตอนแรกเขาทักมาแล้วคิตตี้ก็ไม่ได้เก่งภาษาไทยก็เลยไม่ได้ตอบทันที ไม่รู้เขาไปเอาเบอร์มาจากไหน แล้วเขาโทรมาหาคิตตี้ แล้วคิตตี้ก็แบบ “Hello?” (หัวเราะ) พี่บอล Scrubb? ช็อก แต่เขาก็อธิบาย แล้วเขาก็ถามว่าไม่เข้าใจภาษาไทยใช่ไหมก็เลยไม่ได้ตอบในเฟซบุ๊ก ประมาณนั้น

The People: เคยฟัง Scrubb มาก่อน?

HINANO: เคย พ่อชอบเปิดให้ฟัง พ่อชอบร้องคาราโอเกะมาก

The People: เพลงแรกที่ปล่อย

HINANO: เพลงแรกของคิตตี้คือ Tomorrow I'll be Twenty-Two ค่ะ

(เล่าเกี่ยวกับเพลงนี้หน่อย) ไม่มั่นใจเรื่องแนวดนตรี อาจเหมือนเข้าข่าย lo-fi แต่ว่าที่มาที่ไปของเพลงก็คือพูดถึงที่เรารู้สึกตอนนี้ (หมายถึงในตอนนั้น) ว่าสับสน รู้สึกหลงทางในชีวิต ควรจะมีความสุขใช่ไหม เราอายุ 22 อะไรแบบนี้ เพลงมันก็ เราก็ต้องคิดก่อนหน้าแล้วล่ะ ก่อนวันเกิดตัวเอง ก่อนจะปล่อย ว่าอยากจะเขียนเพลงนี้ ตอนแรกประเด็นที่จะเขียนเพลงนี้คือเป็นของขวัญให้ตัวเองเฉย ๆ เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ยอมรับในตัวเองมากขนาดนั้น เราก็เลยเขียนเพลงให้ตัวเองในวันเกิด พอผ่านไปสักพักก็มีหลาย ๆ คนทักมาแล้วเขาก็บอกว่าเขาชอบเพลงนี้มา เพราะตอนเขาอายุ 22 ปี ชีวิตเขาไม่ได้ดี แต่พอฟังเพลงนี้เขาก็กลับมานั่งคิดเรื่องชีวิต ก็จะมีคนทักมาในอินสตาแกรม

The People: ความย้อนแย้งระหว่างเนื้อหาที่ดูจะหม่น ๆ ขณะที่สไตล์เพลงจะออกมาในโทนสดใส

HINANO: เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะคอนทราสต์เลย แต่ว่ามันก็รู้สึก ถ้าเป็นในพาร์ทของดนตรี สำหรับคิตตี้ คิตตี้ก็มาจากการเรียนคลาสสิกมา ชอบความสวยงามอยู่แล้วในธรรมชาติ สวยงามในทางของการ flowing แบบนี้ แล้วเวลาเขียนเพลงน่าจะมองในมุมมองของนักดนตรีคลาสสิกที่มองทุกอย่างเป็นแนวนอน ทุกอย่างต้องไปแบบนี้ ก็เลยออกมาเป็นแบบสวย ๆ โฟลว์ ๆ ลอย ๆ แต่ว่าเนื้อเพลงก็คือแบบ เราเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร เสียงที่เราไม่ได้บอกคนหรือแสดงออกมาในโซเชียล อะไรประมาณนี้ค่ะ 

The People: มองเพลงตัวเองในเชิงพาณิชย์อย่างไร?

HINANO: เชิงพาณิชย์แปลว่าอะไร? (commercial) อ๋อ คิตตี้ไม่รู้เลย นึกมาตลอดว่า แบบไม่ค่อยมั่นคง และรู้สึกว่าใครจะมาฟังเพลงของเรา เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวกับเรามาก ๆ แบบเหตุการณ์ที่เราเจอ เราไม่รู้ว่าจะมีคนอื่นเจอไหม แต่ลึก ๆ ในใจมันก็รู้สึกว่า มันไม่น่าจะเป็นเรื่องหายาก มันต้องมีคนอื่นที่รู้สึกอย่างนี้ แล้วคิตตี้เป็นคนที่ชอบเสิร์ชใน Google เช่น มันเกิดกับเรา แล้วเราก็จะเห็นว่ามันก็มีคนอื่นที่เจอเหมือนเรา

