24 ธ.ค. 2568 | 16:00 น.

อาการ ‘ตาสว่าง’ ถูกใช้เป็นคำเรียกในเชิงเปรียบเปรยถึงการตื่นรู้หรือเข้าใจต่อบางสิ่งหลังจากได้ทราบถึงชุดข้อมูลบางอย่างที่เปลี่ยนวิธีในการมองโลกของใครคนนั้นไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากความเข้าใจเดิมที่มองสรรพสิ่งแบบหนึ่ง เมื่อได้รู้เห็นบางอย่างก็ชวนให้ตื่นรู้และมองสิ่งตรงหน้าแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งการตาสว่างนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่สภาวะหลงวนกับความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ หรือแม้แต่ความเชื่อที่ยึดมั่นถือมั่นบางอย่างโดยไม่สั่นคลอน
แต่ในขณะที่อาการตาสว่างอาจดูเหมือนเป็นปรากฏการณ์ที่ปลุกผู้คนที่หลับใหลให้สดับรู้ถึงความจริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการตาสว่างจะนำพาพวกเขาเหล่านั้นไปหาข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะในอีกแง่มุมหนึ่ง ตาสว่างก็อาจเปรียบเสมือนอีกหนึ่งหลุมลึกทางความเชื่อที่เผลอก้าวตกลงไปเมื่อใดแล้ว ก็อาจยากที่จะก้าวออกมา เพราะบางชุดข้อมูลเหล่านั้นก็อาจฝังรากลึกลงไปในสำนึกระหว่างที่เรากำลังประดับเชิดชูสิ่ง ๆ นั้นด้วยคำว่า ‘ตาสว่าง’ …
ในภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิต ‘สแตนลีย์ คูบริก’ (Stanley Kubrick) ไม่เพียงทิ้งแผลในกระเพาะอาหารไว้ให้กับ ทอม ครูซ (Tom Cruise) และสถิติโลกสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ที่กินระยะเวลานานที่สุดในโลกซึ่งก็คือ 46 สัปดาห์ แต่ยังฝากปริศนาผ่านความกำกวมและไม่ชัดเจนในสิ่งที่ปรากฏในเรื่อง โดยเฉพาะกับแง่มุมหลายอย่างที่ราวกับกำลังบอกใบ้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่หลังม่านของโลกใบนี้ โดยเฉพาะกับเหล่าชนชั้นสูง (Elites)
Eyes Wide Shut คือภาพยนตร์ที่สแตนลีย์ คูบริก ดัดแปลงมาจากนวนิยายขนาดสั้น ‘Traumnovelle’ ของนักเขียนชาวออสเตรีย ‘อาร์ทัวร์ ชนิทซ์เลอร์’ (Arthur Schnitzler) ที่เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหมอหนุ่มที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาดราวกับความฝัน โดยเฉพาะกับปาร์ตี้ปริศนาที่ผู้คนในผ้าคลุมและหน้ากากสมสู่กันเป็นหมู่คณะ ภายหลังจากอาการหึงหวงเข้าครอบงำจิตใจของเขา ซึ่งเนื้อหาแทบทุกอย่างก็ปรากฏในภาพยนตร์ของคูบริก มีเพียงแต่ชื่อที่ถูกปรับเปลี่ยนบ้างเท่านั้น อาทิเช่นตัวละครหลักที่ในต้นฉบับจะมีนามว่า ‘ฟริโดลิน’ (Fridolin) ส่วนฉบับภาพยนตร์จะใช้ชื่อว่า ‘บิล ฮาร์ฟอร์ด’ (Bill Harford)
คูบริกก็ได้ซื้อสิทธิ์ในการดัดแปลงมาตั้งแต่ปี 1970 แล้ว ซึ่งเดิมทีตัวเขาวางแผนที่จะสร้างมันต่อจาก 2001: A Space Odyssey โดยวางแผนที่จะมี สตีฟ มาร์ติน (Steve Martin) รับบทนำ แต่แล้วโปรเจกต์ดังกล่าวก็พับเก็บไป ผลงานลำดับต่อไปของเขาในห้วงเวลาดังกล่าวจึงเป็น A Clockwork Orange ตามด้วย Barry Lyndon
