21 ส.ค. 2568 | 13:35 น.
KEY
POINTS
ซีรีส์เกาหลี คือ กระจกสะท้อนชีวิตมนุษย์
บางครั้งสิ่งที่ตัวละครเผชิญ ทั้งความสุข ความเศร้า ความรัก ความเปราะบาง หรือการวิ่งไขว่คว้าความฝัน ก็อาจเป็นสิ่งที่เราเองกำลังเจออยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันคำตอบที่เหล่าตัวละครพบก็อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เรากล้าก้าวต่อไปในชีวิตจริง
นี่คือ 5 ซีรีส์เกาหลีบน Disney+ Hotstar ที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิตเล็ก ๆ ที่อาจเปลี่ยนใจใครบางคนไปตลอดกาล
เพราะว่าชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากซีรีส์ มันคือการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไร้การคาดเดา ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ แต่ก็ยังงดงามเสมอ
“ฉันจะประสบความสำเร็จให้ได้”
นี่คือประโยคของ ‘ยุนจองนยอน’ หญิงสาวชาวมกโพจากซีรีส์เรื่อง ‘Jeongnyeon: The Star is Born’ บอกพี่สาว หลังตัดสินใจหลบแม่ ทิ้งชีวิตในชนบท ไปคว้าความฝันการเป็น ‘นักแสดงละครกุกกึก’ ในเมืองหลวงตามคำเชิญของ ‘มุนอ๊กกยอง’ นักแสดงเบอร์หนึ่งของวงการ
แม้ความจริงจะต่างจากที่คิด เธอต้องพิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะถึงออดิชั่นผ่านแต่เป็นตัวสำรอง ถูกมองว่าเป็นเด็กเส้น และยังมีพื้นฐานการแสดงไม่เท่ากับคนอื่น
จองนยอนจึงสู้เต็มที่ ฝึกหนักกว่าใคร เต้นไม่ได้ก็พยายามเต้นให้ได้ พยายามเลียนแบบคนที่ทำการแสดงเก่ง ๆ จนค้นพบวิธีแสดงของตัวเอง เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชม เธอต้องพร้อมที่สุด
“ฉันไม่สนว่าบทของฉันจะเล็กแค่ไหน ขอแค่ให้ฉันได้แสดงบนเวที” เธอเคยพูดไว้
แต่ไฟที่เคยมี กลับค่อย ๆ มอดลง เหลือเพียงความน้อยใจ การกล่าวโทษตัวเอง และความอยากเอาชนะเพื่อได้บทที่ตัวเองต้องการ
ทุกก้าวเดินบนเส้นทางความฝันของจองนยอนจึงแลกมาด้วยรอยฝืนยิ้ม ความเจ็บปวด หยาดเหงื่อ และคราบน้ำตา เพราะความฝันครั้งนี้ เธอทุ่มจนสุดตัว และช้าเกินกว่าจะหันหลังกลับ
Jeongnyeon: The Star is Born ไม่ได้เล่าเพียงเส้นทางของหญิงสาวผู้วิ่งตามความฝัน แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า ทุกดวงดาวต้องผ่านค่ำคืนอันมืดมิดที่ทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่ง ก่อนจะได้เปล่งประกายบนท้องฟ้า
Snowdrop คือ ซีรีส์เกาหลีที่เล่าเรื่องรักต้องห้ามของ ‘อึนยองโร’ นักศึกษามหาวิทยาลัยสตรี ดีกรีลูกสาวหัวหน้าฝ่ายมั่นคงของเกาหลีใต้ และอิมซูโฮ สายลับเกาหลีเหนือที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อชาติ ภายใต้ยุคการเปลี่ยนผ่านการปกครองจากระบบเผด็จการสู่ประชาธิปไตย ปี 1987
