01 ส.ค. 2568 | 16:47 น.
KEY
POINTS
ปี 2026 ‘The Devil Wears Prada’ ภาพยนตร์ระดับตำนานในยุค 2000s กำลังจะกลับมาฉายในรอบ 20 ปี ชื่อของ ‘แอนน์ แฮธทาเวย์’ (Anne Hathaway) ผู้รับบทเด็กฝึกงานจอมเปิ่นจึงเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป แม้ว่าเธอจะเป็นนักแสดงคุณภาพที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่เส้นทางบนวงการบันเทิงของเธอก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเธอเป็นนักแสดงหญิงที่ถูกวิจารณ์ว่า ‘สมบูรณ์แบบเกินไป’
ถึงอย่างนั้นเพราะความเชื่อในตัวรักและความรักในงานที่เธอทำ ทำให้เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และกลับมารันวงการได้อย่างสวยงาม
ชีวิตการเป็น ‘แอนน์ แฮธทาเวย์’ ไม่ง่าย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงาน และเป็นนักแสดงหญิงอีกคนที่กล้าจะถูกเกลียด
ย้อนกลับไปช่วงยุค 2000s ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แอนน์ แฮธทาเวย์ถือเป็นหนึ่งในนักแสดงที่โลกจับตามองจากการรับบทหญิงมัธยมปลายที่จับพลัดจับผลูมาเป็นเจ้าหญิงในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Princess Diaries’ และผลงานสร้างชื่อที่ทำให้ชื่อของเธอดังไปทั่วโลก ก็คือ การเป็นเด็กฝึกงานในสายแฟชั่นจากภาพยนตร์เรื่อง ‘The Devil Wears Prada’
เส้นทางชีวิตการแสดงดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี เธอเป็นนักแสดงคุณภาพที่หลายคนหลงรัก ไม่มีข่าวเสียหาย และมีผลงานต่อเนื่องจนเป็นที่จดจำของคนรักภาพยนตร์
กระทั่งปี 2011 เธอได้รับโอกาสเป็นพิธีกรร่วมกับเจมส์ ฟรังโก (James Franco)ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 83 งานสำคัญที่ทำให้หลายคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่า เคมีของพิธีกรทั้งสองดูไม่เหมาะสมกัน และแอนน์ก็ดูร่าเริงเกินไป ส่วนฟรังโก้ก็ดูเก๊กเท่มากเกินไป
แต่ขณะที่แอนน์ไม่ตอบโต้ แต่ฟรังโกกลับให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Late Show with David Letterman’ ว่า “แอนน์ร่าเริงมาก จนแม้แต่เจ้าแทสมาเนียนเดวิลยังดูเหมือนเมายาเมื่อยืนข้างเธอเลย”
แม้กระแสจะดูจางลง เธอก็โดนวิจารณ์หนักอีกครั้ง หลังจากที่เธอใส่ชุดราตรีขึ้นรับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Supporting Actress) จากภาพยนตร์เรื่อง Les Misérables จากเวทีรางวัลใหญ่ระดับโลก อย่างรางวัลออสการ์ครั้งที่ 85 ในปี 2013
“มันเป็นจริงแล้ว… ขอให้สักวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ความทุกข์ทรมานแบบที่ Fontine (ชื่อตัวละคร) เผชิญ จะไม่มีอยู่ในโลกความเป็นจริงอีกต่อไป”
สุนทรพจน์รางวัลความยาว 4 นาที ทำให้เธอถูกวิจารณ์อย่างหนัก ตั้งแต่ชุดเดรสสีชมพูอ่อน ปากที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไป น้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นเกินเหตุไปจนถึงสุนทรพจน์ที่บอกว่า ดูซ้อมมาและไม่จริงใจ
และนั่นทำให้เกิดกลุ่ม ‘Hathahate’ หรือการรวมคนเกลียดแอนน์ แฮธทาเวย์ขึ้นมา กลุ่มบุคคลที่จับผิดทุกคำพูด ทุกการกระทำของแอนน์ ไม่มีคำชม แต่มีถ้อยคำที่ทำร้ายกัน
รางวัลแห่งเกียรติยศที่ทำให้เธอภูมิใจ แต่กลับให้นักแสดงหญิงคนนี้เลือกฉลองความสำเร็จครั้งนี้อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางคำพูดทิ่มแทงใจที่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
มากกว่านั้น กระแสด้านลบจากรางวัลออสการ์ที่โหมกระหน่ำชีวิตนักแสดงของเธอ ก็เริ่มทำให้ชีวิตการแสดงของเธอเริ่มสะดุดและเต็มไปด้วยขวากหนาม
“เคยมีผู้กำกับมาบอกฉันว่า ผมว่าคุณเก่งมาก เหมาะกับบทนี้ที่สุดเลย แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนดูจะยอมรับคุณได้ไหม เพราะเรื่องพวกนี้ ภาพจำพวกนี้" แอนน์ให้สัมภาษณ์กับ Harper’s Bazaar ในปี 2014
เพราะเอาเข้าจริง หลังขึ้นรับรางวัลออสการ์ แอนน์ ก็หายหน้าไปจากวงการชั่วคราว เธอไม่ได้มาปราฎตัวในเทศกาลภาพยนตร์ Sundance ในปีเดียวกัน
จนช่วงต้นปี 2014 HUFFPOST ถามถึงวันที่เธอหายไป แอนน์ตอบคำถามนี้ว่า “คนน่าจะต้องการพักการเห็นหน้าฉันบ้าง”
