น้องทราย คุณแม่ขอร้อง : น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง

น้องทราย คุณแม่ขอร้อง : น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง

น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ตลกระดับตำนานที่เรียกเสียงหัวเราะ หยิบเรื่องสังคมมาทำเป็นเรื่องตลก เจ้าของวลี “น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง”

KEY

POINTS

  • น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ถนัดการเอาเรื่องเฉพาะหน้าหรือข่าวสารที่กำลังเป็นกระแสมาพูดอำตลกเรียกเสียงหัวเราะ พร้อม ๆ กับทำท่าอ้าปากกว้างอันเป็นเอกลักษณ์
  • ในช่วงท้ายชีวิตของน้องทราย เขาป่วยราวปี 2548 ด้วยโรคเกี่ยวกับปอด จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัวเป็นเวลาหลายวัน และจากไปในกลางเดือนมีนาคม 2553 
  • น้องทรายเป็นตัวอย่างในการต่อสู้และยืนหยัดเพื่อเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ซึ่งไม่ว่าโลกนี้จะบัดซบสักเพียงใด น้องทรายก็คงจะถือไมค์บอกกับแฟน ๆ หน้าเวทีว่า “น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง”

“น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง” 

ประโยคเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พร้อม ๆ กับการขยับอ้าปากกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ของดาวตลก น้องทราย คุณแม่ขอร้อง น่าจะยังอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ ตลก และคนไทยจำนวนไม่น้อย เพราะในยุคหนึ่ง น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ถือเป็นดาวตลกที่มีชื่อเสียง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งรูปร่าง การแต่งกาย วลีฮิตส่วนตัว รวมไปถึงมุกตลกเล่าเรื่องและการเล่นกับคนดูหน้าเวทีตลกคาเฟ่

เดือนมีนาคม 2567 ทั้งไอแดดร้อน ลม และฝนกำลังจะพัดผ่าน จะด้วยอะไรดลใจก็ไม่อาจทราบได้ ตามประสาคนที่ชอบเปิดคลิปวิดีโอตลกคาเฟ่ฟังเวลาขับรถทางไกล วันหนึ่งคลิปตลกคาเฟ่คณะซุปเปอร์ดอน (ดอน จมูกบาน) ก็เด้งขึ้นมาเป็นรายการแนะนำใน YouTube ผู้เขียนจึงกดเข้าไปฟังเพลิน ๆ ไม่น่าเชื่อว่า แม้จะรู้ทางมุกตลกเป็นอย่างดีแล้ว แต่ด้วยจังหวะ น้ำเสียง และลีลาการเล่นกับคนดูหน้าเวทีของดาวตลก น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ก็ทำเอาผู้เขียนนั่งหัวเราะคนเดียวอยู่ในรถ 

น้องทราย คุณแม่ขอร้อง ได้ลาลับโลกแห่งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตานี้ไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2553 หรือประมาณ 14 ปีก่อน ไม่ว่าจะช้าหรือนาน บางทีนี่คงเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เขียนจะบันทึกถึงอีกหนึ่งดาวตลกในดวงใจของแฟน ๆ ตลก ที่ชื่อ น้องทราย คุณแม่ขอร้อ

จาก พี่ค่อม ถึง น้องทราย

น้องทราย คุณแม่ขอร้อง หรือในชื่อสกุลจริง นายธวัชชัย แสงคำ เป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ ในวัยเด็ก น้องทรายประสบอุบัติเหตุตกบันไดแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จึงทำให้กระดูกสันหลังโค้งค่อมงอมากกว่าคนปกติทั่วไปมาตั้งแต่เยาว์วัย