เลยคิดว่าอาจมีคนอื่นที่มีประสบการณ์แบบที่คิตตี้เคยสัมผัส แต่อาจไม่ได้เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปเท่าเรื่องความรักหรืออื่น ๆ แต่อย่างที่บอก ความรักเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ อาจเป็นปัญหาอย่างแรกของชีวิตคนด้วย

แต่รู้สึกว่าเกิดมาใน gen… ไม่รู้สิ คิตตี้ลืมว่าตัวเองอยู่ใน gen อะไร แต่ยุคนี้เป็นช่วงเริ่มมี Instagram พวกเรามาตั้งแต่ตอนมี Hi5 แล้วก็ Hi5 ก็หายไปเลย แล้วก็เริ่มมีเฟซบุ๊ก มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต ทุกคน insecure เรื่องตัวเองมาก ๆ ตอนม.2 แบบ เฮ้ย คนนู้นในไอจี คนนี้ในไอจี แล้วมันแบบ เราโตมาด้วยความ insecure ที่เยอะมาก ๆ แบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยคนในรุ่นเรา เรามั่นใจได้ว่าเขาอาจจะเจอในสิ่งที่เราเจอเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจว่าในยุคอื่นมันจะเป็นอย่างไร

สัมภาษณ์ ‘HINANO’ นักร้องไทย-ญี่ปุ่น แปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ สู่เพลงสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่

The People: เพลง Tomorrow I'll be Twenty-Two บอกว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเอง แล้วสิ่งที่กดดันคนในวัย 21-22 ในยุคนี้คืออะไร?

HINANO: โอ้ มันคือเรื่อง gen ใช่ไหม? มันจะมี generation แบบ Baby Boomer พ่อแม่ของเรา มันคือเปลี่ยนยุคมาก ๆ จนเขาตามไม่ แต่ว่าเขาจะมีความกดดันที่เอามาลงใส่พวกเรา อย่างเช่นคิตตี้ที่แบบ ต้องทำได้ดีในทุกอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็กดดันตัวเองต้องเล่นกีฬา ร้องเพลง ศิลปะ ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทุกอย่าง

แล้วยิ่งเราอยู่ในโรงเรียนที่แข่งขันสูง เป็นโรงเรียนอินเตอร์ ทุกคนเก่งหมด อันนี้ก็มีกดดันจากตรงนี้แล้ว แล้วก็มีความกดดันจาก baby boomer จากมุมมองของผู้ใหญ่ที่เขาอาจจะไม่เข้าใจยุคของเรา ก็เลยรู้สึกว่า ความกดดันมันมาจากพวกผู้ใหญ่และสังคม แต่ว่าเราเองเหมือนกัน

อันนี้อาจจะแล้วแต่คน แต่เราเป็นคนที่ perfectionist มาก ๆ แล้วเราทำเกินกว่าที่เขาขอ ที่ครูขออะไรแบบนี้ เพื่อที่จะทำให้ดีที่สุด แล้วถ้าเราล้มเหลว ซึ่งการที่ fail มันเป็นอะไรที่ดีเพราะเราเรียนรู้ แต่ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเรามาก ๆ

เดี๋ยวนี้มันจะมีข่าว อย่างเช่นญี่ปุ่น คุณได้ยินข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายอยู่เสมอ เพราะไม่ได้เกรด A จะมีข่าวแบบในมหาวิทยาลัย มันคือความกดดันที่เราจับใส่ในตัวของเราเองซึ่งคนที่จับใส่ก็ไม่รู้เรื่อง อะไรแบบนี้

แล้วเราก็คิดว่าวัฒนธรรมก็เกี่ยวนะ แบบเช่นเรื่องญี่ปุ่น จะค่อนข้างจะเข้มงวดมาก ๆ เป็นเรื่องการเรียน แข่งขันก็สูง คิดว่ามีความกดดันอยู่ทุกที่ 

The People: เพลงเป็นส่วนที่ช่วยปลดปล่อยความกดดัน?

