23 มิ.ย. 2568 | 15:30 น.
KEY
POINTS
/ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของแอนิเมชันเรื่อง Elio (2025) /
“ชีวิตเธอไม่ได้อยู่นอกโลกนะ เอลิโอ”
น้ำเสียงหงุดหงิดของอาสาวไม่ได้แค่ย้ำเตือน หากแต่ตอกย้ำให้เด็กชายเอลิโออยากหนีไปเผชิญชีวิต ‘นอกโลก’ ยิ่งกว่าเก่า ในเมื่อโลกใบนี้เหลือเพียงเพื่อนวัยเดียวกันที่กลั่นแกล้ง ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็น ‘แกะดำ’ กับผู้ปกครองผู้ฉุดกระชากเขาจากความฝัน...ด้วยข้อหาว่าเขาเป็นแกะดำเช่นเดียวกัน
ทว่าในอีกมุมหนึ่งก็ชวนตั้งคำถามว่า อาของเอลิโอผิดจริงหรือที่ไม่อยากให้หลานเป็นแบบนั้น ในเมื่อสิ่งที่เอลิโอทำคือการพยายามติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกอย่างไร้มูลเหตุแก่นสาร ซ้ำยังนำมาสู่ความวุ่นวายระดับที่หากเกิดในชีวิตจริง คงไม่ใช่แค่โดนตราหน้า แต่อาจถึงขั้นมีโทษตามกฎหมาย
แม้จะเคยได้ยินการเปรียบเปรยเชิงว่า การเป็นแกะดำหมายถึงเราเป็นคนพิเศษ แต่หากมองตามความเป็นจริง ‘ความพิเศษ’ กับ ‘ความเลยเถิด’ ย่อมมีเส้นบาง ๆ ขวางกั้น ช่วงแรกของแอนิเมชันเรื่องล่าสุดจาก Pixar ท้าทายคนดูให้ขบคิดประเด็นนั้น ก่อนที่พอเข้าสู่ช่วงกลาง แก่นสารที่จริงใจและอบอุ่นตามขนบของผู้สร้างจะค่อย ๆ ถูกเผยออกมา
‘Elio’ คือชื่อเรื่อง และชื่อของเด็กชายโลกส่วนตัวสูงที่สูญเสียพ่อแม่ จนต้องมาอาศัยอยู่กับ โอลก้า อาสาวผู้เป็นทหารในฐานทัพอากาศ ความโดดเดี่ยวทำให้เขาเกิดความคิดว่า ในจักรวาลอาจมีสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจเขามากกว่ามนุษย์บนโลก ก่อนที่การติดต่อกับเอเลี่ยนโดยบังเอิญจะพาเอลิโอไปยัง ‘คอมมิวนิเวิร์ส’ (Communiverse) สถานที่รวบรวมตัวแทนสิ่งมีชีวิตทั่วจักรวาล ที่นั่น เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้นำของโลก นำไปสู่ภารกิจแสนวุ่นวาย และบทสรุปที่ชวนให้เราอยากโอบกอดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแกะดำเสียเหลือเกิน
เพราะแท้จริงแล้ว แกะดำก็เป็นเพียงคำเรียกมนุษย์คนหนึ่งที่มี ‘ตัวตน’ เด่นชัด แตกต่างจากคนอื่น บางครั้งอาจนำมาสู่การดื้อรั้น เอาแต่ใจ ดังที่เอลิโอทำในช่วงต้น แต่นั่นอาจเป็นเพราะผู้คนรอบข้างที่พยายามฉุดกระชากพวกเขาให้เข้าร่องเข้ารอย
ขณะเดียวกัน ดังที่กล่าวไปช่วงต้นว่า ตัวตนที่พิเศษกับตัวตนที่เลยเถิดมีเพียงเส้นบาง ๆ ขวางเอาไว้ แก่นสารของ Elio จึงไม่ใช่การกางปีกปกป้องการกระทำอันเลยเถิด หากแต่ตีแผ่ให้เห็นถึงผลลัพธ์อันเกิดจาก ‘ความไม่เข้าใจ’ ระหว่างแกะดำกับคนรอบข้าง ว่าหากต่างฝ่ายต่างเปิดใจให้กันมากกว่านี้ แกะดำผู้โดดเดี่ยวทั้งบนโลกและในจักรวาล ก็อาจได้พบ ‘บ้าน’ ในดาวที่อาศัยอยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้