แม้จะมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์มากนัก แต่ก็มิใช่อุปสรรคที่จะหยุดกั้นในการทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง ตามประวัติ น้องทรายเริ่มเข้าวงการจากการสมัครเข้าไปทำงานในวงดนตรีลูกทุ่ง รุ่งเพชร แหลมสิงห์ โดยยังรับหน้าที่เป็นคนเลี้ยงลูกให้นักร้องดังอย่างรุ่งเพชรด้วย จากนั้นก็ย้ายไปตามคณะวงดนตรีลูกทุ่งต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมเฟื่องฟูในช่วงทศวรรษ 2520 - 2530 อย่างวงดนตรีของ แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ เย็นจิตร พรเทวี และ พิมพา พรศิริ จากนั้นในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2530 ก็ย้ายมาอยู่กับวงดนตรีของ ดุษฎี ดอกรัก หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ รุ่ง สุริยา โดยในขณะนั้น น้องทรายมีชื่อในวงการแสดงตลกหน้าเวทีลูกทุ่งว่า ‘เพ็ญพักตร์ พวงทอง’ ซึ่งล้อไปตามชื่อของนักร้องลูกทุ่งสาวในยุคนั้น แต่สำหรับเพื่อนฝูงในคณะวงดนตรี ต่างเรียกชายผู้นี้ว่า ‘พี่ค่อม’ ดังที่ รุ่ง สุริยา เล่าว่า

“ตอนนั้นประมาณปี 2530 ป๋าเด็ดดวง ดอกรัก ทำวงดนตรีให้ หลังจากที่พี่แอ๊ว ยอดรัก แยกออกไป ผมเดินสายกับเพ็ญพักตร์ พวงทอง หรือ น้องทราย ตอนนั้นทุกคนเรียกชื่อว่า พี่ค่อม มาเล่นตลกคั่นเวลาก่อนหัวหน้าวงออกหน้าเวที เขาจะมาเล่นประกบหัวหน้าวง พูดแซวกัน เขาแต่งตัวแบบผู้หญิง แต่ยังไม่แต่งแบบเต็มร้อยอย่างทุกวันนี้ พี่เขาแซวคนดูเก่ง ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเก่งเวที บางทีผมขำมากต้องบอกแกหยุด เพราะผมหัวเราะจนร้องเพลงไม่ได้ เขาชอบเล่นมุกปีนขึ้นไปบนราวเวที จะทำแบบเหมือนลิง ผมเองก็ไม่เคยดูตลก ก็ขำมาก พี่เขาเป็นตลกนำในวงเลย พี่ค่อมเป็นเหมือนครูบาอาจารย์เรื่องตลกของผมเลยแหละ เป็นตลกคนแรกที่เล่นประกบกับผม พักหลัง ๆ เวลาเจอกันผมก็สวัสดีพี่เขา เขาชอบเรียกผมว่า หัวหน้ารงค์ เพราะชื่อจริงผมชื่อ ณรงค์”

หลังเป็นตลกนำในคณะวงดนตรีลูกทุ่งของ ดุษฎี ดอกรัก (รุ่ง สุริยา) พี่ค่อมก็มีโอกาสก้าวขึ้นสู่คณะวงดนตรีลูกทุ่งของราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยจะเปลี่ยนชื่อหน้าเวทีการแสดงไปตามกระแสของนักร้องสาวที่มีเพลงฮิตในยุคนั้น เช่น ‘ฮันนี่’ ตามชื่อของนักร้องสาว ภัสสร บุณยเกียรติ ที่มีเพลงดังอย่างเพลง ‘เสือ’ หรือในชื่อ ‘แสงระวี’ ตามชื่อของนักร้องสาว แสงระวี อัศวรักษ์ ที่มีเพลงดังอย่างเพลง ‘แมงมุม’ ดังที่ สลักจิตร ดวงจันทร์ ได้เคยเล่าถึงบรรยากาศการทำงานร่วมกับ พี่ค่อม ว่า

