‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ชีวิตของ ‘เดมี มัวร์’ นักแสดงหญิงระดับตำนาน ที่ผ่านประสบการณ์อันน่าสะพรึงและแสนเศร้าไม่แพ้บทหนังดรามาเรื่องใดของฮอลลีวูด

KEY

POINTS

  • เดมี มัวร์ เติบโตมาอย่างยากลำบาก เพราะมีพ่อแม่เป็นผู้เปราะบางทางอารมณ์ และเคยถูกชายแก่ข่มขืนตอนอายุเพียง 15 ปี 
  • เธอออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี และแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่วงการนางแบบ และภาพยนตร์
  • ชีวิตแต่งงานทั้ง 3 ครั้งของเธอ จบลงด้วยการหย่าร้าง แต่เธอยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับสามีคนที่สองคือ ‘บรูซ วิลลิส’ 
     

‘เดมี มัวร์’ เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เริ่มต้นจากอาชีพนางแบบ ก่อนกรุยทางมาเรื่อย ๆ กระทั่งกลายเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดในยุค 90s ขณะที่ในยุค 2000s ชื่อเสียงของเธอก็ไม่เคยห่างหายไปจากสื่อ โดยเฉพาะข่าวคราวการคบหากับ ‘แอชตัน คุชเชอร์’ นักแสดงรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่า 15 ปี 

ในปี 2024 มัวร์หวนคืนจออีกครั้งในบทของ ‘แอน วูดเวิร์ด’ ในซีรีส์เรื่อง ‘Feud: capote Vs. The Swans’ 

แต่กว่าจะประสบความสำเร็จและกลายเป็นดาวค้างฟ้าอย่างทุกวันนี้ ชีวิตของมัวร์ไม่มีคำว่า “ได้อะไรมาง่าย ๆ” เธอเผชิญโศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครในช่วงวัยเด็ก และดูเหมือนแผลในวันนั้นจะติดตัวเธอมาตลอดชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ 

ในหนังสือบันทึกความทรงจำที่ชื่อว่า ‘Inside Out’ มัวร์ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันน่าสะพรึงและแสนเศร้าไม่แพ้บทหนังดราม่าเรื่องใดของฮอลลีวูด

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ภาพจากอินสตาแกรม Demi Moore

ชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก

‘เดมี มัวร์’ ซึ่งเดิมมีชื่อว่า ‘เดมีเทรีย จีน กายเนส’ เกิดที่เมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1962 ท่ามกลางอุปสรรคนานับประการก่อนจะเจิดจรัสในฐานะ “นักแสดงหญิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวูด”

พ่อแม่ของเธอค่อนข้างมีปัญหาทางอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอต้องรับหน้าที่ดูแลบ้านตั้งแต่ยังเด็ก พร้อม ๆ กับการต้องย้ายบ้านหลายต่อหลายครั้งเพราะความจน

“ฉันคิดว่า ฉันจะทำตัวมีปัญหาไม่ได้ เพราะฉันจะกลายเป็นภาระมากเกินไป ฉันไม่มีเงิน พวกเขา (พ่อแม่) ก็ไม่มีเงิน” มัวร์ให้สัมภาษณ์ ‘Vanity Fair’ เมื่อปี 1991 

ด้วยความที่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองแต่เด็ก จึงทำให้มัวร์รู้สึกว่าตัวเองถูกละเลยและไร้ความสำคัญ 

สถานการณ์ในครอบครัวยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเธอเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เธอเล่าในหนังสือว่า ตอนอายุ 12 ปี พ่อได้ขอให้เธอช่วยเหลือแม่ที่เสพยาเกินขนาด โดยเธอต้องใช้นิ้วเล็ก ๆ ของตัวเอง คว้านเอายาที่อยู่ในปากของแม่ออกมา ในขณะที่พ่อพยายามง้างปากของแม่ให้เปิดออก 

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล และเธอคิดว่าวัยเด็กของตัวเองได้จบสิ้นแล้ว

ทั้งปัญหายาเสพติดและปัญหาเรื่องเงินในครอบครัว ส่งผลให้แม่ของเธอมีปัญหาสุขภาพจิต และพยายามจบชีวิตตัวเองหลังจากนั้นอีกหลายครั้ง 

