‘เจมส์ รันโซน’ บาดแผลในวัยเด็ก และการต่อสู้ที่ไม่มีใครมองเห็น

‘เจมส์ รันโซน’ บาดแผลในวัยเด็ก และการต่อสู้ที่ไม่มีใครมองเห็น

เบื้องหลังการแสดงที่เปราะบางและทรงพลัง คือบาดแผลในวัยเด็กและการต่อสู้ที่ไม่มีใครมองเห็นของ ‘เจมส์ รันโซน’ นักแสดงผู้ใช้ความเจ็บปวดหล่อหลอมงานศิลปะ และทิ้งบทเรียนสำคัญว่ามนุษย์ทุกคนสมควรถูกมองเห็น

KEY

POINTS

มีนักแสดงบางคนที่เราจดจำได้จากรอยยิ้มอันสดใส บางคนจากเสียงหัวเราะที่กังวานไปทั่วโรงภาพยนตร์ แต่ ‘เจมส์ รันโซน’ (James Ransone) หรือที่เพื่อน ๆ เรียกติดปากด้วยความรักใคร่ว่า ‘PJ’ คือคนที่เราจดจำได้จากความกล้า ความกล้าที่จะอยู่ในความเจ็บปวด ความกล้าที่จะแสดงออกซึ่งความไม่สมบูรณ์แบบอย่างเปิดเผย และความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างซื่อตรงท่ามกลางโลกแห่งความบันเทิงที่คาดหวังให้ทุกคนส่องประกายอยู่ตลอดเวลา 

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2025 ชายผู้นี้ได้ปิดฉากชีวิตลงในวัยเพียง 46 ปี ทิ้งไว้ซึ่งมรดกทางศิลปะที่แม้จะไม่ได้โด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ แต่กลับทรงพลังและลึกซึ้งพอที่จะสั่นสะเทือนหัวใจของใครหลาย ๆ คนที่เคยพบเจอผลงานของเขา และบางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นดาราดังก็ได้

นักแสดงที่เลือกอยู่ในมุมมืดของเวทีชีวิต

หากชีวิตคือโรงละครที่ทุกคนต่างมีบทบาท เจมส์ รันโซน ก็เลือกที่จะไม่เล่นบทพระเอกผู้กล้าหาญที่ได้รับการเชิดชู เขาเลือกที่จะเป็นตัวละครที่คนมักมองข้าม คนที่อ่อนแอ คนที่ถูกรังแก คนที่ดิ้นรนอยู่ในมุมมืดของสังคม คนที่พยายามจะอยู่รอดในโลกที่ไม่เคยเข้าใจพวกเขา และเขาทำให้ตัวละครเหล่านั้นมีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ จนคุณไม่อาจลืมเลือนได้แม้เวลาผ่านไปนานเท่าไร การแสดงของเขาไม่ได้ตะโกนหาความสนใจ แต่มันแทรกซึมเข้ามาในใจคุณอย่างเงียบ ๆ และค้างอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานหลังจากที่เครดิตจบลงไปแล้ว

โดยเฉพาะบท ‘ซิกกี้ โซบอตกา’ (Ziggy Sobotka) ในซีรีส์วิจารณ์สังคมระดับตำนานอย่าง ‘The Wire’ คือบทบาทที่ทำให้โลกจดจำชื่อของเขา และคงไม่มีใครที่ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วจะลืมตัวละครคนนี้ได้ นี่ไม่ใช่แค่บทคนงานท่าเรือธรรมดา ๆ ที่พยายามจะเป็นอาชญากรตัวเล็ก ๆ ให้ได้ ซิกกี้คือมนุษย์ผู้เปราะบาง ผู้โหยหาการยอมรับ ผู้ถูกดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้างจนกระทั่งถึงจุดที่ความอัปยศอดสูนั้นกลายเป็นความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ และในที่สุดก็ลงมือก่อเหตุรุนแรงที่ไม่อาจย้อนกลับ เจมส์แสดงบทนี้ด้วยความซื่อสัตย์อย่างสุดซึ้งจนคุณไม่รู้ว่าควรจะเกลียดหรือสงสารซิกกี้ และนั่นแหละคือพลังของการแสดงที่แท้จริง การทำให้ตัวละครที่น่าจะเป็นเพียงวายร้ายมิติเดียวกลายเป็นมนุษย์เต็มตัวที่มีเหตุผล มีความรู้สึก และมีจุดแตกหักที่ทำให้เขากลายเป็นอย่างนั้น

