อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

รู้จัก ‘อีบยองฮอน’ ฟรอนต์แมนจาก Squid Game ที่มีเรื่องราวชีวิตที่ต้องผ่านด่านสุดหินไม่ต่างจากเกมในซีรีส์ที่ผ่านทั้งจุดพุ่งทะยานและจุดตกต่ำ

KEY

POINTS

  • อีบยองฮอนเป็นนักแสดงระดับโลกที่มีผลงานสร้างชื่อในเกาหลีใต้และฮอลลีวู้ด
  • ชีวิตของเขามีเรื่องอื้อฉาวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาได้
  • อย่างน้อย ๆ วันนี้ ผู้คนก็จดจำเขาในฐานะนักแสดงมากฝีมือและฟรอนต์แทนจาก Squid Game ที่ฮิตไปทั่วโลก

ถ้าพูดถึงนักแสดงจากเกาหลีใต้ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็ต้องมีชื่อ ‘อีบยองฮอน' เป็นชื่อต้น ๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะเขามีผลงานมากมายหลากหลายแนว ทั้งงานหวังรางวัล ไปจนถึงแสดงในภาพยนตร์บล็อคบัสเตอร์ฮอลลีวู้ด และล่าสุดกับผลงานซีรีส์ Squid Game ที่ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเขากับบทบาท Front Man ผู้คุมเกมสุดเยือกเย็นและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ทำให้แม้ในวัย 54 ปีแล้วเขาได้กลายมาเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในบรรดาคนรุ่นใหม่และกลายเป็นที่รู้จักยิ่งกว่าเดิม 

เขาเป็นนักแสดงเกาหลีคนแรกที่ได้ทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ และเป็นนักแสดงเกาหลีคนแรกร่วมกับอันซองกิ เจ้าของฉายาสมบัติชาติของเกาหลีที่ได้ประทับรอบมือรอยเท้าที่ Grauman's Chinese Theatre ในฮอลลีวู้ดในงาน "Look East 2012 Korean Movie Festival" 

แต่ผู้ชายคนนี้มีมากกว่าหน้าตาที่หล่อเหลาและฝีมือที่ได้รับการยอมรับจากประเทศเกาหลีและระดับโลก ชีวิตของเขามีทั้งได้รับดอกไม้และคำสรรเสริญไปจนถึงก้อนอิฐจากคำด่าทอในเรื่องอื้อฉาว ชีวิตของเขามีทั้งจุดพุ่งทะยานและจุดตกต่ำราวกับเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ จึงอยากนำเรื่องราวชีวิตส่วนหนึ่งของเขามาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

เริ่มเข้าวงการ และการเป็นนักแสดงสายรางวัล 

เขาเริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่ปี 1991 จากการที่ช่อง KBS เปิดออดิชันหานักแสดงจนเขาได้เดบิวต์ผลงานแรกกับซีรีส์ Asphalt My Hometown ก่อนจะเริ่มเป็นที่สนใจในเรื่อง Asphalt Man และจากนั้นเขาก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่จุดพลิกผันสำคัญคือการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Joint Security Area (2000) ของผู้กำกับพัคชานอุค ที่ทำความสำเร็จด้านรายได้ทำเงินสูงสุดในตอนนั้น และได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ไปไกลถึงต่างชาติ ถึงขนาดที่ผู้กำกับ Quentin Tarantino (เควนติน แทแรนติโน) ยังจัดให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ 20 เรื่องโปรดของเขา  รวมถึงทำให้อีบยองฮอนได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Busan Film Critics Awards อีกด้วย  

ซึ่งในช่วงนี้ความนิยมของเขาไต่ระดับขึ้นสูงมากจากการแสดงในซีรีส์ Beautiful Days (2001) และหนังที่มีประเด็นความรักเพศเดียวกันอย่าง Bungee Jumping of Their Own (2001) ที่ต่อมาหนังได้ถูกนำมารีเมคเป็นเวอร์ชันไทยได้เรื่อง ดิวไปด้วยกันนะ ในปี 2019 

นอกจากนี้ยังมีซีรีส์ฮิตอย่างเรื่อง All-In ในปี 2003 ที่ทำให้เขาได้รับรางวัล นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเวที Baeksang Arts Awards ทำให้ความนิยมของเขาแพร่กระจายไปถึงกระเทศญี่ปุ่นและในเอเชีย 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