ความรักของพวกเขาจึงกลายเป็นความรู้สึกที่ต้องเลือกระหว่าง ‘ชาติ’ และ ‘คนรัก’ โดยเฉพาะซูโฮ ถ้าไม่ทำ เขาก็ตาย และถ้าเขาขัดขืน ยองโรก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน ซูโฮจึงทำได้เพียงปกป้องเธออย่างเงียบงัน รับรู้ความเจ็บปวดอยู่ลำพัง และเก็บความห่วงใยทั้งหมดไว้ในใจ
“ถ้าเกิดเราสองคนเป็นแค่คนธรรมดา มันจะเป็นยังไงเหรอคะ” ยองโรเอ่ยถามสายลับเกาหลีเหนือที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ฉันอาจจะร้องเพลงอยู่ที่คาเฟ่ที่ไหนสักแห่ง ฉันอยากเป็นนักดนตรีเหมือนพ่อ มันคือสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ แม้จะอยู่ในที่เหน็บหนาวและทุรกันดาร ฉันเลยอยากใช้ชีวิต ร้องเพลงแบบนั้นให้คนที่ฉันรักฟัง” ซูโฮตอบ
ก่อนที่ยองโรจะตอบว่า “ฉันจะไปคาเฟ่นั้นทุกวัน ไม่ขาดเลย”
นี่อาจเป็นประโยคบอกรักของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เก็บความรู้สึกนี้ไว้มานาน และรู้ว่านี่คือความรักที่ไม่ง่าย แต่อยากจะขอลองดูสักตั้ง
ดังนั้น ต่อให้บทบาทของเขาและเธอจะดูซับซ้อนและส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ สิ่งที่ยองโรทำ คือ การยึดมั่นในความรักและอยู่กับชายที่รักให้ได้นานที่สุด
“ฉันจะอยู่กับคุณซูโอจนสุดทาง” ยองโรบอกกับซูโฮ
แม้แต่ลมหายใจสุดท้าย ยองโรกอดซูโฮไว้แน่น ขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ยองโร… เธอต้องมีชีวิตอยู่ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน”
แล้วซูโฮก็จากไป ทิ้งความว่างเปล่าและน้ำตาไว้กับหญิงที่เขารัก
หลังจากนั้น เมื่อยองโรกลับมาเปิดเทปที่เขาฝากไว้ เธอถึงได้ยินคำที่รอคอยมาตลอด คำว่า ‘รัก’ ที่ซูโฮอยากบอกตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
เพราะบทเรียนที่ Snowdrop ทิ้งไว้ให้เรา ไม่ใช่คติสอนใจที่บอกว่า ความรักจะชนะทุกสิ่ง แต่คือความจริงที่บอกว่า บางครั้งโศกนาฏกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ฝังบาดแผลไว้ในใจที่ยากจะลืมเลือน
เขาว่ากันว่า เพื่อนที่ทำงาน มักเป็นเพื่อนแค่ชั่วคราว แต่สำหรับแก๊งทนาย 5 คน จาก 5 สำนักงานกฎหมายในย่านซอโซ ใน Law andThe City ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับเป็นมากกว่านั้น
พวกเขาคือทนายที่เก่งคนละด้าน สมาชิกทั้งหมดประกอบด้วย ‘อันจูฮยอง’ ที่เก่งหมดทุกด้าน ‘แบมุนจอง’ ที่เจอคดียากก็ทุ่มสุดตัว ‘ฮาซังกี’ ชอบสอนและเก่งเรื่องเอกสารที่สุด ‘โจชางวอน’ ที่ไม่เคยหวั่นแม้จะได้รับงานเล็ก ๆ และ ‘คังฮีจี’ ที่สู้เพื่อลูกความทุกคน
ในที่ทำงาน พวกเขาคือเพื่อนร่วมงาน แต่ในชีวิตจริง พวกเขาเป็นทีมกินข้าว คอยเมาท์มอย และอยู่เคียงข้างในวันที่อ่อนแอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพ่อของคังฮีจี การสนับสนุนความฝันการเป็นอาจารย์ของฮาซังกี การตัดสินใจเปิดสำนักกฎหมายของตัวเองของอันจูฮยอง รับฟังความทุกข์ของโจชางวอน และมอบความมั่นคงทางใจให้แบมุนจอง ช่วงเวลาเหล่านั้น พวกเขาก็อยู่ด้วยกันเสมอ