“พี่ค่อม แม้ว่าเขาแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่เขาก็มีเมียนะ แต่ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ตอนแสดงเขาจะใช้ชื่อดาราหรือนักร้องที่ดัง ๆ อย่างชื่อ ฮันนี่ และ แสงระวี ก็เคยใช้ ตอนนั้นแสงระวีเขาร้องเพลง ‘แมงมุม’ พี่ค่อมก็เอามาร้องบนเวที แต่เวลาดูแล้ว พี่ผึ้ง พุ่มพวง ก็บอกว่า เหมือนคางคกมากกว่า บนเวทีเขาเล่นตลกมาก บางทีพี่ผึ้งร้องเพลงไปต้องหลุดหัวเราะ พี่ค่อมชอบปีนเสาหน้าเวทีจะดูเหมือนลิงและขำมาก ๆ  ชอบเดินลากกระสอบใส่ชุดหางเครื่อง และใส่ถุงน่องขาด ๆ เอาของหางเครื่องนั่นแหละ ของใครขาดเขาก็เอามาใส่ พี่ค่อมเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน เขาจะมีเสื้อสูท และเสื้อผ้าในการแสดงซึ่งแทบจะไม่เคยซักเลย ปกติหลังเวทีเขาจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ชอบธรรมะ ชอบคุยกับนักร้องเก่า ๆ อย่างโรม ศรีธรรมราช เสมา ทองคำ สมัยก่อนหลังเวทีลูกทุ่งพี่ผึ้ง พุ่มพวงจะชอบเล่นบิงโกกัน เวลาเขานั่งเล่นด้วยจะยอง ๆ เพราะเขานั่งไม่ถนัด เพราะหลังค่อม ถ้านั่งลงบนเสื่อ หน้าก็ใกล้จะถึงพื้นเลย พี่ค่อมมาเล่นปลาย ๆ ของวงพี่ผึ้ง หลังจากนั้นก็เข้าคาเฟ่”

ใครที่เป็นแฟนเพลงสตริงในช่วงกลางทศวรรษ 2530 ก็คงอาจจำกันได้ว่า เพลงดังอย่าง ‘แมงมุม’ ของ แสงระวี อัศวรักษ์ มีท่าเต้น ‘แมงมุมขยุ้มหัวใจ’ เป็นท่าเต้นสุดฮิตในยุคนั้น โดยเป็นท่านั่งยอง ๆ แล้วแบะหัวเข่าทั้งสองข้างออกทำมุมเกือบ 90 องศาตั้งฉาก พร้อมกันนั้นก็อ้าแขนทั้งสองข้างขึ้นลงไปมาประหนึ่งเป็นแมงมุมที่กำลังขยุ้มเส้นใย ซึ่งพี่ค่อมก็นำท่าเต้นดังกล่าวมาแสดงประหนึ่งเป็นนักร้องดังแสงระวี พร้อม ๆ กับทำท่าอ้าปากกว้างเรียกเสียงหัวเราะหน้าเวทีจากแฟนเพลงเป็นประจำ จนกลายเป็นท่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงในชื่อ น้องทราย คุณแม่ขอร้อง

น้องทราย คุณแม่ขอร้อง : น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง

แต่แล้ว เมื่อกระแสวงดนตรีลูกทุ่งเริ่มซบเซา ในขณะที่วงการตลกคาเฟ่กำลังเฟื่องฟู น้องทรายก็เปลี่ยนเวทีเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนดู จากเวทีลอยปิดวิกมาสู่เวทีคาเฟ่ในเมืองกรุง โดยเริ่มจากคณะตลกวงมะกอกสามตะกร้า จากนั้นก็ได้มาขึ้นคณะใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างคณะซูเปอร์ดอน (ดอน จมูกบาน) โดยตลกใหญ่ผู้ซึ่งปัจจุบันก็ได้ล่วงลับไปแล้วอย่าง ดอน จมูกบาน เคยได้ให้สัมภาษณ์ถึงประวัติน้องทราย ว่า