เสน่ห์เหลือล้นบนพรมแดงปูเส้นทางสู่ฮอลลีวู้ด 

ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของผู้กำกับ คิมจีอุน เรื่อง  A Bittersweet Life (2005) ซึ่งฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์นอกสายการประกวด เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อีบยองฮอนเข้าตาแมวมองฮอลลีวู้ด

บุคคลิกอันโดดเด่นตอนเดินพรมแดงของเขาทำให้สื่อต่างชาติแนะนำเขาว่า "ดาราเอเชียคนใหม่ที่มีเสน่ห์อันน่าหลงใหล" ระหว่างการฉายภาพยนตร์อีบยองฮอนได้ติดต่อกับเอเจนซี่ซึ่งมีข้อเสนอการทำงานในสหรัฐอเมริกา จากนั้นหนังเรื่องต่อไปของเขา The Good, the Bad, the Weird (2008) ก็ได้รับเลือกมาฉายในเทศกาลเมืองคานส์อีกครั้งทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกด้วยบทบาทวายร้ายสไตล์

"กิมจิเวสเทิร์น" แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถแสดงบทบาทได้หลากหลาย อย่างไรก็ตามข้อเสนอทำงานในฮอลลีวู้ดก็ไม่ได้มาทันที อีบยองฮอนต้องรอเวลาหลายเดือน ถึงจะได้เปิดตัวในฮอลลีวูดอย่างเป็นทางการในปี 2009 จากบท สตอร์ม ชาโดว์ ในภาพยนตร์ G.I. Joe: The Rise of Cobra  บทบาทนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างสถานะ "ดาราระดับนานาชาติ"

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

 

อุปสรรค์อย่างแรกที่อีบยองฮอนต้องเผชิญก็คือการต้องพูดบทภาษาอังกฤษ เขาบอกว่าการมาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่ตอนอายุจะ 40 ปี มันไม่ง่ายเลยแม้เขาจะเรียนเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยและเข้าเรียนที่ศูนย์ภาษาในกรุงโซลเป็นเวลาสองปีเมื่ออายุ 18 ปี  แต่พอมาทำงานในอเมริกาเขาต้องพึ่งญาติที่พูดภาษาอังกฤษในลอสแอนเจลิสและซีแอตเทิลช่วยปรับสำเนียงการพูดให้เป็นธรรมชาติ และเขาก็ตั้งใจฝึกฝนอย่างเข้มข้นเพื่อให้พูดได้คล่องเพราะไม่อยากเป็นภาระกองถ่าย จนเขาได้รับคำชมจากทุกคนในกองว่านอกจากทักษะการแสดงที่น่าทึ่ง เขายังมีจรรยาบรรณในการทำงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ทุกคนอยากร่วมงานกับเขาอีก

การแสดงของเขาถูกชมบ่อยๆว่าเป็นจอมขโมยซีน เพราะมีสไตล์การแสดงที่ละเอียดอ่อนเน้นการเคลื่อนไหวของดวงตาและภาษากาย เขาสามารถสลับการพูดแต่ละภาษาได้อย่างรวดเร็วและ เปลี่ยนบุคลิกได้อย่างหน้าทึ่งจากการพูดคำขู่ที่ชวนขนลุก แต่วินาทีต่อมาเขาก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกใจสลาย 

หลังจาก G.I. Joe: The Rise of Cobra ออกฉายหนังสามารถทำเงินไปกว่า 300 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก และ อีบยองฮอน คือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเป็นที่รู้จักในผู้ชมเอเชียด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการเซ็นสัญญาให้แสดงหนังภาคต่ออีก 2 ภาค

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

ชีวิตมีขึ้นมีลง 

ในช่วงที่อาชีพการงานของเขากำลังไปได้รุ่ง เขาเองก็ต้องผ่านดราม่ามาหลายครั้งทั้งในปี 2009 ที่โดนอดีตแฟนสาว ควอนมียอน ฟ้องเรื่องถูกลอกลวงให้คบหากันด้วยสัญญาว่าจะได้แต่งงานทำให้เธอเสียสุขภาพกายและใจอย่างหนักที่เขาไม่ได้ทำตามสัญญาและยังอ้างอีกว่าเขามีปัญหาการเป็นนักพนัน และเรียกร้องเงินจากเขา 100 ล้านวอน รวมถึงปล่อยภาพยืนยันความสัมพันธ์ว่าเคยคบกับเขา  แต่ทางต้นสังกัด BH Entertainment ก็ฟ้องกลับทำให้ชื่อเสียงเสียหายในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงอีกทั้งเป็นการบิดเบือนอันเนื่องมาจากการยุติความสัมพันธ์ ซึ่งอีบยองฮอนก็ได้เขียนจดหมายชี้แจงกับแฟนคลับด้วยตัวเองว่าว่าในข่าวที่เกิดขึ้นมีหลายส่วนที่ถูกแต่งเติมและไม่เป็นความจริง 