เหตุการณ์ปาร์ตี้ที่เกิดขึ้นนับเป็นจุดสนใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ และนั่นอาจเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้ ‘Eyes Wide Shut’ (1999) ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ตัวของผู้กำกับที่บูชาความสมบูรณ์แบบเยี่ยงจิตวิญญาณถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง ไม่เพียงในทางชื่นชมในรายละเอียด แต่ลามไปถึงการแกะรอยปริศนาที่แฝงเร้นจนก่อตัวเป็นทฤษฎีสมคบคิดหลายรูปแบบที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สแตนลีย์ คูบริก จากไปด้วยโรคหัวใจก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่ง ณ ขณะนั้นอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการตัดต่อ จึงเกิดเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่สำหรับผู้ชมที่ทราบเรื่องราวว่า ภาพยนตร์ฉบับที่ปรากฏสู่สายตาผู้ชมนั้นเป็นไปตามเจตจำนงของเจ้าตัวจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ชนวนสำคัญที่พาให้ความสนใจของผู้คนวกกลับไปสำรวจภาพยนตร์เรื่องนี้หนีไม่พ้นการเปิดเผย ‘แฟ้มลับเอปสตีน’ (Epstein Files) ที่เป็นเอกสารจากคดีสุดอื้อฉาวของมหาเศรษฐีนาม ‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ (Jeffrey Epstein) ที่มีความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศไปจนถึงการค้ามนุษย์ ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วภายในเรือนจำไม่นานหลังถูกจับกุม
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเมื่อเอกสารเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วจะส่งผลต่อตัวของเอปสตีนอย่างไร ทว่าการเปิดเผยแฟ้มลับที่ว่านี้จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่อาจเปิดโปงได้ว่ามี ‘ใคร’ บ้างที่โคจรอยู่รอบกับเอปสตีนและอาจเกี่ยวโยงอยู่กับอาชญากรรมอันเลวร้ายนี้ ซึ่งแน่นอนว่าก็ล้วนสัมพันธ์กับเหล่าชนชั้นสูงและผู้ทรงอิทธิพลตั้งแต่ดารานักแสดง ศิลปิน นักวิชาการ ไปจนถึงนักการเมือง
ภาพที่เผยออกมาแม้จะมีความคลุมเครืออยู่น้อยเพราะมีการปกปิดด้วยสี่เหลี่ยมสีดำ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าของผู้คนในภาพหรือแม้แต่บางถ้อยคำในเอกสาร หรือแม้แต่เอกสารทั้งหน้ากระดาษ ทว่าก็มีหลายใบหน้าที่ใครหลายคนอาจคุ้นเคยกันดีปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านี้จึงเป็นคำถามที่ต้องเฟ้นหาคำตอบกันต่อไปว่าเขาเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังวนที่เลวร้ายนี้อย่างไร… หรือเพียงแค่ถ่ายรูปกันเพียงเท่านั้น?