“ดูเหมือนว่าเขาจะเคยอยู่ตั้งแต่สมัยวงรุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นคนเลี้ยงลูกให้รุ่งเพชรเลยนะ หลังลงจากเวทีลูกทุ่งก็เข้ามาอยู่ตลกวงมะกอกสามตะกร้า และมาอยู่กับผม วงดอน จมูกบาน ประมาณปี 2537 - 2548 แล้วก็แยกไปตั้งวงเอง ตอนแรก ๆ ที่มาเล่นคาเฟ่ด้วยกัน คนไม่ยอมรับ เพราะเขาดูน่ากลัว คนดูยังไม่คุ้น ผมเองถูกเพื่อนตลกด้วยกันต่อว่า ว่าทำไมเอาคนพิการมาเล่น ทำไมไม่เลือกให้มันดี ๆ สักหน่อย ผมเองก็บอกไม่เป็นไร เพราะเขามาอยู่กับเราแล้ว ก็อยู่กันไปเรื่อย ๆ จนคนยอมรับ เขามาดังเอาตอนที่ไปเล่นออกช่อง 7 สี รายการของจิ้ม ชวนชื่น คนดูชอบก็เลยดังมาเรื่อย ๆ ตอนเขาจะแยกวงไปก็มาขอผมนะ ขอไปตั้งวง ผมก็ปล่อยให้ไป แต่ที่จริงแล้วมันทำให้เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะต้องเล่นบนเวทีมากขึ้น อาการป่วยของเขาเริ่มมาตั้งแต่อยู่วงผมแล้ว เขาชอบไปเชียร์มวย ตอนหลังก็ไม่ได้ไปเพราะป่วย เข้าโรงพยาบาลบ่อย หน้าเวทีเขาเป็นคนเล่นเก่ง ได้ทิปเยอะ และมีน้ำใจแบ่งปันเพื่อนร่วมวง ทั้ง ๆ ที่เป็นส่วนของเขาจะไม่ให้ก็ได้”

การได้ขึ้นมาอยู่กับตลกคณะใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างคณะซูเปอร์ดอน ทำให้พี่ค่อมเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในกลุ่มแฟน ๆ ตลกคาเฟ่ทั้งในสถานบันเทิงเมืองกรุงอย่าง วิลล่า คาเฟ่ พระราม 9 คาเฟ่ หรือกรุงธนคอมเพล็กซ์ ฯ รวมไปถึงแฟน ๆ ตลกต่างจังหวัดผ่านม้วนเทปวิดีโอ โดยจะเปลี่ยนชื่อหน้าเวทีการแสดงไปตามชื่อนักร้อง/นักแสดง หรือชื่อที่สาว ๆ นิยมตั้งชื่อกันในสมัยนั้นอย่าง ‘น้องจุ๋ม ซูเปอร์ดอน’ และ ‘น้องเมย์ ซูเปอร์ดอน’ โดยมีวลีประจำตัวว่า “เมย์มั่นใจ ไม่เห็นต้องแคร์”

และแล้วกระแสความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่อง นางนาก ในปี พ.ศ. 2542 ก็ทำให้ ‘น้องเมย์’ เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘น้องทราย’ ตามชื่อของนักแสดงสาว ทราย เจริญปุระ จากนั้นในปี พ.ศ. 2543 น้องทรายก็ได้ไปแสดงในมิวสิกวิดีโอ (MV) เพลง ‘คุณแม่ขอร้อง’ ของนักร้องลูกทุ่งสาว หลิว วาริสสรา จนกลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ วงการเพลงและวงการตลกมากยิ่งขึ้น พร้อม ๆ กับกลายเป็นภาพจำและชื่อเรียกที่แฟน ๆ ตลกต่างเรียกกันติดปากว่า ‘น้องทราย คุณแม่ขอร้อง’

 

น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง

แม้โดยรูปร่างแล้ว น้องทราย คุณแม่ขอร้อง จะถูกจัดอยู่ในประเภท ‘ตลกสังขาร’ คือนำเอาความผิดปกติของร่างกายมาเป็นจุดขายเรียกเสียงหัวเราะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้องทรายเป็นตลกที่มีความสามารถในการแสดงมุกประเภท ‘มุกเกล็ดลอย’ คือเอาเรื่องเฉพาะหน้าหรือข่าวสารที่กำลังเป็นกระแสมาพูดอำตลกเรียกเสียงฮาเสียงหัวเราะ พร้อม ๆ กับทำท่าอ้าปากกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ โดยน้องทรายมักจะเล่นกับคนดูหน้าเวที โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชมที่เป็นหญิงสาว ซึ่งน้องทรายจะแทนตัวเองว่า ‘พี่’ และเรียกผู้ชมคนดูว่า ‘น้อง’ 