ซึ่งช่วงนี้มีปัญหาอิรุงตุนังเมื่อมีอดีตนักเบสบอลและพิธีกรรายการโทรทัศน์คังบยองกยู ไปสร้างความวุ่นวายในกองถ่ายซีรีส์เรื่อง Iris อีบยองฮอนแสดง จนมีการทำร้ายร่างกายกันในกองถ่าย แม้ว่าจะไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายกับอีบยองฮอนโดยตรง แต่เขาทะเลาะกับโปรดิวเซอร์ชื่อว่า “J” ของซีรีส์ Iris ที่ไปปล่อยข่าวลือกับว่าคังบยองกยูมีส่วนพัวพันเกี่ยวกับการแบล็คเมล์ระหว่างควอนมียออนกับอีบยองฮอนเรื่องความรักอับปาง แม้ว่าเรื่องราวจะจบลงในปี 2010 ที่ควอนมียอนไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆทั้งสิ้นเพราะอัยการปัดตกข้อกล่าวหาของเธอและอีบยองฮอนพ้นมลทินเรื่องโดนกล่าวหาว่าเป็นนักพนันเพราะไม่มีหลักฐานมากเพียงพอ

ส่วนคังบยองกยูโดนข้อหาทำร้ายร่างกายและฉ้อโกง(จากคดีฉ้อโกงนาฬิกาหรูที่ไม่เกี่ยวกับคดีนี้) ได้รับโทษจำคุกหนึ่งปีครึ่งแต่ได้ลงอาญา 3 ปี ซึ่งต่อมาในปี 2025 นี่เอง คังบยองกยูเพิ่งได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวฝั่งเขาว่าไม่รู้ว่าเขาไปโดนโยงกับอีบยองฮอนได้ยังไงเพราะไม่เคยเจอกันเลยด้วยซ้ำ และเขาเองซะอีกที่โดนข่าวว่าไปทำร้ายร่างกายอีบยองฮอน  กลายเป็นว่าเขาเป็นฝั่งผิดทั้งๆ ที่โปรดิวเซอร์ต้นเรื่องนั่นแหละที่สร้างความวุ่นวาย รวมถึงเล่าวว่าตอนขึ้นศาลอีบยองฮอนก็แทบไม่ชายตามองเขาเลยด้วยซ้ำไป 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

Blackmail เปลี่ยนชีวิต 

ปี 2013 -2014  อีบยองฮอนมีชื่อเสียงโดดเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านบทบาทในภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ทั้ง G.I. Joe: Retaliation , Red 2 และ Terminator Genisys  เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในเกาหลีใต้ ด้านชีวิตส่วนตัวในเดือนสิงหาคมปี 2013 เขาแต่งงานกับนักแสดงสาวสวย “อีมินจอง” ซึ่งรู้จักกันมาอย่างยาวนานมีงานแต่งงานสุดโรแมนติกที่มีคนในวงการไปแสดงความยินดีล้นหลามและออกข่าวดังไปทั่วโลก 

ผ่านไป 1 ปีในเดือนกรกฎาคม 2024 ขณะที่อีมินจองภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกอีบยองฮอนกำลังเตรียมตัวเป็นคุณพ่อมือใหม่ แต่แล้วภาพลักษณ์พระเอกเบอร์หนึ่งของเขาก็พังทลายลงไม่มีชิ้นดีจากการกระทำของเขาเอง เมื่อเขาถูกหญิงสาวอายุคราวลูกออกมาแฉว่าเขาเคยทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมซึ่งส่อไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศกับพวกเธอ เมื่อข่าวออกมาอีบยองฮอน ถูกสังคมประณามอย่างรุนแรงเพราะละเมิดศีลธรรมอันดีและขัดต่อค่านิยมของครอบครัวที่ยึดถืออย่างเคร่งครัดในสังคมเกาหลี