Eyes Wide Shut นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนภาพพลังอำนาจหลังม่านของเหล่าผู้ทรงอิทธิพล โดยเฉพาะถ้าลองเปรียบเทียบระหว่างฉากงานเลี้ยงแรกสุดของภาพยนตร์กับฉากปาร์ตี้ลึกลับในแมนชั่นหรูหรา ในฉากแรกทุกคนจะประดับกายด้วยชุดสูทและมาดอันทรงภูมิ เข้าหาผู้คนด้วยท่าที หว่านล้อมด้วยชั้นเชิงอย่างมีอารยะ ทว่าเมื่อตัดสลับไปที่แมนชั่นที่ทุกคนปกคลุมด้วยหน้ากากและผ้าคลุม สัญชาตญาณดิบก็ถูกปลดจากพันธนาการ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเปรียบเสมือนการฉายภาพของอำนาจที่เลวร้ายที่เร้นกายอยู่หลังม่านที่ดูสวยงาม การปิดบังใบหน้าไม่เพียงเป็นการปกปิดตัวตนให้แยกขาดจากการกระทำ แต่ยังเป็นการคงสถานะ ‘ความเป็นผู้ดี’ ให้เจตจำนงที่ดำมืดสามารถลอยว่อนอย่างอิสระ
ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางเพศที่นับเป็นอาณาบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศีลธรรมและครรลองความสัมพันธ์แบบ ‘ผัวเดียวเมียเดียว’ (Monogamy) ก็ถูกชี้ให้เห็นว่าเปราะบางเพียงไหน โดยเฉพาะในตอนที่ บิล ฮาร์ฟอร์ด ได้ตระเวนราตรีเห็นชีวิตและเหตุการณ์พิศวงยามค่ำคืน
สาเหตุที่ขับเคลื่อนให้บิลออกผจญภัยยามราตรีเกิดขึ้นจากการถกเถียงกับภรรยา ‘อลิซ ฮาร์ฟอร์ด’ (Alice Harford) ที่เริ่มต้นจากความไม่พอใจที่เห็นสามีของเธอเดินควงกับสาวคนอื่นในงานเลี้ยง ก่อนจะนำไปสู่ปากเสียงกันในค่ำคืนที่จิตใจทั้งสองปกคลุมไปด้วยฤทธิ์ของสมุนไพรสีเขียว
บิลให้เหตุผลว่าตัวของเขาจะไปนอกกายกับหญิงสาวเหล่านั้นได้อย่างไร ในขณะที่ตัวของเขามีภรรยาเป็นเธอแล้ว จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า “สิ่งเดียวที่หยุดเขาไว้เป็นเพียงแค่แหวนที่นิ้วนางเองหรือ?” กล่าวคือ หากไม่มีสถานะการสมรสคอยขวางเอาไว้ ตัวของเขาอาจก้าวเดินไปที่ “ปลายสายรุ้ง” แล้วหรือเปล่า?
ก่อนจะขยับไปสู่ในส่วนถัด คำถามที่ถูกตั้งขึ้นมานี้นับว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงศีลธรรมและความดีงามในใจของผู้คน อาทิเช่นเรื่องบุญและบาป หรือแม้แต่กฎหมาย ที่ว่าเราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าผู้คนแต่ละคน ‘ดี’ อย่างแท้จริงและบริสุทธิ์ ในเมื่อมีค่าวัดทางศีลธรรมหรือกรอบทางสังคมมาบังคับเขาเหล่านั้นอยู่ และถ้าหากไม่มีสิ่งนี้ คนเรายังจะเป็น ‘คนดี’ อยู่หรือไม่?
ภายหลังจากนั้น อลิซก็ได้เผยว่าตัวเธอแม้ไม่ได้นอกกาย แต่ชั่ววาบหนึ่งในห้วงความคิดเคยอยากพลีกายให้กับนายทหารเรือคนหนึ่งที่เธอพบเจอ เธอเล่าว่า ณ จังหวัดนั้น ชั่ววาบหนึ่งของความคิด เธอยอมที่จะสละทุกอย่างที่มี ครอบครัว สามี ลูก เพื่อพลีกายให้กับชายคนนั้น เธอเล่าเรื่องนี้เพื่อตอบโต้กับความมั่นอกมั่นใจของบิลว่าเธอนั้นคงมั่นต่อแหวนที่นิ้วนางและไม่เคยนอกใจ จุดนี้จึงได้พาให้บิลดำดิ่งลงไปสู่ความกังวลและความหึงหวงจากจินตนาการที่ผุดขึ้นไม่รู้จบ
สิ่งนี้ชวนให้ฉุกคิดถึงความคงมั่นของการสมรสว่าหลักการนี้แข็งแรงมากเพียงไหนที่จะสามารถพยุงสัญชาตญาณของมนุษย์ได้ และชวนให้ตั้งคำถามว่าแนวคิดแบบ Monogamy สามารถแยกเขาเหล่านั้นให้ขาดจากตัณหาได้จริงหรือ?