“ขอบคุณทุกคนมากจริง ๆ ถ้าทำคนเดียว ฉันคงทำไม่ไหวหรอก” ฮีจีบอกกับเพื่อน ๆ ทนายในวันที่ทุกคนช่วยทำให้พ่อของเธอที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นนักธุรกิจขี้โกงพ้นผิด
ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีวรรคทองมากมาย แต่ทุกการกระทำ ทุกคำพูดแสนธรรมดา และทุกสายตาที่พวกเขามองกันมันทำให้เรารู้ว่า การมีคนที่อยู่ข้างเราในวันที่โลกของเราถล่มลงมันเป็นอย่างไร
“พวกเราเหนื่อยกันมาเยอะเลย” ฮาซังกีบอกเพื่อน หลังนัดกินราเม็งด้วยกันหลังเลิกงาน
ก่อนที่จูฮยองจะตอบกลับไปว่า “ทำได้ดีมาก”
เพราะบางเรื่องในชีวิตมันไม่ได้มีคำตอบถูกผิดเหมือนข้อกฎหมาย ปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามทางของมัน โดยมีเพื่อนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรา ไม่ว่าจะล้มอีกกี่ครั้ง แบบที่ทนายทั้ง 5 คนจาก Law and The City พิสูจน์ให้เราเห็น
แม้จะเคยเป็นดาวรุ่งของวงการแบดมินตัน แต่เพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้อนาคตของรุ่นพี่คนสนิทต้องปิดฉากลง ทำให้ ‘พัคแทยัง’ ตัดสินใจแขวนไม้แบตไปเป็นแม่ค้าขายปลาอยู่ 3 ปี
กระทั่งวันหนึ่ง เธอเลือกกลับมาสโมสร เตรียมตัวลงสนามอีกครั้ง แต่ทุกคนกลับหันหลังให้ ร่างกายก็ไม่ได้รวดเร็วเหมือนก่อน พัคแทยังเลยเป็นนักกีฬาที่เริ่มฝึกก่อน และกลับทีหลัง เป็นแบบนี้อยู่เสมอ
“เพราะถึงออกไป ฉันก็ไม่มีความสุขเลยสักนิด ไม่สบายใจ เหมือนผัดวัน และไม่ยอมทำสิ่งที่ต้องทำ เพราะฉันเป็นนักแบตมินตัน”
และเมื่อโอกาสมาถึง เธอได้เจอ ‘พัคแทจุน’ พาร์ทเนอร์ที่เข้าใจเธอดีและเป็นกำลังใจให้เธออยู่ตลอดทั้งในและนอกสนาม
ในการแข่งขันครั้งแรก คู่ฝาแฝดพัค (พัคแทยัง - พัคแทจุน) เป็นนักแบตมินตันคู่ผสมที่จับมือกันสู้พากันเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่สุดท้ายร่างกายเธอไม่ไหวจนต้องไปพักข้างสนาม ปล่อยให้พัคแทจุนสู้อยู่ในสนามคนเดียว
เธอได้แต่นึกว่า ขนาดความเร็ว 493 กิโลเมตรต่อชั่วโมงยังเป็นความเร็วของลูกที่เป็นสถิติโลกอย่างไม่เป็นทางการ แล้วชีวิตของเธอล่ะ จะมีวันไหน วันที่เธอแข็งแกร่ง แม้จะไม่มีใครมองเห็น
“เราจะมีช่วงเวลาแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม ช่วงเวลาที่ตัวเราแข็งแกร่งที่สุด ต่อให้ไม่มีใครยอมรับก็ตาม”
ตอนนั้นแม้ใจอยากจะยอมแพ้ แต่เธอก็ยังบอกตัวเองว่า ตัวเองแข็งแกร่งมากที่สุด มากพอที่จะทำให้เธอลุกขึ้นสู้ต่อได้
ถึงแมทช์นั้น เธอจะแพ้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหมดใจ แทยังกลับมาฝึกให้หนักกว่าเดิม ฝึกตีลูกต่ออีกหลายพันครั้ง ซ้อมวิ่งให้ร่างกายพร้อมที่สุด และไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เรายังลองผิดลองถูก และสู้กับตัวเองได้ทุกวัน