เขาถูกตราหน้าว่ามีพฤติกรรมนอกใจในขณะที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่ก่อนที่เขาถูกสาปจนลงนรกเขากลับมีวิธีแก้เกมที่ไม่มีใครคาดคิด  อีบยองฮอนฟ้องกลับพร้อมเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวเอง สุดท้ายผู้กล่าวหาทั้งสองต้องเข้าคุก

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

ไทม์ไลน์คดีแบล็กเมลสะเทือนวงการเริ่มต้นดังนี้ วันที่ 1 กรกฎาคม 2014 อีบยองฮอนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอีจียอน นางแบบสาววัย 25 ปี และคิมดาฮี สมาชิกวงไอดอล GLAM วัย 20 ปี ผ่านเพื่อนคนหนึ่งที่งานเลี้ยงแห่งหนึ่ง  ต่อมา ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2014 อีบยองฮอนได้พบกับอีจียอนที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ และดาฮีได้ตามมาร่วมในภายหลัง 

ระหว่างการพบกันครั้งนั้น  อีบยองฮอนเล่นเกมไพ่กับหญิงสาวทั้งสองซึ่งนำไปสู่บทสนทนาที่"ไม่เหมาะสม" และคิมดาฮี แอบบันทึกเสียงของอีบยองฮอนเอาไว้ โดยคำถามเหล่านั้นมีทั้ง "คุณมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกเมื่อไหร่?", "ส่วนไหนของร่างกายผู้ชายที่ทำให้คุณตื่นเต้น?", และ "คุณชอบใบหน้าหรือร่างกายมากกว่ากัน?" อีกทั้งมีบทสนทนาที่น่าสงสัยในเจตนาของอีบยองฮอนที่มีต่ออีจียอน เพราะเขาเสนอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายให้อีจียอนเป็นเวลาหนึ่งปีและให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งเธอปฏิเสธ 

ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2014 ดาฮีและอีจียอนส่งจดหมายแบล็กเมล์อีบยองฮอนเป็นเงิน 5 พันล้านวอน 

(ประมาณ 120 ล้านบาทไทย) โดยขู่ว่าจะปล่อยวิดีโอหลักฐานการโต้ตอบ สองสาวฝันหวานถึงชีวิตใหม่ แต่ฝันนั้นก็ต้องจบลงเมื่ออีบยองฮอนได้รายงานเรื่องนี้ต่อตำรวจเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2014 เพราะเขาได้รับกระเป๋าเดินทาง 2 ใบที่สั่งให้เขาถอนเงินมาใส่ในกระเป๋านี้ ทางตำรวจจึงเข้าจับกุมดาฮีและอีจียอน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2014 และพบว่าพวกเธอได้เตรียมหนังสือเดินทางและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงการพิจารณาคดี ซึ่งกินเวลานานตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2014 ถึงมกราคม 2015 

ระหว่างนั้นดาฮีและอีจียอนได้ยื่นจดหมายขอโทษหลายฉบับเพื่อขอลดโทษ วันที่ 15 มกราคม 2015 ศาลกลางกรุงโซลได้ตัดสินจำคุกคิมดาฮี 1 ปี และอีจียอน 1 ปี 2 เดือน ในข้อหาแบล็กเมล์ แต่หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 2015  อีบยองฮอนได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ลดโทษจำคุกทั้งสองคน โดยพวกเธอถูกตัดสินให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี เขาอ้างต่อศาลว่าสิ่งที่ทั้งสองทำไปเป็นเพราะยังเด็กมีความคิดที่ไม่รอบคอบและตัวเขาก็มีความผิดที่ไม่ระมัดระวังตัว และตลอดระยะเวลาทั้งหมดทั้งสองถูกขุมขังอยู่เป็นเวลา 6 เดือนนั้นมากเพียงพอแล้ว สุดท้ายหญิงสาวทั้งสองต้องรับกรรม "ตราบาปที่คงอยู่"  และอาชีพนางแบบของอีจียอนก็ต้องจบไป นอกจากนี้ วง GLAM ของดาฮีก็ถูกยุบวงด้วย