HINANO: ใช่ สำหรับคิตตี้ มันก็จะมีบางครั้งที่ดนตรีเป็น stress point เพราะว่าคิตตี้ก็เคย take subject ที่ต้องเรียนให้จบ

แต่ว่าชอบตอนที่ร้องเพลงอยู่บนเวที มันเหมือนว่าคุณแค่แสดง และไม่ต้องได้รับเกรดจากมัน แค่มีคนชอบหรือไม่ชอบ เลยคิดว่าชอบศิลปะ ชอบวาด ชอบอะไรแบบนี้เพราะมันรู้สึก free มาก ๆ

The People: เล่าถึงเพลงที่ 2 Wish Upon A Star

HINANO: Wish Upon A Star ก็เป็นเรื่องช่วงเวลาที่แมวจู่ ๆ ก็แบบมีลิ่มเลือด ช็อก แล้วก็ตาย คิตตี้ก็เหมือนช็อก เรายังไม่เคยแบบได้รับมือกับเรื่องความตาย แมวตัวนี้ชื่อ Creamy เราเห็นตอนแม่เขาคลอด Creamy ออกมา มันเหมือนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและคิดตี้ ก็เสียใจมากตอนที่เขาตาย เพราะว่าตอนนั้นเขาอยู่โรงพยาบาล แล้วแม่ไปหาเขาแล้วเขาถามเราว่าจะตื่นแล้วไปด้วยไหม คิตตี้ ประมาณว่า ไม่ ฉันจะนอน

เหมือนกับว่าเราเลือกเอง และเขาก็ตาย เลยเสียใจมาก ที่เห็นเขาเกิดมาแต่ไม่ได้มีโอกาสอำลาในตอนท้ายก็เลยเขียนเพลงนี้

จริง ๆ กว่าจะเขียนเพลงนี้คือมันเกิดขึ้นนานแล้ว แต่เรายังไม่ได้ heal จริง ๆ ตอนที่เขียนเพลง แต่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างที่ให้แบบเป็นของขวัญให้แมว ซึ่งหลังจากตัวลูกตาย แม่เขาก็ตายเพราะเป็นมะเร็ง เลยเขียนเพลงเพื่อมอบให้เขา และมันก็เป็นช่วงที่แย่ อย่างที่เล่าว่า แฟนเก่าบอกเลิกในวันที่แมวตาย ถ้ากลับไปคิด มันก็แอบตลกนิดหนึ่งแบบ timing มันแบบทำไมต้องเป็นแบบนี้

แต่คิดว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้ เขียนเพลงนี้ให้ Creamy และ Vanilla

The People: ในผลงานมีแมวค่อนข้างเยอะ ชอบแมวด้วยรึเปล่า?

HINANO: รักแมว เป็นชีวิตเลย เป็นทาสแมว ทาสมาก ๆ ของแมว เราชอบแมวจนเราเห็นแมวจรแล้วรู้สึกแย่เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง อยากทำหมันดีไหม เราเครียดมาก เราเคยคิดว่า มีความฝันอันหนึ่งว่า อยากมีเงินเยอะ ๆ จะได้หาทางมาทำงานร่วมกับสัตวแพทย์ หรือเป็นโรงพยาบาลสัตว์ที่เขาจะทำโครงการจับทำหมันแล้วก็ให้ไม่มีลูกอีกจะได้ไม่มีแบบนี้อีก เราไม่ชอบเวลาเราเห็นตามเฟซ คนเอาหนังยางตีตาแมวหรืออะไรแบบนี้ ทั้งหมดแมวที่บ้านก็เก็บมา แต่ว่าเก็บอีกไม่ได้เพราะว่า ค่าใช้จ่ายแพง ยิ่งแบบ COVID-19 คนทิ้งหมาแมวเยอะ แล้วเรารู้สึกว่าอยากหาความยุติธรรมให้พวกแมวหรือหมาด้วย เพราะหมาแมวก็มีชีวิต

The People: เพลงที่สาม Kitty With A Knife เปรียบเทียบถึงแมวที่ถือมีด

HINANO: ใช่ ก็คือที่ทุกคนต้องการให้คิตตี้ เป็นคนที่น่ารักแล้วก็แบบ อันนี้อาจจะแบบนิดนึงว่าผู้ใหญ่หลาย ๆ คน อย่างเช่นที่โบสถ์อยากให้เป็นคนสุภาพ และอยากให้เป็นแบบนั้น แบบนี้ เลยคิดว่าทำไมต้องเป็นแบบที่พวกนั้นบอกด้วย อยากเป็นตัวเอง อยากนั่งแบบผู้ชาย ทำไมนั่งแบบผู้ชายไม่ได้ อะไรแบบนี้ แต่ว่า Kitty With A Knife แปลว่าคิตตี้ที่ถือมีด แบบให้มันย้อนแย้งว่า คนที่เรียบร้อยอยากให้เราน่ารัก แต่จริง ๆ แล้วฉันอาจถือมีดอยู่ เหมือนเป็นตลกร้าย บางทีนะ

แต่ว่ามันก็พูดถึงเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต แล้วเราก็พูดถึงคนกลุ่มหนึ่ง อะไรแบบนี้ค่ะ

The People: คิตตี้ เป็นคนที่มีลักษณะขบถเล็ก ๆ ?

