26 ก.ย. 2568 | 18:10 น.
KEY
POINTS
กว่า 20 ปีที่แล้ว โดยการประสานงานของ ‘Universal Music’ ผมมีโอกาสนั่งสัมภาษณ์พิเศษ ‘สติง’ (Sting) ที่ฮ่องกง ในวันที่เขาเพิ่งเปิดตัวอัลบั้ม ‘Sacred Love’ (2003) เพียงสองปีถัดมา เขาเดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตที่อิมแพ็ค อารีนา กรุงเทพฯ วันที่ 12 มกราคม 2005 ท่ามกลางบรรยากาศหลังเหตุการณ์สึนามิถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเขาเลือกบริจาคเงินส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในไทย ความทรงจำเหล่านั้นยังติดตรึง
จนกระทั่ง คืนที่ผ่านมา 25 กันยายน 2025 สติง กลับมาอีกครั้งกับ ‘Sting 3.0 Tour’ ที่ UOB Live
ตัวเลข ‘3.0’ คือถ้อยแถลงถึง ‘เวอร์ชันใหม่’ ของเขา การหันกลับไปสู่แก่นแท้แบบ trio เครื่องดนตรีเพียงสามชิ้น กีตาร์-เบส-กลอง เหมือนเมื่อครั้ง ‘เดอะ โพลิซ’ (The Police) ก่อร่างสร้างชื่อบนโลกดนตรี แต่คราวนี้ คือ สติง ในวัย 73 ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังเต็มไปด้วยพลัง ความเข้มข้น และทักษะระดับ virtuoso โดยไม่ต้องอาศัยสุ้มเสียงจากวงใหญ่สนับสนุนแม้แต่น้อย
ค่ำคืนนั้น ไม่ได้มีเพียง สติง ยืนอยู่บนเวที หากยังมีอีกสองแรงขับที่ทำให้โชว์กระชับและเข้มข้นเกินสามชิ้นจะบรรยายได้
สติง - ร้องนำและเบสประจำกาย Fender Precision ปี 1957 ที่ผ่านกาลเวลา เขายืนถือมันเหมือนอาวุธคู่ใจ ทุกโน้ตที่กดคือการย้ำว่า เสียงเบสไม่ใช่เพียงรากของดนตรี แต่เป็นภาษาที่สื่อสารโดยตรงกับผู้ฟัง เสียงร้องยังคงชัดเจน หนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ไม่เคยจาง
‘โดมินิก มิลเลอร์’ (Dominic Miller) - มือกีตาร์ที่เคียงข้างสติงมานานกว่าสามทศวรรษ คือคนที่ทำให้เพลง อย่าง ‘Shape of My Heart’ หรือ ‘Fields of Gold’ มีความงดงามไม่เสื่อมคลาย เสียงกีตาร์ที่เล่นอย่างเรียบง่าย แต่สลับเป็นริฟฟ์ percussive ที่หนักแน่น หรือโซโล่ที่ฉวัดเฉวียนได้ตามจังหวะ โดมินิก คือสะพานที่เชื่อมระหว่างความละเมียดละไมกับพลังดิบของโชว์
‘คริส มาสส์’ (Chris Maas) - มือกลองรุ่นใหม่จากอังกฤษ อดีตสมาชิกทัวร์ของ ‘Mumford & Sons’ เขานำพลังร่วมสมัยมาผสมกับจังหวะที่แม่นยำ สร้างโครงจังหวะที่ขับเคลื่อนทั้งเวที กลองของเขาไม่ใช่เพียงเครื่องให้จังหวะ หากเป็น ‘เสียงที่สาม’ ที่เปิดพื้นที่ให้เบสกับกีตาร์โต้ตอบกันอย่างอิสระ
‘Sting 3.0’ ในความหมายที่แท้จริง มาจากการลดทอนจนเหลือแก่น แล้วเผยความแข็งแรงของแต่ละเสียงให้เด่นชัดที่สุด
คอนเสิร์ตเริ่มต้นด้วย ‘Message in a Bottle’ เพลงคลาสสิกจาก The Police ที่ทำหน้าที่ปลุกบรรยากาศได้อย่างทรงพลัง เพียงสามชิ้นก็สามารถเติมเต็มทั้งฮอลล์ เสียงเบสของสติงคุมโทน ในขณะที่กีตาร์ของโดมินิกกรีดกรายเป็นชั้นเสียง และกลองของคริสเติมพลังสดกระแทกใจ