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

สังคมชายเป็นใหญ่ ? ที่ทำให้อีบยองฮอนได้รับโอกาสอีกครั้ง   

ในช่วงเกิดเหตุความวุ่นวายต่างๆ อีบยองฮอน อาศัยอยู่ที่อเมริกาตลอดโดยอ้างว่ายังติดภารกิจเรื่องการทำงาน ส่วนอีมินจองย้ายไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอ แม้มีรายงานว่าอีบยองฮอนพยายามง้อและขอโทษเธอมาตลอดแต่เธอก็ไม่ตอบรับใดๆ ด้าน BH Entertainment ต้นสังกัดของอีบยองฮอนจะยืนยันว่าความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงทั้งสองไม่มีอะไรเกินเลย แต่หลักฐานแบล็กเมล์ที่หลุดออกมาในช่วงนั้น ก็มีข้อความที่อีบยองฮอนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมชัดเจย และส่อไปในทาง"เจ้าชู้" เพราะเขาได้เสนอของขวัญแก่อีจียอน จนถูกชาวเน็ตตั้งฉายาว่า  "อีซานต้า" ล้อเลียนความเป็นหนุ่มใหญ่ใจโตเปย์สาวๆ ของเขา 

ในช่วงนั้นภาพลักษณ์ของอีบยองฮอนได้รับผลกระทบอย่างมาก แฟนๆ และผู้สนับสนุนเริ่มตีตัวออกห่างมีการถอดโฆษณาของเขาออก และมีการรณรงค์เรียกร้องให้เปลี่ยนตัวเขาใน โฆษณา ภาพยนตร์  "Memories of the Sword" ซึ่งถ่ายทำตั้งแต่ปลายปี 2013 และมีกำหนดฉายในปี 2014 ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2015 เนื่องจากเรื่องอื้อฉาว  

อย่างไรก็ตามอีบยองฮอนได้ออกจดหมายขอโทษต่อสาธารณชนเขียนด้วยลายมือแสดงความจริงใจ พร้อมทั้งขอโทษทีมงานภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยยอมรับว่าภาพยนตร์ควรจะฉายเร็วกว่านี้แต่ไม่สามารถทำได้ และแสดงความเสียใจต่อผู้สร้างภาพยนตร์ 

เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2015  อีบยองฮอนกลับเกาหลีใต้พร้อมภรรยา ซึ่งที่สนามบินมีนักข่าวไปรอเก็บภาพ อย่างล้นหลาม  อีมินจองได้เดินแยกตัวออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยปล่อยให้อีบยองฮอนแสดงความสำนึกผิดต่อสาธารณะด้วยตนเอง  

หลังจากนั้นอีบยองฮอนก็เดินหน้าออกสื่อเพื่อแก้ไขความผิดของเขาอย่างเต็มที่ แต่ก็มีความเห็นจากสังคมบางส่วนว่านี่คือกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมีการคำนวณไว้ล่วงหน้าโดยมีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงของภาพลักษณ์ของเขาในสายตาของสาธารณชน การแสดงออกถึงการสำนึกผิด ทำให้เขาดูว่าเป็นเพียงเหยื่อของอาชญากรรม และอาจช่วยลดผลกระทบเชิงลบได้บ้างแม้เขาจะไม่ใช้ผู้บริสุทธิ์เต็มร้อย การที่เขาขอลดโทษให้สองสาวนั้นทำให้เขาดูเป็นคนใจกว้างให้อภัยผู้กระทำผิด  แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขายังทำงานของเขาอย่างเต็มที่จนภาพยนตร์เรื่อง  "Inside Men" (2015) ที่ออกฉายหลังมีข่าวฉาวเป็น ภาพยนตร์เรต R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในบ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลีหนังได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ชมด้วยคำชื่นชมว่า "นั่นคืออีบยองฮอนของเรา" 

ชาวเน็ตต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในแง่บวกต่อเขามากขึ้น โดยชมว่า แม้เขาจะเคยทำผิดพลาดแต่เขาก็ยังรักษาฝีมือการแสดงไว้อย่างดีเยี่ยม และพยายามอย่างหนักไม่ให้เรื่องอื้อฉาวส่งผลกระทบต่องานหรือเพื่อนร่วมงาน  อีกทั้งเขายังพยายามชดเชยความผิดกับภรรยาเขาออกสื่อขอโทษและขอบคุณเธอทุกครั้งที่มีโอกาส และเมื่อเธอคลอดลูกชายคนแรก เขาก็ให้เวลากับเธออย่างเต็มที่

จากนั้นเขามีงานที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับหนังแอ็คชั่นสอบสวน Master (2016) ที่ทำรายได้ไปถึง 65,000 ล้านวอน และยังกลับไปทำงานฮอลลีวู้ดเรื่อง The Magnificent Seven (2016) ที่ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี แฟนๆหลายคนจึงให้อภัย