HINANO: คิดว่าเกี่ยวกับเรื่องสังคมและปัญหาในสังคม เพราะว่าตอนเล็ก ๆ อาจจะเห็นว่าปัญหามันอยู่ที่คนนี้ ๆ ๆ แต่พอเริ่มโต เราเริ่มมองเป็นภาพใหญ่ว่า มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นชุดความคิดที่หลายคนมี วิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อกัน เขาโตมาอย่างไร สิ่งแวดล้อมแบบไหน

อย่างเช่น ตอนป.5 ในยุคของเรามันเป็นยุคของ Mean Girls, Gossip Girls มันเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก คุณอยากเป็นคนดังและทุกคนก็ต้องสู้เพื่อให้ได้มา ไม่ได้ต่อสู้แบบนั้น แต่เป็นการสู้ในทางการนินทา แล้วเราเป็นคนที่แบบ...เราเพิ่งไปทำทดสอบบุคลิกภาพแล้วพบว่า เราเป็น mediator แบบ introverted คนที่ชอบ heal คนอื่น แล้วคิดตลอดมาว่าเราเป็น คนที่ตามคนในกลุ่ม แล้วเราไม่เคยเข้ากับเขาไม่ได้เลย แล้วเราชอบโดนใช้ โดน Mean girl ใช้ทำโน่นทำนี่ เรานึกว่าแค่เป็นเพื่อนกันอะไรแบบนี้

เลยคิดว่าต้องผ่านเรื่องพวกนี้มาเยอะ และรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมในวงกว้าง โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนอินเตอร์ก็จะมี mass popularity จากต่างประเทศมา หนัง Means Girls อะไรแบบนี้ มีผลกระทบกับเด็ก ๆ มากเลย

ทุกคนรู้สึกว่าต้องแต่งตัวแบบนี้ ต้องทำตัวแบบนี้ ถึงจะฮิตอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่ฉันไปโบสถ์ และได้รับการบอกบ่อย ๆ ว่า ให้แบ่งปัน และถ่อมตน แบ่งปันความรัก ซึ่งเราก็เจอความ เรียกว่าอะไรดี ย้อนแย้งเหรอ เพราะว่าเรา แบ่งปันความรักแค่ไหนกับทุกคน มันไม่ได้คืน ไม่ได้หวังว่าจะได้คืนแต่ว่าหมายถึง คนอื่นยังนินทาเราจนถึงท้ายที่สุดก็รู้ว่ามันไม่ได้เวิร์กสำหรับทุกคน และเพลงนี้ก็จะพูดถึงเรื่องสังคมในฐานะกลุ่มก้อน แต่ก็อยากพูดถึงเรื่องมุมมองของเราในแง่เรื่องตัวเองกับคนอื่นด้วย

The People: เพลงล่าสุด Insomnia และ Sexual Harassment (คุกคามทางเพศ) เกิดอะไรขึ้น?

HINANO: จริง ๆ ในชีวิตเรา เราเจอเรื่อง Sexual Harassment ค่อนข้างบ่อยแต่ว่าสำหรับเรา มันก็ใช่ในเรื่องการกระทำที่โดน แต่ที่มาหลังจากนั้นคือ Emotional Damage (ความเสียหายทางอารมณ์ความรู้สึก) หรือว่าระหว่างที่เกิดขึ้นมันมีการบงการ ข่มเหงทางอารมณ์ความรู้สึก อะไรแบบนี้ แล้วยิ่งมีเรื่อง power harassment … ซึ่ง power ไม่ใช่สิ่งที่เราควร abuse แล้วหาผลประโยชน์จากคนอื่น ซึ่ง มันเกิดขึ้นในหลายระดับ การเมือง หรือครู การเมืองมีอยู่ทุกที่