ภายใต้ ‘เปลือกที่ไม่น่าพิศมัย’

เขาเคยให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่เปิดเผยและตรงไปตรงมาว่า การรับบทตัวละครที่ “ไม่น่ารัก” เหล่านี้เปรียบเสมือนการต้อง “อาศัยอยู่ในเปลือกที่ไม่น่าพิศมัย” และมันกัดกินความรู้สึกของเขาเองไปด้วยทุกครั้ง การใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะทางอารมณ์ของคนที่ถูกรังแก ถูกเหยียดหยาม ถูกมองว่าไร้ค่า ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักแสดงคนไหน มันต้องการความกล้าที่จะเปิดใจรับความเจ็บปวดนั้นเข้ามา ที่จะปล่อยให้มันสิงสู่อยู่ในตัวคุณชั่วคราว แม้ว่ามันจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย แต่เจมส์ก็ยอมรับภาระนั้น เพราะเขาเชื่อว่านั่นคือหน้าที่ของ ‘ศิลปิน’ การทำให้โลกเห็นว่าแม้แต่คนที่สังคมทิ้งขว้าง คนที่ถูกมองว่าเป็นขยะของสังคม ก็ยังมีความเป็นมนุษย์ ยังมีความรู้สึก ยังมีเรื่องราวที่ควรค่าแก่การรับฟังอยู่ภายใน

ในภาพยนตร์สยองขวัญระดับปรากฏการณ์ ‘IT: Chapter Two’ ที่ทำรายได้พุ่งทะลุหลายร้อยล้านดอลลาร์ เขารับบทที่ต้องการความเปราะบางเหมือนกัน ‘เอ็ดดี แคสปแบรก’ (Eddie Kaspbrak) วัยผู้ใหญ่ ชายที่ยังคงหอบความกลัวจากวัยเด็กไปด้วยทุกก้าวที่เดิน ผู้ที่ไม่เคยหยุดวิ่งหนีจากอดีต จนกระทั่งอดีตนั้นไล่ตามทันและบังคับให้เขาต้องหันมาเผชิญหน้า ท่ามกลางทีมนักแสดงแถวหน้าระดับโลกอย่าง ‘เจสสิกา แชสเทน’ (Jessica Chastain) และ ‘เจมส์ แม็คอะวอย’ (James McAvoy) การแสดงของเจมส์ก็ยังคงโดดเด่น ยังคงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่สั่นไหว ยังคงทำให้คุณรู้สึกถึงความกลัวที่ฝังลึกในตัวเอ็ดดีได้อย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่การแสดงที่โอ้อวด ไม่ใช่การแสดงที่พยายามแย่งซีน แต่เป็นการแสดงที่ซื่อสัตย์ ที่ทำให้ตัวละครมีชีวิต มีลมหายใจ และมีความน่าเชื่อถือ

นอกจาก The Wire และ IT: Chapter Two แล้ว เจมส์ยังมีผลงานที่หลากหลายและน่าประทับใจอีกมากมาย เขารับบท ‘สิบเอก จอช เรย์ เพอร์สัน’ (Cpl. Josh Ray Person) ทหารผู้มีตัวตนจริงในมินิซีรีส์ ‘Generation Kill’ ของ HBO ซึ่งเป็นผลงานที่สะท้อนความสมจริงของชีวิตทหารในสงครามอิรัก เขาเป็นนักแสดงคู่บุญของค่ายหนังสยองขวัญชื่อดังอย่าง Blumhouse โดยมีผลงานใน Sinister, Sinister 2 และ The Black Phone ภาพยนตร์ทุกเรื่องได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม และในภาพยนตร์อิสระอย่าง ‘Tangerine’ ที่ถ่ายทำด้วย iPhone และกลายเป็นหนังคัลท์คลาสสิก เขาก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับบทที่แตกต่างออกไป ทำให้เห็นว่าเขาไม่ได้ติดอยู่กับบทบาทแบบใดแบบหนึ่ง แต่สามารถปรับเปลี่ยนและแสดงได้หลากหลายตามความต้องการของเรื่อง