ตามด้วย ‘I Wrote Your Name (Upon My Heart)’ ถัดมา ‘If I Ever Lose My Faith in You’ พาโชว์เข้าสู่จุดพีกแรก ด้วยการปะทะสังสรรค์ของเครื่องดนตรีทั้งสามในช่วงท้ายของเพลง
ก่อนจะไหลลื่นต่อเข้าสู่ ‘Englishman in New York’ ทั้งฮอลล์ร่วมร้อง call & response “โอ-ฮี-โอ” ตามที่สติงชักนำ นี่คือการสื่อสารตรงระหว่างศิลปินกับผู้ชม เสียงแซ็กโซโฟนในเวอร์ชันดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยกีตาร์และเสียงร้อง แต่กลับทำให้ความหมาย “Be yourself no matter what they say” เด่นชัดไปอีกแบบ
เมื่อเข้าสู่ ‘Every Little Thing She Does Is Magic’ ความสดใสแบบเร็กเก้–ป๊อป ถูกถ่ายทอดด้วยความกระชับ ทุกจังหวะเน้นตรง ไม่มีส่วนเกิน ก่อนที่เวทีจะเปลี่ยนบรรยากาศเข้าสู่ความละเมียดละไมของ ‘Fields of Gold’ โดยมี สติง เล่าถึงบ้านของเขา เพลงนี้ โดมินิก เล่นโซโล่แบบ minimal ทอดเสียงกีตาร์ให้ก้องไปทั่วฮอลล์
ช่วงกลางโชว์ คือโลกของบทเพลงที่ลุ่มลึก อย่าง ‘Never Coming Home’ ช่วงต้นโดดเด่นด้วยการเล่นกีตาร์แบบ percussive ของโดมินิก และ ‘Mad About You’ ที่แฝงด้วยเสน่ห์บรรยากาศโบราณ (modal scale) เสริมให้เพลงหนักแน่นลึกซึ้งน่าค้นหา
ก่อนจะไหลเข้าสู่ ‘Wrapped Around Your Finger’ เพลงที่อาศัยบรรยากาศมากกว่าพลังจังหวะ โดมินิกขับเส้นสายกีตาร์ละเอียดละเมียด ในขณะที่กลองค่อย ๆ เติม texture จนพาไปถึง ‘When We Dance’ ที่แสนนุ่มนวล ก่อนจะนำเข้าด้วยเสียงปรบมือ เพื่อส่งเข้าเพลง ‘Driven to Tears’ เพลงประท้วงทางสังคมที่กลายเป็นการระเบิดพลังกลางโชว์
‘A Thousand Years’ ลีดอินด้วยเสียงเบส ให้ฟิลลิ่งละเมียดละไมมาก ตามด้วยบรรยากาศสนุกของเพลง ‘Can’t Stand Losing You’ และการแทรกท่อน “Reggatta de Blanc” ที่ทำให้ผู้ฟังกลับไปสู่ยุค The Police อย่างเต็มตัว เสียงกีตาร์ร้อยเรียงกับเสียงร้อง จังหวะกระชับของกลอง และผู้คนที่ปรบมือเป็นจังหวะเดียวกัน
หลังจากนั้น บรรยากาศผ่อนคลายลงด้วย ‘Shape of My Heart’ เพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของคู่หู สติง-โดมินิก กลองของ คริส สร้างส่วนผสมของจังหวะอย่างละเอียด ในขณะที่กีตาร์ของโดมินิกพาไปสู่ความอ่อนไหว ต่อด้วย ‘Walking on the Moon’ และ ‘So Lonely’ ที่เล่นต่อเนื่อง จังหวะสวิงไปมาเหมือนการสนทนาของสามเครื่องดนตรี
พลังกลับคืนมาเต็มที่ใน ‘Desert Rose’ เมื่อกีตาร์และเบสใช้สเกลตะวันออกกลาง สร้างบรรยากาศลึกลับแต่เร้าใจ ผู้ชมตอบสนองด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง ก่อนจะไปถึง ‘King of Pain’ ที่มีช่วงเปิดให้ สติง โชว์ไลน์เบสชัด ๆ ปิดโชว์หลักด้วย ‘Every Breath You Take’ เป็นอีกครั้งที่เสียงร้องทั้งฮอลล์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ก่อนจะกลับมาอังกอร์ด้วย ‘Roxanne’ ที่มีการด้นสด เปลี่ยนจังหวะ เพิ่มลูกเล่นจากเบสและเสียงร้อง และปิดท้ายอย่างงดงามด้วย ‘Fragile’ สติง เปลี่ยนจากเบส มาจับกีตาร์กิลด์สายไนลอน ถ่ายทอดเสียงร้องอันบอบบาง แค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งฮอลล์เงียบกริบ และร้องตามเบา ๆ อย่างพร้อมเพรียง