แผลในใจของมัวร์ไม่ได้มีแค่นั้น ในช่วงวัยรุ่นเธอยังได้ล่วงรู้ความจริงอีกว่า ผู้ชายที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กนั้นไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิดของเธอจริง ๆ อีกทั้งแม่ของเธอก็ไม่ยอมปริปากว่าพ่อที่แท้จริงของเธอเป็นใคร ซึ่งทำให้มัวร์ถึงกับช้อกมากที่ได้รู้

สาเหตุที่ทำให้มัวร์รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่กับพ่อจริง ๆ เพราะเธอได้เห็นทะเบียนสมรสพ่อแม่ ซึ่งระบุว่าทั้งคู่แต่งงานกันในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1963 ขณะที่มัวร์เกิดปี 1962 เธอจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของชายที่เธอเรียกว่าพ่อมาตลอดชีวิต และแม่ของเธอก็ยอมรับตามตรงว่าเธอเป็นลูกที่เกิดกับสามีเก่า

พ่อแท้ ๆ ของเธอมีชื่อว่า ‘ชาร์ลส์ ฮาร์แมน’ เป็นพนักงานที่อาศัยอยู่ในรัฐเท็กซัส ทั้งคู่ได้พบกันระหว่างที่มัวร์ไปเยี่ยมป้าคนหนึ่งที่รัฐเท็กซัส เธอดีใจมากที่ได้พบพ่อ และได้รู้ว่าพ่อก็อยากเจอเธอมาตลอด แต่ถูกแม่กีดกันไว้ จนเขาไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่ายของเธอด้วยซ้ำ

เหยื่อล่วงละเมิดทางเพศ

ตอนที่เดมี มัวร์ มีอายุเพียง 15 ปี เธอตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศที่น่าสยดสยอง เธอถูกชายแก่คนหนึ่งข่มขืน ชายแก่คนนั้นเป็นคนที่ทั้งเธอและแม่ก็รู้จัก และสิ่งที่สยดสยองยิ่งกว่าการถูกข่มขืนคือการได้รู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าของตัวเองเป็นคนจัดการเรื่องนี้ 
 

มัวร์เขียนถึงเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจในหนังสือว่า “มันเป็นการข่มขืน และการทรยศหักหลังที่เจ็บปวดแสนสาหัส” เหตุที่เธอรู้ว่าแม่อยู่เบื้องหลัง เป็นเพราะชายแก่ตัณหากลับบอกเธอว่า แม่ของเธอได้เงินไป 500 ดอลลาร์

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ ‘ไดแอน ซอว์เยอร์’ มัวร์กล่าวว่า ไม่ว่าจะอย่างไร แม่ของเธอก็ต้องรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นเพราะว่า “แม่ปล่อยให้เขาเข้ามาและทำให้ฉันตกอยู่ในอันตราย” 

แต่งงานตอนอายุ 18 ปี

เมื่ออายุเพียง 16 ปี เธอตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และพออายุได้18 ปี เธอก็แต่งงานกับสามีคนแรกคือ ‘เฟรดดี้ มัวร์’ นักดนตรีร็อควัย 34 ปี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ราบรื่นนัก มัวร์ยอมรับในภายหลังว่าเธอใช้การแต่งงานครั้งนี้เพื่อเบี่ยนเบนความสนใจจากความเศร้าโศก หลังจากที่พ่อเลี้ยงของเธอจบชีวิตตัวเอง แถมเธอยังนอกใจเฟรดดี้ในคืนก่อนแต่งงานด้วย คืนนั้นเธอแอบออกมาจากงานปาร์ตี้สละโสดของตัวเอง และไปที่อพาร์ตเมนต์ของผู้ชายที่เธอเคยเจอในกองถ่ายหนัง

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ภาพจากอินสตาแกรม the80s.guy

ระหว่างใช้ชีวิตคู่กับสามี ด้วยความบังเอิญที่บ้านสามี อยู่ใกล้กับบ้านของ ‘นาสตาสยา คินสกี’ นักแสดงและนางแบบชาวเยอรมัน มัวร์จึงได้แรงบันดาลใจในการเดินหน้าเข้าสู่อาชีพนางแบบและนักแสดง เธอเริ่มจากการเป็นนางแบบ ก่อนจะไต่เต้าไปสู่วงการภาพยนตร์ เริ่มต้นจากการเล่นหนังเรื่องสยองขวัญไซไฟเรื่อง ‘Parsite’ (1982) ตามด้วยการแสดงละครเรื่อง ‘General Hospital’ ก่อนจะไปเล่นหนังเรื่อง ‘Blame It On Rio’ (1984) และอีกเรื่องที่เล่นในปีเดียวกันคือ ‘St Elmo’s Fire’ ซึ่งทำให้เธอเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์มากขึ้น 

