โทนี โครส : อัจฉริยะดาวค้างฟ้าผู้คงเส้นคงวาตลอดอาชีพนักฟุตบอล

โทนี โครส : อัจฉริยะดาวค้างฟ้าผู้คงเส้นคงวาตลอดอาชีพนักฟุตบอล

ย้อนดูเรื่องราวชีวิตของ ‘โทนี โครส’ (Toni Kroos) กับเส้นทางที่เริ่มตั้งแต่นักฟุตบอลเยาวชน ไปจนถึงวันที่แขวนสตั๊ดและถูกจดจำในฐานะดาวค้างฟ้าแห่งนักเตะเยอรมัน

นักเตะเยอรมันผู้มีส่วนในความสำเร็จของทีมชาติและสโมสร อีกทั้งรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงได้ตลอดอาชีพคงมีเพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือ ‘โทนี โครส’ (Toni Kroos) มิดฟิลด์เชิงสูงแห่งสโมสรเรอัล มาดริด ผู้เพิ่งประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพหลังจากจบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2024 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ 

เขาเป็นตัวอย่างของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวในระดับเวิลด์คลาส โทรฟี่กว่า 30 ใบ วินัยในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ไปจนถึงคาแรกเตอร์ที่โดดเด่น เขาได้รับการยกย่องจากทุกสโมสรที่เขาเคยเล่น แม้แต่ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน ที่เคยยืมตัวเขามาเล่น 1 ปีครึ่ง ยังต้องสดุดีต่อคุณูปการของเขา 

โทนี โครส ถือกำเนิดในเยอรมนีตะวันออกในช่วงรอยต่อแห่งการรวมชาติเยอรมนี เขาเกิดที่เมืองไกรฟส์วัลด์ (Greifswald) แห่งรัฐเมคเลินบวร์ก-ฟอร์พ็อมเมิร์น (Mecklenburg-Vorpommern) เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1990 ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนหลังการทลายกำแพงเบอร์ลิน และ 9 เดือนก่อนการรวมชาติเยอรมนีอย่างเป็นทางการ 

 

โครสเติบโตในครอบครัวนักกีฬา โดยโรลันด์ โครส คุณพ่อของเขาเป็นโค้ชทีมเยาวชนในสโมสรฮันซ่า รอสต๊อค คุณแม่ของเขา บีร์กิต เคมเมอร์ เป็นนักกีฬาแบดมินตันเจ้าของแชมป์แห่งเยอรมนีตะวันออก 10 สมัย รวมถึงเฟลิกซ์ โครส น้องชายของเขาก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพในเยอรมนี ผู้เคยเล่นให้ทั้งสโมสร เอสเฟา แวร์เดอร์ เบรเมน และอูนิโอน แบร์ลิน 

เขาเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลเยาวชนในสโมสรท้องถิ่นอย่าง ไกรฟส์วัลเดอร์ เอสเซ และฮันซ่า รอสต๊อค ก่อนที่ในปี 2006 บาเยิร์น มิวนิค มหาอำนาจลูกหนังจากแดนใต้จะดึงเพชรเม็ดงามไปเจียระไนจนกลายเป็นดาวค้างฟ้า

โครสฉายแววการเป็นยอดนักฟุตบอลมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เขาเคยติดทีมชาติเยอรมนีชุดเยาวชนไปเล่นฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีที่ประเทศเกาหลีใต้ในปี 2007 สามารถคว้าอันดับ 3 ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์ และคว้าอันดับ 3 ดาวซัลโวแห่งทัวร์นาเมนต์ด้วยการยิง 5 ประตู แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปีในปี 2009 ก็ตาม 

ส่วนในบาเยิร์น มิวนิคเมื่อฤดูกาล 2007 - 2008 เขาเปิดตัวการเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้อย่างสวยงาม โดยได้รับโอกาสจากเทรนเนอร์อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ และเขาจ่ายให้มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยิงถึง 2 ประตูในชัยชนะอย่างถล่มทลาย 5 - 0 ในนัดที่เปิดอัลลิอันซ์ อารีน่า พบกับเอเนร์กี คอตบุส 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนักจนต้องถูกปล่อยให้ไบเออร์เลเวอร์คูเซินยืมตัวเมื่อต้นปี 2009 เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ก่อนจะกลับมาเพื่อพาบาเยิร์น มิวนิคประสบความสำเร็จมากมายโดยเฉพาะในฤดูกาล 2012 -2013 ที่เขาคว้าทริปเปิลแชมป์ให้ทีม โดยได้แชมป์บุนเดสลีกา เดเอฟเบ โพคาล และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 

ขณะที่ในทีมชาติ เขาก้าวสู่การเป็นตัวหลักหลังจบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2012 และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ประเทศบราซิลได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะนัดที่เยอรมนีถล่มบราซิลเจ้าภาพ 7 - 1 เขายิง 2 ประตูและได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยม (Man of the Match) ในนัดดังกล่าวด้วย

หลังจากที่เขาขัดแย้งกับผู้บริหารสโมสรบาเยิร์น มิวนิคเกี่ยวกับการตกลงค่าเหนื่อยในสัญญาฉบับใหม่ และความขัดแย้งทางแท็กติกกับเทรนเนอร์โจเซป ‘เปป’ กวาร์ดิโอลา เขาตัดสินใจย้ายไปสร้างตำนานฉบับใหม่ที่เรอัล มาดริด