จากเพลงเปิดจนถึงเพลงสุดท้าย พลังของคนดูในฮอลล์ UOB Live ไม่เคยตก แม้จะคุ้นหูกับเวอร์ชันเต็มวงที่อัดแน่นด้วยเครื่องเป่า คีย์บอร์ด และเสียงประสาน แฟนเพลงก็เลือกที่จะโอบรับความเรียบง่ายแบบสามชิ้นอย่างเต็มใจ หลายคนลุกขึ้นยืน ร้องตาม และปรบมือตามจังหวะ โดยเฉพาะใน If I Ever Lose My Faith in You และ Every Breath You Take ที่กลายเป็นโมเมนต์แห่งการร้องร่วมกันทั้งฮอลล์
เสียง call & response ใน Englishman in New York คือจุดที่ทำให้เห็นว่าการสื่อสารระหว่างสติงกับคนดูยังคงสดใหม่ “โอ-ฮี-โอ” ที่เขานำพา ถูกขานรับด้วยความกึกก้อง สะท้อนพลังงานร่วมที่ไม่ได้เกิดจากจำนวนเครื่องดนตรี แต่เกิดจากความสัมพันธ์ตรงระหว่างศิลปินกับผู้ชม
แฟนเพลงสายลึกยังสัมผัสได้ถึงความเป็น virtuoso ของสามนักดนตรี เสียงเบสที่กดเพียงไม่กี่โน้ตก็สะกดทุกสายตา กีตาร์ที่แค่สะกิดสายก็สร้างบรรยากาศได้ทั้งฮอลล์ กลองที่รักษาจังหวะและปล่อยพลังในเวลาที่พอเหมาะ ทั้งหมดทำให้คนดูตระหนักว่า โชว์ครั้งนี้ไม่ได้ขายความยิ่งใหญ่อลังการ แต่ขายความเข้มข้นของดนตรีที่แท้จริง
เมื่อถึง Fragile เพลงปิดท้าย ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบงาม แค่กีตาร์ไนลอนกับสี่โน้ตแรกที่ดังขึ้น - เพียงเท่านั้นทั้งฮอลล์ก็ร้องตาม เสียงกรีดร้องผสมกับเสียงฮัมเบา ๆ ของคนดู กลายเป็นฉากปิดที่อบอุ่นและทรงพลังที่สุดของค่ำคืน
Sting 3.0 Tour เป็นเสมือนถ้อยแถลงของศิลปินผู้ผ่านเส้นทางดนตรีมายาวนานกว่าสี่ทศวรรษ ตัวเลข ‘3.0’ คือการย้อนกลับไปยังแก่นแท้ของการเล่นดนตรีแบบ trio ที่เริ่มต้นชีวิตเขามาตั้งแต่แรก แต่คราวนี้คือการยืนหยัดในวัย 73 ที่ยังเปี่ยมด้วยพลังและความเข้มข้น
กว่า 20 เพลงในค่ำคืนนั้น เป็น soundtrack ของผู้คนหลายเจนเนอเรชัน และเผยให้เห็นพลังของการตีความใหม่ในรูปแบบใหม่ ตรงไปตรงมา เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ความสามารถของพวกเขาทั้งสามคนบนเวที ทำให้แฟนเพลงตระหนักว่า ดนตรีไม่จำเป็นต้องอาศัยความยิ่งใหญ่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจกลางของเพลงและความจริงใจของผู้เล่น นี่คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยความทรงจำและการค้นพบใหม่ ๆ สำหรับผู้ฟังในไทย (ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ กว่า 90% คือชาวต่างชาติ!)
ค่ำคืนนั้นพิสูจน์แล้วว่า นี่คือ สติง ในเวอร์ชันที่เรียบง่าย แต่เข้มข้นที่สุด
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์