การออกแบบงานสร้างของแอนิเมชันเรื่องนี้เป็นไปอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างโลกสองใบที่เอลิโออยู่ ฉากในโลกมนุษย์และฐานทัพอากาศอันเป็นที่ทำงานของโอลก้าจะให้ความรู้สึกวังเวง คับแคบ ชวนอึดอัด ตีกรอบเด็กชายทุกทิศทาง ในขณะที่คอมมิวนิเวิร์สซึ่งเปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามจะเต็มไปด้วยสีสันและความสดใส มาพร้อมการเคลื่อนกล้องแสนวุ่นวาย ให้อารมณ์โลดโผนโจนทะยาน รับกับความรู้สึกของตัวละครยามออกผจญภัยในบ้านหลังใหม่
ในส่วนของเนื้อเรื่อง แม้จะเป็นไปตามขนบของภาพยนตร์แอนิเมชัน ที่ต้องเริ่มต้นจากการผจญภัยร่วมกันของตัวละครที่มีข้อบอกพร่องบางอย่าง แล้วจบลงด้วยบทสรุปที่ทำให้ตัวละครแก้ไขข้อด้อยนั้นได้สำเร็จ แต่ Elio ก็โดดเด่นด้วยการเล่าเรื่องที่เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก ตามประสาแอนิเมชันของค่าย Pixar ที่เคยเรียกน้ำตาคนทั่วโลกด้วย Up, Coco หรือ Inside Out ทั้งสองภาค
ตัวละครเอลิโอ มองผิวเผินอาจเป็นเด็กชายที่มีนิสัยมุทะลุ เอาแต่ใจในการไขว่คว้าความฝันที่หลุดกรอบจากความเป็นไปได้ แต่ทั้งหมดก็เกิดจากสังคมและอาที่ไม่เพียงแค่ไม่ปลอบประโลม แต่ยังปฏิบัติต่อความฝันของเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าวและห่างเหิน (ในความรู้สึกของเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบ) จึงสามารถสรุปได้ว่า ความฝันของเอลิโอไม่ใช่ความเพ้อเจ้อย่างการได้อยู่กับเอเลี่ยน หากแต่เป็นการค้นพบบ้าน หรืออีกนัยหนึ่ง คือสถานที่ที่มีคนเข้าใจเขาอย่างแท้จริง
ความตลกร้ายอย่างหนึ่งของเรื่อง คือการสร้างเรื่องราวกึ่งประชดประชันว่า ผู้ที่ทำตัวแตกต่างจะต้องโดดเดี่ยวเสมอ ไม่ว่าจะบนโลกมนุษย์หรือในดาวเคราะห์ดวงไหน เอลิโอจึงไม่ใช่เด็กคนเดียวที่โดดเดี่ยว แต่ยังรวมถึง ‘กลอร์ดอน’ เอเลี่ยนรูปร่างคล้ายหมีน้ำ ลูกชายของ ‘ไกรกอน’ จอมวายร้ายผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวาล โดยกลอร์ดอนแตกต่างจากเผ่าพันธุ์เดียวกันตรงที่มีนิสัยรักสงบ ขี้เล่น ไร้เดียงสา ทำลายความคาดหวังของพ่อผู้ต้องการให้ลูกสืบทอดตำแหน่งของตนทุกประการ การพบกันของเอลิโอกับกลอร์ดอนจึงเปรียบเสมือนได้เจอคนหัวอกเดียวกัน นำมาสู่มิตรภาพที่แน่นแฟ้น
“ฉันเคยเป็นแต่ตัวภาระ ตัวน่าผิดหวัง ตัวป่วน ตัวปัญหา ตัวน่าปวดหัว (ของพ่อ)”
การพูดประโยคนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงร่าเริงของกลอร์ดอน ดูจะเป็นภาพสะท้อนความไร้เดียงสาที่เอลิโอไม่มี อาจเพราะการสูญเสียพ่อกับแม่ทำให้เอลิโอเติบโตขึ้นอีกขั้น และหันไปตอบสนองต่อความโดดเดี่ยวด้วยท่าทางอมทุกข์ ผิดกับกลอร์ดอนที่อาศัยอยู่ในรังมาทั้งชีวิต จึงไม่ค่อยเผชิญความบีบคั้นจากสังคมเท่าไหร่ ความไร้เดียงสาของเพื่อนใหม่นี้เองที่ทำให้เด็กชายรู้สึกสบายใจและปลอดภัยยามคุยด้วย
“อยู่ที่โลก ฉันเข้ากับใครไม่ได้
ฉันเคยคิดว่าปัญหาอยู่ที่โลก
แต่มันคงอยู่ที่ตัวฉันเอง”
เขาเปิดเผยความรู้สึกนี้กับกลอร์ดอน เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้รู้ว่า เด็กผู้ชายจอมแก่นอย่างเอลิโอก็มีมุมของความเป็นผู้ใหญ่ ที่หันมานึกทบทวนว่า การทำตัวเลยเถิดของตนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหา
กระนั้น สาเหตุหลักของความโดดเดี่ยวก็คงไม่อาจโทษพฤติกรรมของเอลิโอเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้างที่ผลักไสและบีบบังคับให้เขาละทิ้งตัวตนแทบจะตลอดเวลา
ความตลกร้ายอย่างที่สองของ Elio คือการนำเสนอภาพครอบครัวของทั้งเอลิโอและกลอร์ดอนในแบบเดียวกัน นั่นคือยอมรับและเข้าใจตัวตนของเด็กชายทั้งสองอยู่เต็มอกตั้งแต่ในทีแรก แต่กลับเลือกผลักไส แสร้งว่าไม่ยอมรับ ด้วยเหตุผลว่า ไม่อยากให้ลูกหลานของตนเป็นแกะดำในสังคม แม้เจตนาดังกล่าวจะถือว่าเข้าใจได้ แต่มันกลับเป็นต้นเหตุที่บีบให้เอลิโอรู้สึกแปลกแยกกว่าเดิม
หลังจากที่คอมมิวนิเวิร์สส่งร่างโคลนของเอลิโอไปยังโลก ซ้ำยังเป็นร่างโคลนที่มีนิสัย ‘ในอุดมคติ’ ปฏิบัติตัวตามความคาดหวังของสังคม เอลิโอตัวจริงก็ได้เห็นภาพอันน่าเจ็บปวด นั่นคือโอลก้าซึ่งใช้ชีวิตร่วมกับร่างโคลนของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขในแบบที่เขาไม่เคยเห็น ภาพนั้นตอกย้ำว่าเขาคือตัวปัญหาอย่างแท้จริง หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว อีกฝ่ายไม่เคยมีความสุขกับหลานชายจอมปลอม
คืนหนึ่ง โอลก้าแสร้งกอดร่างโคลนเอลิโอก่อนส่งเข้านอน จากนั้น สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นร้อนรน ผู้ชมจึงได้รู้ว่า เธอรู้แต่แรกแล้วว่าร่างนั้นไม่ใช่หลานชาย และพยายามค้นคว้าข้อมูลเรื่องการสลับร่างหรือการถูกล้างสมองมาโดยตลอด ภาพหญิงสาวผู้เปี่ยมวุฒิภาวะหันมาจมจ่อมกับการหาข้อมูลที่เธอในอดีตเคยปรามาสว่าไร้สาระ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างหนักแน่น ทั้งที่ยังไม่อาจหาข้อพิสูจน์...เธอคงไม่มั่นใจเท่านี้หากอีกฝ่ายไม่ใช่หลานชายที่เธอรัก และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่เสมอ