ณ ร้านชุดแฟนซี บิลก็ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาได้พบกับการที่ชายสองคนกำลังมีสัมพันธ์สวาทกับลูกสาว (ที่อายุยังจัดอยู่ว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ) ของเจ้าของร้านในยามค่ำคืน นำไปสู่ปากเสียง โดยเจ้าของร้านกล่าวว่าจะแจ้งตำรวจในทันที
ทว่าในเช้าวันต่อมาเมื่อบิลนำชุดเหล่านั้นกลับมาคืน ทุกอย่างดันกลับตาลปัตร เมื่อชายสองคนเดินออกมาอย่างยิ้มแย้มก่อนจะจับมือกับเจ้าของร้านราวกับเพิ่งเจรจาธุรกิจ และเดินออกไป บิล กล่าวถามว่าไฉนถึงเป็นเช่นนี้ ในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคุณยังจะให้ตำรวจมาจับพวกเขาอยู่เลย
“ก็… อะไรก็เปลี่ยนกันได้ล่ะนะ พอดีเราตกลงกันได้น่ะ” ก่อนที่เจ้าของร้านจะกล่าวต่อว่าถ้าหากคุณหมอคนดีอยากจะตกลง ‘อะไรสักอย่าง’ ก็ไม่ต้องเกรงใจที่จะเอ่ยถาม สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ที่อาจดูศักดิ์สิทธิ์ในกรอบศีลธรรม แต่คงไม่สามารถเอาชนะผลประโยชน์ได้ (ในบางกรณี)
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นบรรดาประเด็นที่สอดแทรกเอาไว้ในเรื่องราวและการตื่นรู้ของ บิล ฮาร์ฟอร์ด ต่อเรื่องความสัมพันธ์และเพศที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เขามองโลกไปตลอดกาล มันอาจทำให้เขา ‘ตาสว่าง’ ขึ้นมาบ้างจากการมองโลกในแบบเดิมที่เคยเข้าใจ
ประเด็นที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่าสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องคือวิธีที่ Eyes Wide Shut ทำงานกับผู้ชม โดยเฉพาะภายหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเอกสารของเอปสตีนถูกเปิดเผย จนทำให้ผู้ชมมากมายหวนกลับมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้และตีความไปต่าง ๆ นานา จนเกิดเป็นคำถามที่ว่า
“หรือ สแตนลีย์ คูบริก กำลังส่งสารถึงพวกเรา?”
“หรือการจากไปของเขาเกี่ยวพันกับการเปิดโปงเรื่องราวเหล่านี้?”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ของคูบริกคละคลุ้งไปด้วยความกำกวมและปริศนาให้ผู้ชมชวนคิดกันต่อ นับตั้งแต่การรังสรรค์ภาพอวกาศที่เสมือนจริงล้ำยุคสมัยใน 2001: A Space Odyssey ก็ชวนให้ผู้คนต่างก็คิดกันว่าเขาคือคนที่ถ่ายทำการลงจอดที่ดวงจันทร์แบบปลอม ๆ ของ NASA
The Shining (1980) เองก็เต็มไปด้วยปริศนาชวนให้คิดต่อ บ้างก็บอกว่าตัวของคูบริกแอบสารภาพเรื่องการถ่ายทำการลงจอดบนดวงจันทร์ผ่านเสื้อสเว็ตเตอร์ของ แดนนี (Danny) ที่มีข้อความระบุว่า Apollo USA หรือแม้แต่ทฤษฎีอีกมากมายที่ถูกนำไปโยงกับเรื่องราวต่าง ๆ
ยิ่ง Eyes Wide Shut มีข้อต่อในการเชื่อมโยงมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นปริศนาภายในเรื่องที่ไม่ถูกเปิดเผย การจากไปก่อนภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ของสแตนลีย์ คูบริก หรือแม้แต่เรื่องราวที่คล้ายกับเป็นกระจกสะท้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็ชวนให้ผู้คนพากันสร้างทฤษฎีมากมายมาสนับสนุนความเชื่อของตน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ (Conspiracy Theory)
โรเจอร์ อวารี (Roger Avary) หนึ่งในผู้เขียนบท Pulp Fiction ที่ได้มาพูดคุยในรายการพอดแคสท์ The Joe Rogan Experience ว่าจากมุมมองของเขาที่เป็นแฟนตัวยงของคูบริก เขาคิดว่าเวอร์ชันสุดท้ายอาจไม่ได้เป็นฉบับที่คูบริกอยากให้เป็นจริง ๆ ไปจนถึงเล่าว่าตัวของเขาเคยได้ยินว่าคูบริกมีปากเสียงกับบรรดานายทุนในช่วงที่ฉายแรก ๆ เพราะถูกสั่งให้ตัดบางส่วนของภาพยนตร์ไป ก่อนที่สี่วันถัดไปเขาจะเสียชีวิต
กลายเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบให้ผู้คนนำมาผสมรวมกับทฤษฎีที่มีก่อให้เกิดเป็นความเชื่อว่า Eyes Wide Shut อาจเป็นตัวแทนของการเปิดโปงความฟอนเฟะของชนชั้นสูงจนนำไปสู่จุดจบของ สแตนลีย์ คูบริก หรือเปล่า?