ด้วยการเป็นตลกประเภทมุกเกล็ดลอยและเล่าเรื่องเก่ง ทางมุกของน้องทรายจึงแตกต่างไปจาก ‘มุกล็อก’ ตรงที่ว่า ถ้าไมโครโฟนเข้าปากน้องทรายเมื่อไหร่ น้องทรายจะยืนเล่าเรื่องแบบปูเอง ชงเอง และตบเองได้ทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อน้องทรายทักเล่นกับผู้ชมที่เป็นหญิงสาวว่า “น้องสวย ๆ ที่นั่งตรงนั้น” ก็จะปูเข้าล็อกคำพูดที่ตัวเองเตรียมไว้รอแล้วอย่างประโยคที่ว่า “พี่สวยก็จริง แต่พี่ไม่ได้ก้าวก่ายใคร” หรือ “แฟนของน้องเนี่ย ถ้ามาเห็นพี่ก่อน คงไม่ถึงน้องหรอก”

อาจจะพอกล่าวได้ว่า ทางมุกของน้องทรายลักษณะคล้าย ๆ กับทางมุกของตลกอัจฉริยะอย่าง ‘หนู เชิญยิ้ม’ หรือ ‘หนู คลองเตย’ คือเป็นประเภท ‘คนเดียวเอาอยู่’ ซึ่งค่อนข้างจะหายากในกลุ่มคณะตลกอื่น ๆ ที่นิยมไปในทางมุกล็อกหรือมุกชุด เนื่องจากต้องใช้ไหวพริบ การติดตามข่าวสารที่เป็นกระแสในปัจจุบัน และความสามารถในการเล่นกับคนดู ตัวอย่างเช่น น้องทรายมักจะเกริ่นข่าวอาชญากรรมทางเพศที่กำลังเป็นข่าวในขณะนั้น แล้วก็จะบอกผู้ชมซึ่งเป็นหญิงสาวให้ระวังตัว จากนั้นก็จะดึงเข้าล็อกที่ว่า 

“พี่ถามน้องหน่อย น้องพอจะรู้แหล่งหรือว่าเบาะแสไหม ตรงไหนที่มันล่อแหลมนะ ที่มันมีคดีข่มขืนบ่อย ๆ  พี่บอกตรง ๆ พี่พยายามนั่งรถแสวงหาอยู่ พี่อยากจะวัดใจกับฆาตกรบ้ากาม มันกับพี่เนี่ย ถ้าเจอกันที่เปลี่ยว ๆ กลางซอย จะให้แม่งหมดสมรรถภาพทางเพศเลย” 

หรือไม่ น้องทรายก็จะเล่นเลียนล้อรูปร่างของตัวเอง เช่น ทางมุกที่เล่าถึงการเล่นน้ำในเทศกาลสงกรานต์ว่า “พี่ไปตรอกข้าวสาร ประมาณบ่ายสองโมง โหววว ฝรั่งก็เยอะ คนไทยก็แยะ เชื่อไหมน้อง ทั้งขันทั้งกาละมัง นั่งเล่นกันให้รึ่มไปหมดเลย พี่ด่าวัยรุ่นจนเสียงแห้ง น้ำไม่โดนพี่สักหยด”

นอกจากนี้ น้องทรายก็มีวลีติดปากอย่าง ‘เพื่อนที่มหา’ลัย’ ซึ่งน้องทรายมักจะบอกกับผู้ชมคนดูว่าตัวเองเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม (บางครั้งก็มหาวิทยาลัยกรุงเทพ) ก่อนจะเข้าทางมุกที่เตรียมไว้ ตัวอย่างเช่น การเล่าถึงความผิดปกติของร่างกายที่มีลักษณะหลังค่อม น้องทรายจะว่า “ตอนนั้นพี่เรียนที่มหา’ลัยศรีปทุม แล้วก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหา’ลัย แบบเพื่อนจับโยนไงน้อง เพื่อนรับพลาด หล่นลงมากระแทกพื้นซะงอเลยอะ”