ภาพความร้อนรนของโอลก้าซ้อนทับกับภาพของไกรรอน ยามที่เขาพาลูกชายไปสวมชุดเกราะเพื่อทำหน้าที่นักรับผู้แข็งแกร่ง โดยไม่รู้เลยว่า เอลิโอทำการสลับเอาร่างโคลนของกลอร์ดอนมาส่งให้แทน ท่าทางกระตือรือร้นอยากเข่นฆ่าของกลอร์ดอนทำให้ไกรรอนรู้สึกใจหาย แม้จะเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังให้ลูกชายเป็น แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ไกรรอนจึงจับได้แล้วเอ่ยประโยคอันเปรียบเสมือนใจความของเรื่อง
“พ่อย่อมจำลูกได้เสมอ”
เช่นเดียวกับโอลก้าที่จำเอลิโอได้เสมอ...ครอบครัวคือผู้ที่เข้าใจ และรักในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขามาโดยตลอด แม้จะแสดงออกในทางตรงกันข้ามเพราะไม่ต้องการให้ลูกหลานของตนแปลกแยกจากสังคม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่อาจทำใจได้หากตัวตนดังกล่าวต้องเลือนหาย
บทสรุปของ Elio จึงจบลงอย่างไม่ซับซ้อน ด้วยการที่ทั้งเอลิโอและโอลก้าเข้าใจถึงความรักที่ต่างฝ่ายต่างมีให้ เช่นเดียวกับไกรรอนและกลอร์ดอน ไม่มีผู้ใดโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากบ้านของตนอีกต่อไป
ทว่าแก่นสารดังกล่าวไม่ได้ถูกถ่ายทอดผ่านประเด็นครอบครัวเพียงอย่างเดียว หากยังรวมถึงความพยายามของมนุษย์ในการหาบ้านหลังใหม่ ดังที่ตัวหนังหยิบยกประวัติศาสตร์ของ ‘ยานวอยเอเจอร์’ (Voyager Spacecraft) มาเป็นแรงขับเคลื่อนให้เอลิโอหาทางติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว
และเรื่องราวใน Elio ก็เป็นภาพสะท้อนดี ๆ ถึงประวัติศาสตร์การบินและอวกาศแสนทะเยอทะยานของมนุษยชาตินี่เอง
หลายคนอาจไม่ทราบว่า ยานอวกาศรวมถึง ‘แผ่นดิสก์ทองคำ’ (Golden Record) ที่เอลิโอเห็นในนิทรรศการภาพเสมือนจริงช่วงต้นเรื่องมีที่มาจากเรื่องจริงของการส่งหลักฐานการมีอยู่ของมนุษยชาติขึ้นไปบนอวกาศ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง จะมีอารยธรรมต่างดาวมาค้นพบ
‘วอยเอเจอร์’ (Voyager) คือยานสำรวจอวกาศจำนวนสองลำ ประกอบด้วยยานวอยเอเจอร์ 1 และยานวอยเอเจอร์ 2 ที่องค์การน่าซ่า (NASA) ปล่อยออกไปใน ค.ศ. 1977 เพื่อทำภารกิจสำรวจดาวเคราะห์ชั้นนอก ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน รวมถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้นต่อจากนั้นโดยไม่ต้องเดินทางกลับ โดยในปัจจุบัน ยานทั้งสองลำได้เดินทางพ้นเขตระบบสุริยะ เข้าสู่ ‘ช่องว่างระหว่างดวงดาว’ (Interstellar Space) หรือพื้นที่ว่างเปล่าระหว่างระบบสุริยะซึ่งมีระยะทางหลักหมื่นล้านไมล์ นั่นคือจุดที่นักดาราศาสตร์คาดหวังว่าจะมี ‘เพื่อนใหม่’ มาค้นพบถึงการมีอยู่