เขาไม่ประสบปัญหาในการปรับตัวแต่อย่างใด แถมยังคว้าแชมป์แทบทุกประเภทให้กับราชันชุดขาวได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่เขาคว้ามาประดับสโมสรได้ถึง 4 สมัย เมื่อรวมกับที่เขาคว้าให้กับบาเยิร์นอีก 1 สมัย ถือว่าเขาได้แชมป์รวมทั้งหมด 5 สมัย เป็นรองแค่ปาโก้ เกนโต้ ตำนานนักเตะรุ่นปู่ผู้วายชนม์ของทีม โดยในปีนี้เขาได้พาราชันเข้าชิงบอลยุโรปอีกครั้ง เพื่อคว้าแชมป์ทาบสถิติของเกนโต้ 

เขาเป็นมันสมองในแดนกลางของทีมในตำแหน่งตัวทำเกมจากแนวลึก (Deep-Lying Playmaker) ผู้กำหนดจังหวะเกมให้ไหลลื่น แม้ว่าเขาจะเคยเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์ยืนสูงในช่วงต้นอาชีพก็ตาม ความโดดเด่นในการเล่นของเขาคือ การครองบอลที่เหนียวแน่น การอ่านเกมที่ชาญฉลาด การผ่านบอลที่แม่นยำในทุกรูปแบบ การคุมเกมดุจวาทยกรวงซิมโฟนี เทคนิคการเล่นอันสูงส่ง และทีเด็ดจากลูกนิ่ง โดยเฉพาะการผ่านบอลอันแม่นยำจนเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา จนได้รับฉายาว่า ‘โทนีจอมวางบอล’ (Querpass-Toni)  

ยิ่งกว่านั้น เขายังปรับตัวเข้ากับระบบและเพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่เขาสามารถเล่นให้เรอัล มาดริดด้วยมาตรฐานแบบเดียวกันหรือสูงกว่าที่เคยเล่นให้บาเยิร์น มิวนิค รวมถึงสามารถเล่นเข้ากับผู้เล่นสไตล์เดียวกันอย่างบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และลูก้า โมดริชได้อย่างลงตัว จนเป็นพลังในแดนกลางให้กับทีม ถือว่าเขาเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

อีกจุดเด่นของโทนี โครส คือ ความสม่ำเสมอในการเล่น ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร และเล่นอยู่ในสโมสรไหน ก็ทำผลงานอยู่ในระดับสูงเสมอมา อีกทั้ง ไม่ว่าผลงานในทีมชาติเยอรมนีช่วงหลังปี 2014 จะตกต่ำดำดิ่งเพียงใด ระดับการเล่นของโครสยังอยู่ในระดับสูงเช่นเดิม 

หนังสือพิมพ์ฟุตบอล ‘คิกเกอร์’ (Kicker) ของเยอรมนีได้จัดการเล่นของเขาให้อยู่ในระดับนานาชาติ (International) และเวิลด์คลาส (World Class) มาตลอด สะท้อนถึงความสม่ำเสมอในการเล่นของโครสที่ไม่อาจถูกกระทบจากปัญหาภายในวงการฟุตบอลเยอรมนีแต่อย่างใด เขาจึงเป็นที่ต้องการของทีมชาติ แม้ว่าจะประกาศอำลาทีมชาติเยอรมนีในปี 2021 เขาก็ถูกเรียกตัวกลับมาช่วยทีมชาติในช่วงสุดท้ายของอาชีพเพื่อสู้ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2024 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ เขาได้แสดงให้เห็นในนัดอุ่นเครื่องเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศส 2 - 0 จากการจ่ายบอลให้โฟลเรียน เวียร์ทซ์ยิงเข้าประตูในวินาทีที่ 8 อันถือเป็นประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมัน  

น่าสนใจว่า การที่สโมสรใหญ่ปล่อยตัวนักเตะดาวรุ่งให้สโมสรระดับรองก่อนดึงกลับคืนมา เป็นโมเดลหนึ่งในการสร้างคาแรกเตอร์ให้พวกเขามีความแข็งแกร่งและเป็นมืออาชีพ เนื่องมาจากสโมสรระดับรองอยู่ในสภาวะที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดมากกว่าสโมสรใหญ่ การได้สัมผัสบรรยากาศดังกล่าวจะช่วยให้พวกเขามีแรงกระตุ้นในการรักษามาตรฐานการเล่นของตนเองตลอดเวลา ตัวอย่างที่สำคัญคือ ฟิลิปป์ ลาห์ม ผู้เคยถูกบาเยิร์น มิวนิคปล่อยตัวให้เฟาเอฟเบ สตุทท์การ์ท ยืมระหว่างปี 2003 - 2005 และมาร์คุส บับเบิล ผู้เคยถูกขายให้ฮัมบวร์ก เอสเฟาในปี 1992 ก่อนบาเยิร์นซื้อกลับคืนมาในปี 1994 

นอกจากนี้ในอังกฤษ เดวิด เบคแฮมเคยถูกปล่อยตัวให้เปรสตัน นอร์ธเอนด์ยืมตัว 1 เดือนเมื่อต้นปี 1995 พวกเขาเหล่านี้กลับมามีพัฒนาการที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิม และเพิ่มเติมด้วยการรักษาระดับการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา โครสเองก็เช่นกัน เขาพัฒนาไปอีกระดับพร้อมกับความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่น

จึงถือได้ว่า โทนี โครส เป็นผู้นำพาความสำเร็จมากมายสู่สโมสรและทีมชาติด้วยชั้นเชิงการเล่นอันชาญฉลาด ความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่น และคาแรกเตอร์อันแข็งแกร่ง ผลงานในสนามของเขาไม่เคยตกต่ำแม้ว่าผลงานทีมจะมีขึ้นมีลง ยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าเรอัล มาดริด ต้นสังกัดของเขาจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกหรือไม่ ทีมชาติเยอรมนีจะมีผลงานอย่างไรบนแผ่นดินเกิด ชื่อเสียงโครสจะยังคงได้รับการจารึกไว้ในฐานะตำนานอีกฉบับแห่งวงการฟุตบอลเยอรมนี