ในเวลานั้น เธอทั้งพัวพันกับยาเสพติด และอยู่ในช่วงการหย่าร้างกับสามี ที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 5 ปี 

“ฉันพัวพันกับยาเสพติดเพราะฉันยังเด็ก และไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับชื่อเสียงที่โด่งดังข้ามคืนได้อย่างไร” 

แต่หลังจากเข้ารับการบำบัด เธอก็เริ่มไปได้ดีในวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะจากเรื่อง ‘Ghost’ ที่เธอประกบกับ ‘แพทริค สเวซี’ ในปี 1990 ที่ทำให้ชื่อของเธอดังไปทั่วโลก และกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ฮอตที่สุดของฮอลลีวูด ก่อนจะได้เล่นบทล่อแหลมอีกหลายเรื่องตามมา 

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

แต่งงานกับ บรูซ วิลลิส

หลังจากการแต่งงานครั้งแรกจบลง มัวร์ได้หมั้นหมายกับ ‘เอมิลิโอ เอสเตเวซ’ นักแสดงและผู้กำกับ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะไปพบรักกับเพื่อนนักแสดง ‘บรูซ วิลลิส’ ซึ่งคบกันเพียง 4 เดือน ก็จูงมือกันแต่งงานในปี 1987 กลายเป็นคู่รักคนดังแห่งฮอลลีวูด

ในหนังสือบันทึกความทรงจำของมัวร์บรรยายว่า ก่อนการแต่งงาน วิลลิสเริ่มออกอาการไม่แน่ใจว่าจะแต่งงานกับเธอดีหรือไม่ เขาเกรงว่าอาชีพนักแสดงที่กำลังไปได้ดีของมัวร์ จะดึงความสนใจของเธอไปจากเขา และจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างครอบครัวร่วมกัน เพราะในเวลานั้น มัวร์กำลังโด่งดังสุดขีดจากบทบาทในหนังเรื่อง Ghost (1990) 

วิลลิสถึงกับบอกเธอว่า “สิ่งนี้ (สิ่งที่เขากังวล) จะไม่เกิดขึ้น หากคุณเลิกถ่ายหนัง” 

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็สามารถสร้างครอบครัวร่วมกันได้สำเร็จ มีลูกสาวด้วยกันสามคน ได้แก่ รูเมอร์ สเก๊าท์ และทัลลูลาห์ 

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ภาพจากอินสตาแกรม Demi Moore

ในระหว่างตั้งท้องลูกคนที่สอง มัวร์ยังได้จุดประกายความบ้าคลั่งของสื่อในปี 1991 ด้วยการเปลือยกายขึ้นปกนิตยสาร ‘Vanity Fair’ ซึ่งนับเป็นการท้าทายภาพลักษณ์ของผู้หญิงและการตั้งครรภ์ 

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ภาพจาก Vanity Fair

น่าเสียดายที่ความรักของทั้งคู่ต้องจบลงในปี 2000 โดยมัวร์กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ฉันคิดว่าตอนแรกบรูซคงกลัวว่าฉันจะทำให้การแยกทางเป็นเรื่องยาก เขาคงคิดว่าฉันจะแสดงความเกรี้ยวกราดและขัดขวางไม่ให้เขาได้เจอลูก ๆ แต่เรื่องพวกนั้นก็ไม่เกิดขึ้น และฉันภูมิใจกับการหย่าร้างของเราทั้งคู่มาก” 

ทั้งคู่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และวิลลิสยังเป็นหนึ่งในแขกร้อยคนที่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานระหว่างมัวร์กับ ‘แอชตัน คุชเชอร์’ ในเดือนกันยายน 2005 ด้วย

ปัญหาการกินผิดปกติ

มาตรฐานความงามของฮอลลีวูด เป็นเรื่องที่สร้างความยากลำบากไม่น้อยสำหรับเหล่านักแสดงสาว มัวร์เองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน และมันได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเธอในเวลาต่อมา โดยหลังจากที่คลอดสเก๊าท์ ลูกสาวคนที่สอง มัวเริ่มออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการรับบทในหนังเรื่อง ‘A Few Good Men’ (1992) 

“การมีรูปร่างตามบทในหนังทำให้ฉันหมกมุ่นกับการออกกำลังกาย ซึ่งทำลายชีวิตฉันในอีก 5 ปีต่อมา”