ยานวอยเอเจอร์ทั้งสองลำบรรจุแผ่นดิสก์ทองคำ พร้อมกลไกหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ออกแบบมาแล้วว่า สิ่งมีชีวิตทรงภูมิจากพื้นที่ใดก็ตามจะสามารถเปิดอ่านได้ เช่น การใช้อะตอมของธาตุไฮโดรเจนในการถอดรหัส เพราะไฮโดรเจนเป็นธาตุพื้นฐานที่พบได้ทุกแห่งในจักรวาล
ข้อมูลในแผ่นดิสก์มีหลากหลาย ตั้งแต่ภาพถ่ายสถานที่ต่าง ๆ ในโลก (ภาพรถติดบริเวณสะพานพุทธยอดฟ้าในประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น) ข้อมูลทางกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ เสียงพูดทักทายหลากภาษา (รวมถึงภาษาไทยที่กล่าวว่า “สวัสดีค่ะ สหายในธรณีโพ้น พวกเราในธรณีนี้ขอส่งมิตรจิตมาถึงท่านทุกคน”) ทว่าสิ่งที่สะท้อนถึงความทะเยอะทะยานในการหา ‘เพื่อนใหม่’ ที่สุด เห็นจะเป็นแผนที่ระบบสุริยะซึ่งอารยธรรมต่างดาวจะสามารถตามรอยจนมาพบกับโลกที่เราอาศัยอยู่
ใน Elio เหตุผลที่คอมมิวนิเวิร์สมาพาเอลิโอไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาค้นพบแผนที่ในแผ่นดิสก์ทองคำ จนอดคิดต่อยอดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า หากมนุษย์ต่างดาวได้เจอกับยานทั้งสองจริง พวกเขาจะสามารถถอดรหัสและเดินทางมาที่โลกตามที่นักดาราศาสตร์วางแผนเอาไว้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไร การศึกษาเรื่องราวของยานวอยเอเจอร์พร้อมขบคิดถึงเรื่องราวใน Elio ก็ชวนให้ต่อจุดเป็นความเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง…
ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิและวุฒิภาวะแบบไหน มนุษย์ก็ยังต้องการสรรหาพันธมิตร หรืออีกนัยหนึ่ง คือเพื่อนใหม่ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ด้านความเข้าอกเข้าใจแบบที่เอลิโอต้องการ ไปจนถึงผลประโยชน์ด้านวิทยาการ หรือแม้กระทั่งอำนาจ ตามที่นักวิทยาศาสตร์หรือรัฐบาลของหลาย ๆ ประเทศต้องการจากอารยธรรมต่างดาวก็ตาม
สุดท้าย เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า อวกาศคือสถานที่ที่รอให้เราค้นพบเพื่อนหรือบ้านหลังใหม่อยู่เสมอ และไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์จำนวนมากจะมีความฝันคล้ายคลึงกับเอลิโอ นั่นคือการได้ออกเดินทางไปสู่ห้วงจักรวาลสักครั้งในชีวิต
อย่างไรก็ตาม Elio ก็ได้มอบแก่นสารอันแสนอบอุ่นเป็นการปิดท้ายว่า แม้อวกาศจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน สุดท้ายแล้ว บ้านของเราทุกคนก็คือโลก...สถานที่ซึ่งครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
และบ้านหลังนี้เองคือสถานที่ที่อบอุ่น เปี่ยมด้วยความเข้าใจ และปราศจากความโดดเดี่ยวที่สุดแล้วในเอกภพที่เรารู้จัก
ภาพ : ภาพยนตร์ Elio - IMDb