“ถ้าหยุด เดี๋ยวก็อยากนอน ถ้านอนเดี๋ยวก็อยากยอมแพ้” แทยังบอกแบบนั้น
‘Going to You at Speed of 493km’ ไม่ได้บอกให้เราวิ่งตามความฝันด้วยความเร็วที่คนอื่นยอมรับ แต่เป็นจังหวะที่เราเลือกเอง
สุดท้ายแล้ว ชีวิตไม่ได้วัดกันที่จำนวนครั้งที่เราล้ม แต่อยู่ที่ความกล้าที่จะลุกขึ้นใหม่ ต่อให้หมดแรงแค่ไหน ตราบใดที่ไม่หมดใจ เราก็ยังมีแรงก้าวต่อไปได้เสมอ
คุณเคยสงสัยชีวิตของมนุษย์หลังความตายไหม?
มันคือวันที่ตัวคุณจะอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นกับความตาย ไม่รู้ว่าตัวเองไร้ตัวตน รวมถึงไม่สามารถหมดห่วงและปล่อยวางความทุกข์ที่อยู่ในใจได้
แต่ ‘Light Shop’ ซีรีส์เกาหลีที่รีเมกจากเว็บตูนของ ‘คังฟูล’ นักเขียนเว็บตูนระดับตำนาน กลับพาเราไปสำรวจความเปราะบางของชีวิตผ่านหลากหลายตัวละครที่อยากจะใช้ชีวิตกับคนที่พวกเขารักเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าจะเป็นสามีที่อยากเจอภรรยา พ่อที่อยากเจอลูก ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากกลับมาหาคนรักอีกครั้ง มันคือชีวิตธรรมดา ๆ ที่มนุษย์คนหนึ่งอยากทำก่อนไปเกิดใหม่
ร้านขายโคมไฟจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจากพรมแดนความเป็นและความตาย มีทั้งความเศร้า ความหวัง ความสุข ความคลุมเครือ และไม่มีอะไรแน่นอน
ชีวิตของเราจะได้ไปต่อหรือไม่ มันอยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละคน หมายถึง ตั้งใจว่าจะอยู่หรือไป
สำหรับพยาบาลที่เจอคนไข้มานับไม่ถ้วน เธอเองก็ตอบได้เพียงว่า “ขึ้นอยู่กับความตั้งใจการมีชีวิตอยู่ของคนไข้”
สำหรับเจ้าของร้านโคมไฟคนเก่าก็บอกกับพ่อที่เพิ่งเสียลูกไปได้แค่ว่า “ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของลูก”
เรื่องราวทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนคนหนึ่งที่จะเลือกบอกลาอดีตเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ หรือเลือกจะอยู่ต่อ แล้วใช้ชีวิตต่อในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
ช่วงเวลาที่เหล่าตัวละครเจอโคมไฟ มันคือ ช่วงเวลาที่พวกเขาจะค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่ต่อ การตายไปไม่ได้ผิด และการอยู่ต่อก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะชีวิตหลังความตาย อาจไม่สำคัญเท่ากับการได้รู้ว่า วันนี้เรายังมีชีวิตอยู่เพื่อใคร และเพื่ออะไร
ท้ายที่สุด Light Shop สอนให้เรากล้าที่จะบอกลาอดีต แล้วการเริ่มต้นใหม่จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราเลือกก้าวต่อไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และมอบความหมายให้ชีวิตตัวเอง
ภาพ : Disney+ Hotstar Thailand