ความสามารถที่สำคัญของน้องทรายอีกประการ คือการเล่นมุกล้อการเมืองแบบหยิกแกมหยอกเรียกเสียงหัวเราะจากคนดู ซึ่งในขณะนั้นเป็นยุคสมัยทางการเมืองที่พรรคไทยรักไทยของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร กำลังได้รับกระแสความนิยมจากประชาชน จึงทำให้มุกการเมืองของน้องทรายในขณะนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยหรือตัวบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น น้องทรายจะบอกที่มาของการเปลี่ยนชื่อจาก ‘น้องเมย์’ มาเป็น ‘น้องทราย’ ว่า “คือไม่ใช่ ทราย เจริญปุระ ไม่ใช่ ทราย วรรณพร ฉิมบรรจง อันนี้น้องทรายเหมือนกัน น้องทราย ชินวัตร” หรือในกรณีที่รัฐบาลในขณะนั้นมีนโยบายปิดสถานบันเทิงเวลาตีสอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรดาตลกคาเฟ่เป็นอย่างมาก น้องทรายก็มักจะเล่าความยากลำบากพร้อม ๆ กับการเรียกเสียงหัวเราะ ไปด้วยว่า “ตั้งแต่ปิดตีสอง ฝาบ้านหายไปสองแผ่น... แต่ไม่นานหรอกน้อง เดี๋ยวต่อไปสถานบันเทิงจะได้ปิดตีห้า แต่รอให้พี่แต่งกับพานทองแท้ก่อน”

ในทางยุคสมัยการเมือง ช่วงเวลาที่น้องทรายกำลังมีชื่อเสียงเป็นที่จดจำของแฟน ๆ ตลก เป็นช่วงเวลาที่ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น กำลังได้รับกระแสความนิยมจากประชาชน ซึ่งน้องทรายก็จะเล่าถึงกระแสความนิยมชมชอบของคนไทยที่มีต่อพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ พร้อมหยอกล้อไปด้วยว่า 

“ชอบท่านทักษิณ ชินวัตร เพราะท่านเอาจริงเอาจังกับการทำงาน เอาจริงเอาจริงกับการปราบยาบ้า พักหนี้ 3 ปี ท่านก็ทำได้ แต่ละอย่างนี้น่าสนับสนุน 30 บาท รักษาทุกโรค นี่เห็นไหมท่านทำไปแล้ว...แต่ยังข้องใจเมื่อคราวที่แล้ว ตอนนี้ท่านเข้าโรงพยาบาลพระรามเก้า ท่านเป็นโรคหูดับอะนะ โอ้โหววว ท่านเสียค่ารักษาพยาบาลไปตั้งแสนกว่า ฉันยังงงอยู่เนี่ย ท่านทำไมไม่ใช้บัตร 30 ให้เป็นประโยชน์”

หรือในกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น น้องทรายก็จะหยิบยกเอามาเป็นประเด็นเล่าเรื่องเรียกเสียงหัวเราะ ตัวอย่างเช่น ในต้นปี พ.ศ. 2547 เกิดภัยโรคระบาดในหมู่สัตว์ปีกที่เรียกกันว่า ‘โรคไข้หวัดนก’ ทำให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคสัตว์ปีก โดยเฉพาะสัตว์เศรษฐกิจอย่างไก่ จนทำให้รัฐบาลในขณะนั้นต้องจัดกิจกรรม ‘มหกรรมกินไก่ไทยปลอดภัย 100 %’ ขึ้น ณ บริเวณท้องสนามหลวง น้องทรายก็นำเอาเหตุการณ์มาเล่าเป็นมุกตลกว่า “เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเนี่ย พี่ทรายก็ไปกินไก่ที่สนามหลวง หลบแอบอยู่หลังท่านทักษิณ บอกตรง ๆ เลยนะน้อง ไข้หวัดนกน่ะพี่ไม่กลัวหรอก พี่กลัวหวยออก 22 กับ 77 อ๊า ออก 22 กับ 77 แม่งแดกทั้งประเทศเลยนะ”