อย่างไรก็ตาม มีบทความวิเคราะห์ออกมาว่าการที่อีบยองฮอน ได้รับการให้อภัยนั้นเป็นแค่สิทธิพิเศษของการเป็นผู้ชายซึ่งเป็นเรื่องปกติของสังคมชายเป็นใหญ่ของเกาหลีใต้ การทำผิดในรูปแบบนี้หากเกิดกับนักแสดงหญิง พวกเธอจะไม่มีแม้แต่โอกาสแสดงความบริสุทธิ์หรือเผยหลักฐานจากฝั่งตัวเอง แต่จะโดนรุมประณามจนไม่มีที่ยืนในสังคม แต่หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เป็นผู้ชายซึ่งมีบารมีในวงการ เขาจะได้รับโอกาสเสมอ โดยสังคมจะใช้คำพูดว่าสามารถ “แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน” ได้หากเขารับผิดชอบงานได้ก็พอแล้ว  จนสุดท้ายความผิดอันอื้อฉาวของอีบยองฮอนก็เลือนหายไปตามการเวลา และเขาก็เดินหน้าทำงานต่อจนกลับมาสู่เวทีระดับโลกด้วยบทบาทในซีรีส์ "Squid Game”

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

Squid Game เกมบันลือโลก

หนึ่งในซีรีส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกลายเป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดของ Netflix และยังได้รับรางวัลมากมาย สร้างชื่อให้กับผู้กำกับ ฮวังดงฮยอก และนักแสดงมากมายหลายคนรวมถึง อีจองแจ ผู้รับบทซองกีฮุน ผู้เล่นหมายเลข 456 แต่ในซีซันแรกนั้น อีบยองฮอนได้เข้ามาร่วมแสดงในฐานะ Front Man โดยที่ตอนนั้นเขาเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในฐานะนักแสดงเกาหลีที่มีผลงานระดับโลก แม้ว่าในการคัดตัวนักแสดงนั้นเขาต้องเก็บเป็นความลับไม่สามารถบอกใครได้เนื่องจาก “ Netflix ขอให้ผมเก็บเป็นความลับครับ ผมไม่ได้บอกใครเลยแม้กระทั่งเพื่อนสนิทหรือแม่ของผมเอง จนกระทั่งวันที่ Squid Game ออกฉาย แม่โทรมาด่าผมว่า แกไม่ได้บอกแม่ได้ไง!”

อีบยองฮอน เล่าผ่านรายการ The Tonight Show Starring Jimmy Fallon ว่าตอนแรกที่เขาได้อ่านบทซีรีส์เรื่องนี้ เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก 

“มันมีโครงสร้างเรื่องราวที่ไม่เหมือนใคร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นงานทดลองมากเกินไป ตอนนั้นผมก็คิดว่าเรื่องนี้ถ้าไม่ฮิตระเบิด ก็คงเจ๊งยับเลยครับ”

และแน่นอนว่าผลตอบรับที่ออกมาเรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ จนได้สร้างซีซัน 2 และ 3 (ถ่ายทำพร้อมกัน) ตามมาซึ่งบท Front Man ของอีบยองฮอนได้รับการเล่ามากขึ้น 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

กระแส #457 #หนึ่งท้าย จิ้นฟินจน Netflix เอามาขาย 

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าประเทศที่ไม่สนับสนุน LGBTQ อย่างประเทศเกาหลีใต้จะสามารถสร้างคู่จิ้นที่เรียกได้ว่าฮิตไปทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นสาววายหรือไม่ได้เป็นแต่ Squid Game ซีซัน 2 เมื่อได้เผยแพร่ออกมาทำให้หลายคนจับได้ถึงกระแสมวลบางอย่างระหว่างตัวละครซองกีฮุนกับ Front Man ที่แอบมาร่วมเล่นเกมด้วย ทำให้เกิดกระแสกลั้นเหยินไม่ไหวต่อเรือจิ้นกันทั่วโลก จนเรียกเป็นคู่จิ้น #457 (ตามหมายเลขของผู้เล่น 001 และ 456 บวกกันได้ 457) ส่วนในไทยใช้ชื่อคู่ว่า #หนึ่งท้าย