‘นักแสดงชนชั้นกลาง’ ความจริงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

ขณะที่โลกมักจะมองนักแสดงผ่านเลนส์ของความหรูหรา ความมีชื่อเสียง ความมั่งคั่งที่พวกเขาได้รับจากอาชีพนี้ เจมส์กลับเลือกที่จะพูดความจริงอีกแง่หนึ่งออกมาอย่างตรงไปตรงมาและไม่อายที่จะยอมรับ เขาเคยกล่าวในบทสัมภาษณ์หนึ่งว่าตัวเองคือหนึ่งใน ‘นักแสดงชนชั้นกลาง’ เพียงไม่กี่คนในฮอลลีวูด ไม่ได้รวยระดับเศรษฐีเหมือนดาราชั้นนำที่มีรายได้หลักสิบล้านดอลลาร์ต่อเรื่อง แต่ก็มีรายได้พอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีความสุข ดีกว่าคนทำงานทั่วไปพอสมควร เขาเป็นคนทำงานศิลปะที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นแค่ดาราที่ต้องการแค่ความดัง แค่การได้ขึ้นหน้าปกนิตยสาร หรือการได้เดินบนพรมแดงในงานแจกรางวัลใหญ่ ๆ

มุมมองนี้ทำให้เจมส์เป็นนักแสดงที่ “เข้าถึงได้” มากกว่าคนอื่น ๆ ในวงการ เขาเข้าใจโครงสร้างการเงินของวงการบันเทิง เข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เดินบนพรมแดงอันยาวไกล ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับค่าตัวหลักล้าน แต่ทุกคนในวงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นดาราดัง นักแสดงประกอบ หรือแม้แต่ทีมงานเบื้องหลัง ต่างก็มีเรื่องราวที่คุ้มค่าที่จะเล่า ต่างก็มีความฝันและความพยายามที่ควรได้รับการยอมรับ ความตรงไปตรงมาของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่ดาราที่อยู่สูงเกินเอื้อมหรือห่างไกลจนเข้าไม่ถึง และนั่นทำให้เขาเป็นที่รักของคนที่ทำงานร่วมด้วย

นอกจากการแสดงที่เขาทุ่มเทให้กับอาชีพแล้ว เจมส์ยังมีความหลงใหลในดนตรีอย่างแรงกล้า เขาเคยเป็นมือเบสในวงดนตรีเมทัลชื่อ ‘Early Man’ ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เขาใช้ระบายอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ออกมา เสียงดนตรีสำหรับเขาไม่ได้ต่างจากการแสดง ทั้งสองอย่างคือเครื่องมือในการสื่อสารความเป็นมนุษย์ ในการบอกเล่าเรื่องราว ในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนซึ่งบางครั้งคำพูดธรรมดาอาจไม่เพียงพอ เขาเคยกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์ต่าง ๆ และเชื่อว่าดนตรีคือเครื่องมืออันทรงพลังที่ผู้กำกับใช้ดึงอารมณ์ของผู้ชม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเจมส์เป็นศิลปินที่มองโลกด้วยมุมมองที่ลึกซึ้ง ที่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะทุกรูปแบบ และเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ในการเชื่อมต่อกับผู้คน ในการบอกเล่าเรื่องราวของความเป็นมนุษย์

บาดแผลในวัยเด็ก และการต่อสู้ที่ไม่มีใครมองเห็น

ชีวิตของเจมส์ไม่ได้เรียบง่าย เบื้องหลังรอยยิ้มและการแสดงที่เปี่ยมพลัง มีบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ตั้งแต่วัยเด็ก บาดแผลที่ไม่เคยหายขาด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ในปี 2021 เขาได้ใช้ความกล้าอีกครั้งในการเปิดเผยความจริงที่น่าเจ็บปวดว่าเขาเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยครูสอนพิเศษชื่อ ‘ทิโมธี รูอาโล’ (Timothy Rualo) เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กในปี 1992 ความทรงจำที่สยดสยองนั้นไม่ได้หายไปไหนตามกาลเวลา มันกลายเป็นปีศาจที่ตามหลอกหลอนเขาไปตลอด กัดกินความรู้สึกนับถือตนเองของเขา ทำให้เขาต้องต่อสู้กับความอับอายและความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลบเลือนได้โดยง่าย และในที่สุดความเจ็บปวดนั้นก็นำพาเขาไปสู่การติดแอลกอฮอล์และเฮโรอีน เป็นวิธีหนีจากความเจ็บปวดที่เขาไม่รู้จะรับมือยังไง