หรือบ้างก็หยิบยกรายละเอียดเล็ก ๆ ของหนังมาสานต่อว่าเป็นสัญญะที่หนังพยายามจะสื่อสารอะไรบางสิ่ง เช่นการที่ฉากสุดท้ายลูกสาวของบิลเดินไปถือบาร์บี้ ก่อนที่จะเดินไปดูของเล่นชิ้นอื่น ๆ ต่อในขณะที่พ่อกับแม่ของเธอคุยกัน ซึ่งระหว่างเดินไปนั้น มีชายสองคนอยู่ตรงนั้นพอดิบพอดี จึงทำให้เหมือนกับว่าเธอเดินไปกับชายทั้งสอง — หรือเธอถูกชายทั้งสองลักพาตัวไป?!
ท่ามกลางทฤษฎีมากมายผุดขึ้นจากรายละเอียดยิบย่อยหรือการเชื่อมโยงกันเองของผู้ชมก็ได้มีบทความจาก New York Magazine ที่ช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจ โดยนักเขียนจากนิตยสารดังกล่าวนามว่า เลน บราวน์ (Lane Brown) ได้ทำการสำรวจปมเหล่านี้ในบทความที่ชื่อว่า ‘The Eyes Wide Shut Conspiracy Did Stanley Kubrick warn us about Jeffrey Epstein?’
บราวน์ได้สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้และใกล้ชิดกับคูบริกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ ทีมตัดต่อ หรือแม้แต่นักแสดง ซึ่งก็ได้หักล้างกับทฤษฎีเหล่านี้ไปเสียส่วนใหญ่ เช่นในเรื่องการที่คูบริกพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง ก็ได้มีการเล่าว่าคูบริกซื้อสิทธิ์มาตั้งแต่ 50 กว่าปีแล้ว อีกทั้งยังยึดกับต้นฉบับของชนิทซ์เลอร์อย่างมาก จะกล่าวว่าคูบริกทำนายเรื่องเอปสตีนตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่ใช่
หรือแม้แต่ทฤษฎีที่ก่อตัวจากชายสองคนในเฟรม ก็มีการเล่าว่าทั้งสองเป็นเอ็กซ์ตราในกองถ่าย สิ่งที่ปรากฏว่าเขาทั้งสองโผล่มาทั้งตอนต้นเรื่องและตอนท้ายเรื่องหาใช่สัญญะอะไร แต่เป็นความผิดพลาดที่หน้าของพวกเขาดันปรากฏซ้ำในทั้งสองฉากจนผู้ชมจำได้เท่านั้นเอง
นอกจากนั้นก็ยังมีเนื้อหาอื่น ๆ ที่มาหักล้างทฤษฎีเหล่านี้อีกมาก สามารถไปตามอ่านได้ที่บทความดังกล่าว
จะเห็นได้ว่านอกจากบอกเล่าเรื่องราวใบหน้าของอำนาจและราคะที่เร้นกายอยู่หลังม่านแล้ว Eyes Wide Shut ก็เป็นภาพสะท้อนที่ชวนให้ฉุกคิดถึงอาการ ‘ตาสว่าง’ ที่ใครหลายคนอาจรู้สึก ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรับรู้ข้อมูลที่มีมูลเหตุและหลักฐานชัดเจนจนนำไปสู่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในบางคราว การจับต้นชนปลายโดยที่ต้นสายปลายเหตุหรือความเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งไม่ชัดเจนก็อาจนำไปสู่หลุมของความเข้าใจผิดได้
การเว้นช่องว่างทางความเชื่อและตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็นนับเกราะป้องกันสำคัญทางความคิดไม่ให้ชุดข้อมูลบางอย่างมาจุดประกายความรู้สึก ‘ตาสว่าง’ จนนำไปสู่การปักหลักเชื่ออะไรบางสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาจากข้อมูลและมุมมองที่ผสมปนเปกันไปจนไม่ได้สะท้อนภาพความจริง
เพราะในบางคราวที่เกิดการปักใจเชื่อชุดความคิดบางอย่างว่าจริงแท้โดยสมบูรณ์แล้ว ก็อาจเป็นการปิดกั้นชุดข้อมูลอื่น ๆ จนกลายเป็นการตาสว่างที่มืดบอดสนิทไปพร้อม ๆ กัน