กระแสนี้รู้ถึงผู้กำกับฮวังดงฮยอก ที่เขาก็ได้เห็นแฟนๆ เอาไปผลิต video fanmade และ fan art มากมายจึงได้เอาไปส่งต่อให้นักแสดงทั้งอีบยองฮอนและอีจองแจได้ดูด้วย ซึ่งแม้ว่าทั้งสองคนจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับการจิ้นความสัมพันธ์นี้ เพราะว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานานแล้วในฐานะนักแสดง แม้ว่าจะเพิ่งได้มาแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรกจากซีรีส์นี้ที่ในซีซัน 2และ 3 ที่ได้ถ่ายทำร่วมกันหลังจากซีซันแรกไม่ได้เข้าฉากกัน แต่การถ่ายทำทั้ง 2 ซีซันนี้เองก็ทำให้ทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน 

อีบยองฮอนได้ให้สัมภาษณ์กับ India Today Digital ว่า “มันน่าแปลกใจที่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้แสดงเคียงข้างกันจริง ๆ เราทั้งสองคนต่างเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มาแล้ว เรารู้จักกันมานานตลอดอาชีพการทำงานของพวกเรา แต่ได้มาได้เชื่อมโยงกันฐานะเพื่อน นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นจะต้องทุ่มพลังเพิ่มเติมเลยในการร่วมมือกันในการแสดง มันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ”

นอกเหนือจากการแสดงหลังกล้องพวกเขาก็ใช้เวลาว่างพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ทำให้ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น  

ส่วนเรื่องตัวละคร Front Man ของเขาที่ดูมีความหมกมุ่นคลั่งไคล้กีฮุนเป็นพิเศษ เขาอธิบายว่า “ตอนที่ผมแสดงมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องให้ความสนใจกับกีฮุนครับ มันเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่แล้ว เพราะว่าผมเองก็เคยเป็นผู้ชนะเกมนี้มาก่อนแบบเดียวกับเขา เราสองคนต่างได้ผ่านกระบวนการนี้มาเหมือนกัน ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการจะสิ้นหวังต่อมนุษยชาติ และมันเป็นธรรมชาติของโลกที่เป็นแบบนี้ ผมคิดในมุมมองในแง่ร้ายว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเมื่อได้เห็นกีฮุน กลับเข้ามาเพื่อที่จะทำลายระบบนี้มันดึงดูดความสนใจของผม ผมได้พบว่าตัวเองคอยจับตาดูเขาแบบเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่เมื่อตอนที่ผมเข้าร่วมแข่งขันด้วย ผมได้สังเกตเขาจากมุมมองด้านข้าง และนั่นบางทีมันอาจจะทำให้ Front Man แอบมีความหวัง เพราะเขาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน คำพูดของกีฮุนอาจจะถูกต้องก็ได้ ผมแสดงโดยที่คิดว่าบางทีแล้วในส่วนลึกของเขามีส่วนที่เขาคอยเชียร์กีฮุนอยู่”

ส่วนเรื่องกระแสการจิ้นนั้น ทั้งอีจองแจและอีบยองฮอน ได้ปล่อยให้หน้าที่ฟินเป็นของแฟนคลับและให้ได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เอาเองในซีรีส์ ซึ่ง Netflix ก็รับลูกเสิร์ฟฉ่ำไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทต่าง ๆ ของซีซัน 3 ก็ให้อีจองแจและอีบยองฮอน จับคู่กันโปรโมทอยู่เสมอ รวมถึงภาพถ่ายโปรโมทซีซัน 3 ที่ Netflix ใหญ่เสิร์ฟคู่ 457 ให้อย่างเป็นทางการ 

Netflix ไทยชงในซีซัน 2 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

 

Netflix เสิร์ฟ ในซีซัน 3 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

สุดท้ายแล้ว Squid Game ก็ได้จบลงแต่ตัวละครและเรื่องราวต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ในใจของผู้ชมต่อไปและได้ดำเนินต่อไปในฐานะแรงบันดาลใจที่ทำให้ได้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มากมายจนกลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทรงอิทธิพลระดับโลก อีบยองฮอน ได้พูดถึงการได้ทำงานในซีรีส์นี้ด้วยความขอบคุณว่า 

“ผมทำงานในวงการมากว่า 30 ปีแล้ว ผมได้ร่วมแสดงหนังฮอลลีวู้ดบล็อคบัสเตอร์หลายเรื่องแต่สควิดเกมเป็นเรื่องของเกาหลี สร้างโดยผู้กำกับชาวเกาหลี ใช้นักแสดงชาวเกาหลี และใช้ภาษาเกาหลี ตอนที่ผมได้มาโปรโมทที่ LA และ New York เป็นครั้งแรก ผมช็อคไปเลยกับการตอบรับของแฟนคลับ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากและผมรู้สึกภูมิใจด้วยครับ” 