เมื่อกล่าวถึงน้องทราย เป็นไปมิได้เลยที่จะไม่กล่าวถึงวลีฮิตอันเป็นเอกลักษณ์ของน้องทรายอย่างวลี ‘คุณแม่ขอร้อง’ ที่ทำให้ผู้คนจดจำน้องทรายในฐานะ ‘น้องทราย คุณแม่ขอร้อง’ มากกว่าที่จะเป็น ‘น้องทราย ซูเปอร์ดอน’ โดยเฉพาะเมื่อเล่นตลกอยู่บนเวที ด้วยทางของตลกคาเฟ่ในยุคสมัยดังกล่าวมักใช้ความไม่ปกติร่างกาย หรือการแต่งกายในทางกะเทยเป็นมุกตลก จึงทำให้ทางมุกของคณะนิยมเลียนล้อน้องทรายว่าเป็น กบ หรือ คางคก หรือเมื่อน้องทรายบอกว่าตัวเองเรียนอยู่ศรีปทุม ก็จะมีลูกคู่ชงว่า “อย่างเธอน่าจะเรียนอยู่ดุสิต” น้องทรายก็จะรับว่า “อ่อ…มหาวิทยาลัยสวนดุสิต” ลูกคู่ก็จะตบมุกว่า “สวนสัตว์ดุสิต” ซึ่งหลังผู้ชมคนดูฮา น้องทรายก็จะขยี้มุกล้อเลียนตัวเองว่า 

“น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง”

เชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ประโยค “น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง” โด่งดังถึงในขนาดที่ว่าทีมพากย์พันธมิตรของไทยเอาประโยคดังกล่าวไปพากย์เสียงใส่ในภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง ‘นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่’ (Shaolin Soccer) ของผู้กำกับ โจว ซิงฉือ ในฉากที่ทีมเส้าหลินกำลังประลองกับทีมนักเตะช่างกล เมื่อพี่ใหญ่ของทีมเส้าหลินได้ขอยอมแพ้และต้องยอมใส่กางเกงในสีขาวของฝ่ายตรงข้ามเป็นหมวกกันน็อก พี่ใหญ่ของทีมก็บอกว่า “ทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง”

เชื่อเหลือเกินว่า ไม่ว่าจะเป็นแฟนตลกคาเฟ่หรือไม่ก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งของเวลาอันยาวนานนับแสนกัปแสนกัลป์ แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาแห่งเถ้าธุลี แต่ประโยค ‘น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง’ ก็เคยอยู่ในหัวใจและความทรงจำของพ่อ แม่ พี่ น้อง ประชาชนคนไทย และไม่มีใครแย่งชิงประโยคนี้ไปจากน้องทรายได้ และจะผ่านไปสักกี่ปีจวบจนน้องทรายได้ลาลับโลกนี้ไปแล้ว ทุกคนก็ยังคงเรียกดาวตลกผู้นี้ว่า ‘น้องทราย’ ดังที่น้องทรายเคยเล่นมุกหนึ่งในคาเฟ่ตลกว่า 

“เพราะตลกอย่างฉันกว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ ใช้เวลามาหลายปีน้องจ๋า สมัยก่อนเขาว่าตลกสังขารนี่มันดังยาก คนมันจะดังรั้งไม่อยู่ คำว่า คุณแม่ขอร้อง ทำให้เด็กรู้จักเรา พี่จะเป็นตลกไม่มีวันแก่ เด็กสองขวบสามขวบเรียกเรา น้องทราย ตลอด แต่มีเด็กคนเดียวเรียกฉัน อีทราย ไอ้พี หลานจตุรงค์”