หลังจากนั้นไม่นาน เธอกลับมารันวงการอีกครั้งด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงของ ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ ในเรื่อง ‘Interstellar’ ต่อด้วย หนังรักดราม่าอบอุ่นหัวใจ Song One ที่ยังคงพิสูจน์ว่า แม้จะมีคำครหามากมาย แต่แอนน์ก็ยังเป็นนักแสดงคุณภาพ
เสียงคำพูดคนอื่น เธอไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ใช้ผลงานและตัวเธอทำให้เห็นว่า ในวงการที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความเกลียดชัง เธอคือผู้รอดชีวิตและสามารถยืนในวงการได้อย่างมั่นคง
“เรื่องราวทั้งหมดทำให้ฉันเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจและได้รับความรักมากขึ้นกว่าเดิม และฉันก็ไม่ได้รู้สึกสงสารตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว”
แอนน์กลับมาทำงานวงการเต็มตัวและฝากผลงานมากมาย ยกตัวอย่างเช่น the intern (2015), Ocean 8 (2018), Dark Water (2019),Mother’s Instinct (2024), และ The Idea of You (2024) รวมถึงการกลับมาทวงบัลลังก์นางเอกในใจคนผ่าน ‘The Devil’s Wear Prada 2’ ที่กำลังจะฉายในปี 2026
สำหรับแอนน์ เหรียญมีสองด้าน มีคนรักก็มีคนเกลียด และเมื่อมีคนเกลียดก็ไม่ใช่การนั่งจมจ่อมอยู่กับความทุกข์และกล่าวโทษตัวเอง แต่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาอย่างสง่างาม
“สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้ความอับอายหรือความเจ็บปวดมาปิดกั้นตัวตนของคุณ คุณต้องกล้าเผชิญหน้า ถึงแม้ว่ามันจะยาก เพราะเรามักจะคิดว่า ‘ถ้าฉันอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ไม่โดดเด่นเกินไป ก็คงไม่โดนทำร้าย’ ถ้าคุณคิดแบบนั้น ก็อย่ามาเป็นนักแสดงเลย”
“นักแสดงคือคนที่เดินอยู่บนเส้นลวดบาง ๆ คุณกำลังขอให้ผู้คนมอบเวลา เงิน ความสนใจ และความรู้สึกให้กับคุณ ดังนั้นสิ่งที่คุณตอบแทนกลับไป ต้องมีคุณค่าพอสมควร และถ้าสิ่งนั้นมันไม่เคยทำให้คุณต้องเสี่ยงหรือเสียอะไรเลย ถ้าเป็นแบบนั้น สิ่งที่คุณให้พวกเขาจริง ๆ มันมีค่าแค่ไหน”
แล้วเมื่อมองกลับไป วันนี้ แอนน์ แฮทธาเวย์ ในวัย 42 ปีบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นบทเรียนที่สอนชีวิตเธอว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราไม่สามารถตัดสินชีวิตใคร เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นตัวเอง
“เราสามารถตัดสินพฤติกรรมของใครบางคนได้ จะให้อภัยหรือไม่ ก็แล้วแต่ แต่เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสิน หรือเกลียดใคร เพียงเพราะเขาเป็นเขา” ถ้าคุณทำแบบนั้น แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจสิ่งสำคัญในชีวิตเลย”
“ฉันเชื่อว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับหัวใจที่รู้จักความรัก แต่เราเติบโตมาในสังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเจ็บปวดที่ไม่เคยถูกเยียวยา”
ดังนั้น ทุกความเกลียดชังที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต แอนน์เลือกที่จะมองให้เป็นบทเรียนของการเติบโต เรียนรู้ และเดินหน้าต่อ
"ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้มา และถ้าเรียนรู้ได้ ก็แปลว่าเราสามารถเรียนรู้เรื่องอื่นใหม่ได้เช่นกัน ทุกคนมีความคิด มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลง ฉันแค่หวังว่าผู้คนจะให้โอกาสตัวเองเรียนรู้ที่จะรักอีกครั้ง"
“ในแง่หนึ่ง มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับฉัน เพราะมันทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น เวลาที่เจอเรื่องแย่ ๆ อย่ากลัว จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และเดินต่อไป”
บางครั้งเราอาจควบคุมไม่ได้ว่าโลกจะพูดถึงเราอย่างไร แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือการเลือกตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร แอนน์เลือกที่จะตอบกลับด้วยความสงบ ความมั่นใจ และความรักในสิ่งที่เธอทำ
และนั่นคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่บอกกับทุกคนที่รักและเกลียดเธอ…
ภาพ : Getty Images, อินสตาแกรม @annehathaway
ที่มา
Anne Hathaway Says “Hathahate” Cost Her Roles, Then Came Christopher Nolan / The Hollywood Reporter
What Anne ‘Hathahate’ says about the internet’s empathy gap / sohohouse
Anne Hathaway says she learned to not 'live in fear' of hatred after internet backlash / today