ผลงานต่อไป 

ในช่วงที่โด่งดังจาก Squid Game อีบยองฮอนเองก็มีผลงการแสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของเกาหลีอย่าง Emergency Declaration (2021) รวมถึง Concrete Utopia (2023) ที่ได้เป็นตัวแทนภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีใต้ส่งชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และมีซีรีส์เรื่อง Our Blues (2022) 

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์

ส่วนปี 2025 ก็นับว่าเป็นปีทองของอีบยองฮอนอีกหนึ่งปีเพราะว่าเขามีทั้งผลงานหนังเรื่อง The Match หนังที่เล่าเรื่องราวของนักเล่นโกะ (หมากล้อม) ชื่อดังของเกาหลี ที่แม้ว่าจะถ่ายไว้นานแล้ว แต่ได้มาฉายทาง Netflix ในปีนี้เพราะหนึ่งในนักแสดงนำคือยูอาอินมีคดียาเสพติด จนต้องเลื่อนการเผยแพร่ออกไป แต่เดิมกำหนดคือปี 2023

นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีแอนิเมชัน Kpop Demon Hunters ที่เขาพากย์เสียงเป็น Gwi-ma จอมปีศาจวายร้ายของเรื่อง ที่แอนิเมชันเรื่องนี้ก็ฮิตไปทั่วโลกและติดชาร์ตเพลงได้ระดับปรากฎการณ์ เรียกได้ว่าเขามีผลงานมาเสิร์ฟให้ชมกันตลอด

อีบยองฮอน : นักแสดงระดับโลกที่ชีวิตขึ้นลงเหมือนโรลเลอร์โคสเตอร์  

ส่วนผลงานโปรเจคใหม่ คือเรื่อง "No Other Choice" หนังสืบสวนทริลเลอร์ของผู้กำกับ พัคชานอุค เป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งที่สามหลังจากที่ทำให้เขาได้สร้างชื่อจากหนัง Joint Security Area (2000) และร่วมงานกับใน Three... Extremes หรือ อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต 2 (2002) หนังสยองขวัญ 3 ชาติ 3 ความหลอน  ในตอน" Cut" 

"No Other Choice" ร่วมแสดงโดย ซนเยจิน พัคฮีซุน อีซองมิน ยอมฮเยรัน ชาซึงวอน และยูยอนซอก ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง The Ax ของ  Donald Westlake เล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ถูกไล่ออกจากที่ทำงานที่เขาทำมานานถึง 25 ปี เขาต้องดิ้นรนสุดชีวิตที่จะปกป้องครอบครัวของเขาเอาไว้ให้ได้ 

 

ภาพ : Netflix, อินสตาแกรม byunghun0712, BH Entertainment

 

อ้างอิง

Lee Byung-hun Teases Squid Game Final Season Spoilers and Shares Why His Son Thought He Was Evil / The Tonight Show Starring Jimmy Fallon

Kang Byung Gyu “Assault Lee Byung Hun on the set of ‘Iris’? Here’s what really happened” / Kbizoom  

Kang Byeong-gyu and Lee Byung-hun have never met unfairly in the assault case, and K stops the police report (controversy) / Sports Chosun 

Lee Byung-hun plans a lawsuit / Korea JoongAng Daily 

“I felt bad while filming this scene.” Lee Byung-hun every scene in Squid Game, probably. / Squid Game 

Is ‘Squid Game’ Over? The Disappointing Season 4 Update And Status Of American Version / Forbes 

Will Squid Game Return for Season 4? It’s Game Over / Netflix 

Exclusive: Lee Byung-hun on Lee Jung-jae, Squid Game 2, working in Bollywood / indiatoday

Interview | Lee Byung-Hun on Squid Game Season 3, the global reception and starring alongside Lee Jung-jae / THE HINDU 

The Real Story About SeeU's Voice provider Scandal, Full story(She never went to jail) and more / reddit

Lee Byung-hun contemplates betrayal, revenge / Korea JoongAng Daily

สาวงัดภาพแฉรู้จักกันจริงด้าน"ลีบยองฮุน"เซ็งขอเงียบดีกว่า / MGR Online