เราไม่ได้หมายถึงแค่ politics ระดับประเทศ แต่ politics แบบระหว่างอาจารย์ หรือว่าระหว่างผู้ปกครอง เพื่อน พ่อแม่ เหมือนกับว่ามีอยู่ทุกที่ เพราะคิตตี้ รู้สึกว่าทุกคนอยากมีอำนาจ คิตตี้ เข้าใจความรู้สึกนี้ที่อยากได้ power แต่ของเราเราอยากได้ power ที่จะมีเสียงที่จะพูดออกมา แบบเสรีภาพ แต่ว่าใช้ freedom ในทางที่ไม่ใช่เสรีภาพนั้นทำร้ายคนอื่น แต่ใช้ freedom นั้นที่จะพูดความจริงและสิ่งที่ถูกต้อง ก็เลยมาเขียนเพลง

แล้วเพลงนี้ก็อาจจะพูดถึงประสบการณ์หนึ่งในหลาย ๆ อันที่เราเคยเจอเพราะอันนี้เป็นอันที่ใช้เวลานานที่สุด หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดวันเดียว มันเกิดทุกวันมาตลอดสองปีครึ่งหลังจากจบปี 1 และปี 2 ในมหาวิทยาลัย

มันทำให้เราได้รับผลกระทบทางสภาพจิต แล้วสุดท้ายคนที่ต้องมาแก้ตัวเองก็คือตัวเราเอง เลยเขียนเพลงขึ้นมาก โดยคิดว่าเรามีความผิดหวังในสังคมเราค่อนข้างเยอะ คิตตี้ ไม่ควรมีความหวังอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเรายังรู้สึกเหมือนตัวเองยังเด็กอยู่ ในเรื่องอะไรที่ใหญ่อย่างการคุกคามทางเพศ เราก็เลยไปหาผู้ใหญ่เพื่อความช่วยเหลือเพราะว่านึกว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจ แต่มันกลายเป็นว่าผู้ใหญ่ หรือหมายถึงฝ่ายปกครองของมหาวิทยาลัย เราผิดหวังที่เขาไม่ได้ช่วยเรา เราเลยรู้สึกว่าสิ่งเดียวที่จะทำได้คือเขียนเพลง ให้คนรู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดกับฉัน

จริง ๆ มันก็มีสาร ก็แอบอยากให้คนที่ทำกับเราฟังเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ได้อยากจะหาเรื่องแล้ว มันเลยเวลาเขามาขอโทษ ถ้าคุณเข้าใจความหมาย คือแม้กระทั่งว่าเขามาขอโทษ มันก็ไม่ได้จะช่วยซ่อมแซมสิ่งที่เกิดกับคิตตี้ ในทางจิตใจ

เราคิดว่าเราอยากใช้โอกาสนี้ให้มันเป็นหัวข้อที่คุยมากขึ้นระหว่างเพื่อน ๆ เพราะตอนที่มันเกิดขึ้นกับเรา คนรอบ ๆ น่าจะไม่ได้สนใจ...

คิดว่าที่เราอยากทำคือเป็นเสียงเพื่อความเปลี่ยนแปลงบ้าง เห็นว่าถ้าคนเรียกร้องความช่วยเหลือในด้านนี้ จะต้องหาทางช่วยพวกเขา ฉันไม่ได้รับความช่วยเหลือ เลยอยากสร้างหัวข้อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น

สัมภาษณ์ ‘HINANO’ นักร้องไทย-ญี่ปุ่น แปรเหตุถูกคุกคามทางเพศ สู่เพลงสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่

The People: ความเห็นในเรื่องของสังคมและมุมมองต่อเหยื่อของการคุกคามทางเพศ

HINANO: คิดว่าสังคมหรือว่าประเทศเราน่าจะไม่พร้อมที่จะฟังเรื่องนี้ คนก็เลยไม่กล้าพูดออกมา เพราะว่าตอนที่คิตตี้ ตอนที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเลย ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะกลัว ไม่ชัวร์ว่าใครจะช่วยเราจริง ๆ แล้วพอเราไปเรียกร้องหาความช่วยเหลือก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้น มันค่อนข้างสะท้อนสิ่งที่สังคมเป็น เกี่ยวกับผู้ใหญ่ที่ไม่ช่วยคุณ เหมือนว่าต้องอยู่ด้วยตัวเอง

เราผ่านความรู้สึกที่แย่ไปแล้ว แต่มันยังมีหลงเหลืออยู่ และมีความรู้สึกที่แบบยังไม่จบ เราก็เลยเขียนเพลงนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากอยู่...เรามีเพื่อนที่ถูกรถชน เราไม่ถามเขาเรื่องนี้เลย เราให้เกียรติเขา ถ้าเขาอยากพูดออกมากับเราเขาจะพูด หากเขาพร้อมและเชื่อใจ เขาจะพูดออกมา เขามีความบอบช้ำ มี PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) จากตรงนั้น เลยไม่พูด เขากลัวที่จะต้องนั่งรถมาก ๆ

The People: เพลงเป็นตัวช่วยรับมือ?