เมื่ออายุได้ 27 ปี ชีวิตของเจมส์อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด เขามีหนี้สินสะสมถึง 30,000 ดอลลาร์ ชีวิตของเขาอยู่บนขอบเหว ทุกอย่างดูจะไร้หวัง แต่เจมส์ไม่ได้ยอมจมอยู่กับมัน เขาเลือกที่จะต่อสู้ เลือกที่จะเลิกยาเสพติด เลือกที่จะก้าวเดินต่อไปแม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงใด เขาผ่านกระบวนการบำบัด ผ่านความทุกข์ทรมานจากอาการถอนยา ผ่านการต่อสู้กับตัวเองทุกวัน และในที่สุดก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาสามารถสร้างครอบครัว มีภรรยาและลูกสองคน มีอาชีพที่มั่นคง และมีชีวิตที่ดีขึ้น

การเปิดเผยเรื่องราวนี้ต่อสาธารณะไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการความกล้าอย่างมหาศาล เพราะสังคมมักจะตีตราผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มักจะกล่าวโทษเหยื่อแทนที่จะเห็นใจ แต่เจมส์เลือกที่จะพูด ไม่ใช่เพื่อร้องขอความสงสาร แต่เป็นการปลดปล่อยความจริงที่เขาแบกมาตลอดชีวิต และเป็นการส่งสัญญาณไปยังคนอื่น ๆ ที่กำลังเจ็บปวดในทำนองเดียวกันว่า คุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณสามารถพูดออกมาได้ ไม่มีอะไรที่น่าอายกับการเป็นเหยื่อ สิ่งที่น่าอายคือการเงียบและปล่อยให้คนร้ายลอยนวล และคุณสามารถรอดพ้นจากมันไปได้ ชีวิตของคุณไม่ได้สิ้นสุดเพียงเพราะอดีตที่เจ็บปวด คุณสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้

ไม่เพียงแค่ความกล้าในการเผชิญหน้ากับอดีตเท่านั้น ในปี 2006 เจมส์ยังแสดงความกล้าหาญในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างออกไป เมื่อเขาช่วยเหลือเพื่อนบ้านหญิงจากการถูกพยายามข่มขืน โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขาคว้าท่อเหล็กขึ้นมาแล้ววิ่งไล่ตามคนร้ายไปตามถนน จนกระทั่งคนร้ายต้องหนีไป การกระทำของเขาอาจดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้น มันคือการช่วยชีวิต มันคือความกล้าหาญที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือบนจอภาพยนตร์ เจมส์คือคนที่ไม่หนีจากความยุติธรรม ไม่หนีจากการทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่ามันจะเสี่ยงอันตรายก็ตาม

ในโลกที่มักจดจำผู้ชนะและผู้เปล่งประกาย ‘เจมส์ รันโซน’ เลือกทิ้งร่องรอยไว้ในอีกที่หนึ่ง นั่นคือในหัวใจของคนที่เคยเจ็บ เคยพัง และเคยคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรัก เขาไม่ได้ทิ้งคำสั่งสอนอันยิ่งใหญ่ไว้ให้โลก แต่ทิ้งความจริงเรียบง่ายว่า มนุษย์สามารถแบกบาดแผลไว้ได้โดยไม่ต้องละทิ้งความเมตตา และสามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นสะพานเชื่อมถึงผู้อื่นได้ แม้ร่างกายจะลาจากไปแล้ว แต่การต่อสู้ที่ไม่มีใครมองเห็นของเขา จะยังคงช่วยให้ใครบางคนลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชีวิตอย่างไม่เดียวดายอีกต่อไป

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ: Getty Images