มัวร์เล่าว่า การออกกำลังกายมากเกินไปทำให้น้ำนมของเธอลดลง แต่ถึงแม้ร่างกายของเธอจะยับเยินเพียงใด เธอก็ยังเคร่งครัดเรื่องการกินอาหารต่อไป เพื่อเตรียมพร้อมในการรับบทในหนังเรื่อง ‘Indecent Proposal’ ตอนนั้นเธอทั้งเลิกกินคาร์โบไฮเดรต ออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ปั่นจักรยาน ออกกำลังกายกับเครื่องออกกำลังกายทุกชนิดที่มี และพอต้องเล่นหนังเรื่อง ‘Striptease’ มัวร์ก็เริ่มกินน้อยลงมากเพื่อควบคุมรูปร่างให้ผอมบาง โดยกินข้าวโอ๊ต ผัก และโปรตีน ทุกวัน 

กระทั่งเธอต้องเพิ่มน้ำหนักเพื่อเล่นหนังเรื่อง ‘G.I.Jane’ มัวร์จึงตัดสินใจหยุดลดน้ำหนัก ประกอบกับการต้องใช้สมาธิจนสามารถเอาชนะการกินที่ไร้ระเบียบและการหมกมุ่นกับการออกกำลังกายได้สำเร็จ

เมื่ออาชีพการงานด่างพร้อย

จากการรับบทในหนังเรื่อง Striptease ในปี 1996 ทำให้เธอขึ้นแท่นนักแสดงหญิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดในฮอลลีวูด โดยได้รับเงิน 12.5 ล้านดอลลาร์จากการรับบท ‘เอริน แกรนท์’ นักเต้นหญิงที่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการดูแลลูกสาวของเธอ แต่ถึงแม้มัวร์จะคว้าเงินก้อนโตจากหนังเรื่องนี้ เธอก็ถูกวิจารณ์เละพอสมควร 

“มันเป็นเรื่องของแม่ที่พยายามเอาชีวิตรอด และทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สูญเสียลูกสาวไป แต่มันมาพร้อมกับการตัดสินมากมาย” มัวร์อธิบาย

หนังเรื่องนี้ถูกนักวิจารณ์สับเละ และได้รับรางวัล ‘Razzie Awards’ ถึง 6 รางวัล ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ยอดแย่ ขณะที่มัวร์ก็ได้รับรางวัล ‘Gloden Raspberry’ สาขานักแสดงนำหญิงยอดแย่ ส่วนในแง่รายได้ Striptease ก็ล้มเหลวเช่นกัน เพราะทำรายได้ไปเพียง 32.8 ล้านเหรียญในอเมริกา จนมัวร์ถูกมองเป็น ‘ยาพิษในบ็อกซ์ออฟฟิศ’ 

หลังโซซัดโซเซจาก Striptease ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้บริหารค่ายหนังว่า หนังที่จ่อเข้าฉายอย่าง G.I.Jane ที่มัวร์นำแสดง จะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ผลลัพธ์จากหนังที่มัวร์ลงทุนโกนหัว ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น 

ในปี 1992 มัวร์ก็กลับคืนสู่ความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ จากการประกบกับ ‘ทอม ครูซ’ และ ‘แจ็ค นิโคลสัน’ ในหนังเรื่อง ‘A Few Good Men’ ตามด้วยหนังเรื่อง ‘Indecent Proposal’ และ ‘Disclosure’ ที่กอบกู้ชื่อเสียงเธอคืนมาได้สำเร็จ 

หนำซ้ำเธอยังทลายเพดานนักแสดงหญิงในฮอลลีวูดอีกครั้ง ด้วยการทำเงิน 10 ล้านดอลลาร์ จากการพากย์เสียงตัวละครในหนังแอนิเมชันของดิสนีย์เรื่อง ‘The Hunchback of Notre Dame’ (1996) 

หลายปีให้หลัง ‘ดรูว์ แบร์รีมอร์’ นักแสดงรุ่นน้องที่เคยร่วมงานกับมัวร์ในหนังเรื่อง ‘Charlie’s Angels’ ได้กล่าวยกย่องว่า มัวร์เป็นนักแสดงที่เปลี่ยนโฉมธุรกิจหนังให้ผู้หญิง ด้วยการพิสูจน์ว่านักแสดงหญิงก็สามารถรับค่าตอบแทนได้เท่า ๆ กับนักแสดงชาย 

“คุณลองมองดูเรือนร่างและจิตวิญญาณของเธอ รวมถึงสิ่งที่เธอทำ ทุกอย่างทำให้เธอคือนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าอิจฉา” 