HINANO: ใช่ เป็นเพราะว่าเพลงเขียนว่า Insomnia คือจริง ๆ เราก็มีปัญหาเรื่องนอนตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่แล้ว แต่ว่าพอมันเริ่มมีหลายอย่างที่คิด หลายอย่างมันหยุดคิดไม่ได้ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคิตตี้มาก เพราะว่ามันนานมากและมันมีหลายเหตุการณ์ มันคิดไปเรื่อย เลยนอนแทบไม่ได้ จนถึงวันนี้คิตตี้ ก็ยังนอนเช้า นอนไม่ค่อยหลับ

มันกลายเป็นว่าช่วงนั้นที่ใช้ชีวิตแบบคิด ๆ แล้วนอนไม่หลับ มันกลายเป็นว่าวันนี้เรามีปัญหาที่จะกลับไปนอน ถึงแม้มันไม่ได้เกิดขึ้นกับคิตตี้ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง มันทำให้เราไม่มั่นใจกับตัวเอง เดี๋ยวนี้เราเริ่มกล้าแต่งตัวมากขึ้น แต่เมื่อก่อนตอนที่โดน เราแต่งตัวแบบ ปิดปกคอ แขนยาว ใส่กระโปรงยาว คิดว่ามันจะทำให้ปลอดภัยที่สุด แต่มันไม่จริงเลย

เราก็เลยพยายามค้นหาตัวเองหลังจากเหตุการณ์นี้ เริ่มแต่งตัวมากขึ้น เริ่มค้นหาว่าเราชอบอะไร เพื่อที่จะทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น เพราะคิตตี้ ไม่ได้เกลียดคนที่ทำ แต่กลายเป็นว่าเกลียดตัวเอง มันเหมือนเป็นจิตวิทยาที่ มันกลายเป็นว่าเราโทษตัวเอง เราเกลียดตัวเอง เคยทำร้ายตัวเอง เคยอยากจะเลิกทุกอย่าง เลิกร้องเพลง เลิกอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี แต่บางครั้งเพลงที่ความหมายมัน hurtful ได้อะไรแบบนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคิตตี้ ก็เลยเขียนเพลงนี้มา แล้วนี่ก็คือผลกระทบที่มีจนถึงวันนี้ ฉันยังนอนไม่ค่อยหลับ ยังเก็บเงินไปหาหมอ ค่าบริการสาธารณสุขที่นี่ค่อนข้างแพง ระหว่างนั้นก็พยายามเยียวยาตัวเอง

แต่คิดว่าคนที่โดนเหมือนกัน โดยเฉพาะในข่าวที่เพิ่งมีเกิดขึ้น (2565) คนในข่าวพวกนี้มีอำนาจมากกว่าคนที่กระทำกับคิตตี้ ... เราก็เลยรู้สึกว่าเข้าใจถึงความหวาดกลัว เพราะว่าอันนั้นมันหนักมาก แล้วนั่นไม่ใช่แค่ข่มเหงทางเพศ แต่นั่นคืออำนาจของจริง อำนาจที่ใหญ่ที่สุดที่สามารถมีได้

ยังมีเรื่องถ้านอนกับโปรดิวเซอร์ เธอจะได้งานนะ ซึ่งมันไม่ค่อยจะมีแบบนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ หวังว่ามันจะน้อยลง เพราะเริ่มมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมา และเราก็พูดคุยกับมากขึ้นในโซเชียลมีเดีย

 

แฟนเพลงที่ติดตามและสนใจผลงานของ HINANO มีโอกาสจะไปติดตามการแสดงสดของเธอจากเวที PELUPO งานแสดงดนตรีระดับนานาชาติที่รวมศิลปินชั้นนำทั้งจากไทยและต่างประเทศมาขึ้นโชว์เป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีที่น่าสนใจอีกครั้ง แสดงในวันที่ 11 มีนาคม 2566 ที่ Siam Country Club ชลบุรี โดยมีอัตตาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขึ้นแสดงด้วย ขณะที่ไลน์อัปศิลปินระดับโลกมีตั้งแต่ Kings of Convenience จนถึง Phoenix 

ติดตามรายชื่อศิลปิน รายละเอียดของงาน และช่องทางการซื้อตั๋วที่ https://www.pelupo.com