ในช่วงท้าย ชีวิตของน้องทรายคล้ายกับเส้นกราฟของวงการตลกคาเฟ่ เมื่อน้องทรายเริ่มมีอาการป่วยในช่วงราวปี พ.ศ. 2548 ด้วยโรคเกี่ยวกับปอด จนทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลรักษาตัวเป็นเวลาหลายวัน และเมื่อหายกลับมา น้องทรายก็จำต้องพกถังออกซิเจนติดตัวเพื่อช่วยในการหายใจตลอดเวลา จนกลายเป็นภาพคุ้นชินของแฟน ๆ ตลกในช่วงหลัง ซึ่งในขณะนั้นก็เป็นยุคที่คาเฟ่ตลกเข้าสู่ช่วงขาลงและปิดตัวราวกับเข้าใกล้กาลเวลาแห่งการสูญพันธุ์ แม้จะมีงานโชว์ตัวและเล่นตลกเข้ามาบ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับยุครุ่งเรืองของคาเฟ่ตลก ซึ่งน้องทรายเองก็ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก ดังที่น้องทรายได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในปี พ.ศ. 2552 ว่า 

“ตอนนี้บอกตรง ๆ ว่าเงินเก่าที่เก็บมามันก็ชักจะหมดแล้ว เงินใหม่ก็ไม่ค่อยจะเข้า ไม่รู้จะไปเล่นคาเฟ่ตรงไหน มันไม่มีที่เล่นแล้ว มีแต่หมูกระทะ แต่เขาก็จ้างเฉพาะศุกร์-เสาร์ เวลาไปผมก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปงานแล้วก็ไปขึ้นรถตู้ต่อ เล่นที่ละ 2,500 - 3,000 แบ่งกันทั้งคณะจะเหลือกันคนละเท่าไร แต่ที่ได้ก็คืองานนอก พวกงานกินเลี้ยง งานวันเกิด งานแต่งงาน แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี งานนอกก็ไม่ค่อยมีเท่าไร

“ช่วงลำบากก็มีบ้างเหมือนกัน บางทีไม่มีเงินทนได้ก็ทนเอาไม่ได้ไปหาหมอ แต่ที่ไม่ลืมบุญคุณเลยก็คือพี่เอก สรพงษ์ (สรพงษ์ ชาตรี) เจอหน้าทีไรพี่เขาจะช่วยทุกที ถ้ามีอะไรเขาก็บอกให้โทรฯ หาเขาได้ แต่เขาช่วยมาหลายครั้งแล้วก็เกรงใจเขา”

ก่อนจะเข้ากลางเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 ดาวตลกที่สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แก่วงการตลกไทยก็ลาลับ ปรากฏไว้แต่เพียงหัวข้อข่าวอย่าง “ตลกดัง ‘น้องทราย คุณแม่ขอร้อง’ เสียแล้ว!” และ ‘สิ้นตลกน้องทราย คุณแม่ขอร้อง’

หากชีวิตเปรียบเสมือนเป็นเรื่องตลกสักเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะถูกใครเลียนล้อในความผิดปกติของร่างกายและโชคชะตาชีวิต บางที น้องทรายก็อาจจะเป็นตัวอย่างในการต่อสู้และก้าวออกมายืนหยัดเพื่อเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ซึ่งไม่ว่าโลกนี้จะบัดซบสักเพียงใด น้องทรายก็คงจะถือไมค์บอกกับแฟน ๆ หน้าเวทีว่า 

“น้องทรายจะไม่ตอบโต้ เพราะคุณแม่ขอร้อง”


 

อ้างอิง

''น้องทราย คุณแม่ขอร้อง" กับชีวิตในวงลูกทุ่ง / คมชัดลึก

“น้องทรายคุณแม่ขอร้อง” ทำใจใกล้ถังแตก หิ้วถังออกซิเจน หาเงินรักษาตัวต่อไป / ผู้จัดการออนไลน์


เรื่อง : อิทธิเดช พระเพ็ชร
ภาพ : เฟสบุ๊ก น้องทราย คุณแม่ขอร้อง