แท้งลูกตอนคบกับ แอชตัน คุชเชอร์

ในปี 2003 เดมี มัวร์ เริ่มออกเดทกับ แอชตัน คุชเชอร์ นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องที่มีอายุน้อยกว่าเธอ 15 ปี แม้จะมีช่องว่างระหว่างวัยค่อนข้างมาก แต่ทั้งคู่ก็ดูมีความสุขมากตอนที่อยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สาธารณชนไม่เคยรู้คือทั้งคู่เผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ เนื่องจากมัวร์เกิดแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์ 6 เดือน เป็นลูกสาวที่เธอตั้งชื่อเอาไว้ว่า ‘แชปลิน เรย์’ 

การสูญเสียครั้งนี้ทำให้เธอแหลกสลายไม่มีชิ้นดี “ฉันพยายามปล่อยให้ตัวเองโศกเศร้า แต่มันก็น่าสับสนมาก ฉันจะเสียใจให้คนที่ไม่เคยอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร” 

มัวร์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 42 ปี รู้สึกว่าคุชเชอร์ที่อายุ 25 ปี ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมดว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไร “แอชตันพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เขาพยายามจะอยู่เคียงข้างฉันในระหว่างการแท้งลูก แต่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉันรู้สึกอย่างไร” 

เธอยังโทษตัวเองด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้เสียลูกไปเป็นเพราะเธอสูบบุหรี่และดื่มเหล้าโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง “มันเป็นความผิดของฉัน ถ้าฉันไม่ดื่ม ฉันคงไม่มีวันสูญเสียลูกไป ฉันรู้สึกผิด และเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากสิ่งที่ฉันทำ” 

รักต่างวัยที่พังทลาย 

เดมี มัวร์ กับแอชตัน คุชเชอร์ อยู่ด้วยกันต่อหลังจากที่แท้งลูก และแต่งงานกันในปี 2005 หากดูเผิน ๆ การแต่งงานครั้งนี้ดูจะชื่นมื่นดี เพราะคุชเชอร์ทำหน้าที่พ่อเลี้ยงให้กับลูกสาวทั้งสามของมัวร์ได้เป็นอย่างดี แต่กลับกลายเป็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างมัวร์กับคุชเชอร์เริ่มกลายเป็นเรื่องยาก

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

มัวร์เขียนในหนังสือว่า เธอให้ความสำคัญกับคุชเชอร์เป็นคนแรก เธอยอมแม้กระทั่งการมีเซ็กส์หมู่สามคนเพื่อทำให้เขามีความสุข แต่ท้ายที่สุดความสุขทางเพศก็นำไปสู่ปัญหาการนอกใจของฝ่ายชาย 

ในปี 2011 หญิงสาวอายุ 22 ปีชื่อ ‘ซารา ลีล’ เปิดเผยกับ US Weekly ว่า เธอกับคุชเชอร์มีเซ็กส์กันหลังจากปาร์ตี้กันทั้งคืนในวันครบรอบแต่งงานปีที่หกของเขากับมัวร์ ลีลอ้างว่า คุชเชอร์บอกเธอว่า เขากับมัวร์แยกทางกันแล้ว แล้วเขาก็ล่อลวงเธอ แต่มัวร์กลับดูไม่แปลกใจกับการให้สัมภาษณ์ของลีล แถมยังบอกด้วยว่า “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้โกหก เขาเองก็ยอมรับ” หลังจากนั้นไม่นานเธอกับคุชเชอร์ก็แยกทางกัน และจบด้วยการหย่าร้างในปี 2013 

ใช้สารเสพติดจนต้องเข้าโรงพยาบาล

หลังแยกทางกับแอชตัน คุชเชอร์ สุขภาพของเดมี มัวร์ ก็ย่ำแย่ลง มีแหล่งข่าวเผยกับสื่อว่า เธอแทบไม่ได้นอน และดูเหมือนจะไม่กินข้าว เพราะร่างกายดูผอมแห้งมาก 

มัวร์เคยเข้ารับการบำบัดในช่วงทศวรรษที่ 80s เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสารเสพติด หลังจากนั้นเธอก็ไม่ดื่มอีกเป็นเวลานาน แต่หลังจากที่แท้งลูกของคุชเชอร์ เธอก็เริ่มกลับมาดื่มหนัก และกินยาแก้ปวดตามใบสั่งแพทย์ ต่อมาปัญหานี้ก็เริ่มลุกลามขึ้นในปี 2012 ซึ่งเธอต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลังจากสูบกัญชาสังเคราะห์ และสูดดมไนตรัสออกไซด์

เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นระหว่างที่เธออยู่ในงานปาร์ตี้ จู่ ๆ เธอก็ล้มลงและเริ่มมีอาการชัก ซึ่งทำเอาลูกสาวของเธอที่ชื่อว่ารูเมอร์ถึงกับผวา เพราะกลัวว่าแม่ตัวเองกำลังจะตายต่อหน้า หลังจากนั้นจึงมีการนำตัวเธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และไปดูอาการต่อที่ศูนย์บำบัด

ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับลูก ๆ 

ท่ามกลางปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมัวร์กับคุชเชอร์ มัวร์ก็มีอีกปัญหาตามมา นั่นคือปัญหาความสัมพันธ์กับลูกสาวทั้งสามคน แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดบอกกับสื่อว่า เวลานั้นมัวร์มีปัญหาทางจิต และไม่ได้ดูแลตัวเอง จึงทำให้เธอห่างเหินกับลูก ๆ ทั้งสามนานเกือบสามปี 

รูเมอร์กับทัลลูลาห์เคยไปให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Red Table Talk’ เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างมัวร์กับคุชเชอร์ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อเด็ก ๆ ทั้งสามคนอย่างไร และเด็ก ๆ เชื่อว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้รักพวกเธอจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่มัวร์อยากจะมีลูกกับคุชเชอร์ เด็ก ๆ ได้แต่คิดว่า พวกเธอทั้งสามยังไม่สามารถเติมเต็มให้กับแม่ได้เพียงพอ

ท้ายที่สุด มัวร์และลูกสาวทั้งสามได้หันหน้ามาปรับความเข้าใจและฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน หลังจากที่มัวร์ตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น แน่นอนว่าทางเลือกนี้ทำให้ลูกสาวภูมิใจในตัวผู้เป็นแม่มาก 

เพื่อนที่ดีของอดีตสามี

เดมี มัวร์ ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับลูก ๆ เท่านั้น เธอยังรักษามิตรภาพกับพ่อของลูก ๆ อย่างบรูซ วิลลิส ด้วย ในขณะที่วิลลิสเองก็เคยให้สัมภาษณ์กับ ‘Rolling Stone’ เมื่อปี 2000 ว่า “ผมยังคงรักเดมี เรามีลูกสาวด้วยกันสามคน เราจะเลี้ยงลูกด้วยกันต่อไป และตอนนี้เราอาจจะกลับไปสนิทสนมกันเหมือนเคย” 

ในปี 2022 ครอบครัวประกาศว่าวิลลิสจะไม่สามารถรับงานแสดงได้อีกต่อไป หลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองส่วนหน้าเสื่อม ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ของเขา น่าเศร้าที่อาการของวิลลิสแย่ลงจนไม่สามารถโต้ตอบกับผู้อื่นได้

ในเดือนมีนาคม 2023 มัวร์แชร์คลิปช่วงเวลาสุดประทับใจทางอินสตาแกรม เป็นช่วงเวลาที่เธอกับลูก ๆ ทุกคน รวมถึงภรรยาคนปัจจุบันของวิลลิส กำลังฉลองวันเกิดให้กับเขา 

‘เดมี มัวร์’ จากหญิงสาวโชคร้ายชีวิตสุดรันทด สู่ตำนานนักแสดงหญิงค่าตัวสูงสุดในยุค 90s

ในปี 2024 มัวร์ยังออกสื่อเพื่อให้คำแนะนำสำหรับครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม โดยกล่าวว่า “เมื่อคุณปล่อยวางว่าพวกเขาเคยเป็นใคร หรือคิดว่าพวกเขาเป็นใคร แม้แต่การที่คุณอยากให้พวกเขาเป็นใคร คุณก็จะสามารถทำได้ จงอยู่กับปัจจุบัน และมุ่งสร้างความสุขและความรัก” 

คำตอบนี้ของ ‘เดมี มัวร์’ คงพอสะท้อนให้เห็นว่า โศกนาฏกรรมในอดีตได้ล่อหลอมให้เธอแข็งแกร่งและเข้าใจโลกมากขึ้นเพียงใด

 

เรียบเรียง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : Getty Images 


อ้างอิง :
Demi Moore's Tragic Real-Life Story
Demi Moore - Biography
The Life And Career Of Actress Demi Moore