18 มิ.ย. 2568 | 18:30 น.
โดยเฉลี่ยแล้วคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งบอร์ดบริหารองค์กรใหญ่ ๆ
มักมีประสบการณ์ในการทำงานอย่างน้อย 15 – 25 ปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า 39 ปี
ทั้ง ๆ ที่คนรุ่นใหม่ คือกว่า 70% ของประชากรโลก
มีเพียง 5% เท่านั้นที่ได้นั่งอยู่ในบอร์ดขององค์กรใหญ่
แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเราอย่าง ‘พีเจ - หริสวรรณ ศิริวงศ์’ เธอขึ้นมารับตำแหน่ง Managing Director ของโครงการ TTALAB ภายใต้บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อ TTA ในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีเต็มเสียด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นคนหนุ่มสาวที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญจากองค์กรใหญ่โดยมี ‘กึ้ง - เฉลิมชัย มหากิจศิริ’ เป็นผู้นำทัพ คอยทำหน้าที่ดึงศักยภาพของพีเจ จนก้าวขึ้นสู่ผู้นำทั้งที่อายุยังน้อย
และเพราะแม่ทัพคนนี้ TTALAB จึงถือกำเนิดขึ้น โดยมีเพียงเหตุผลสั้น ๆ คือ เขาอยากปรับหมุดโฟกัสใหม่ จากเดินไขว่คว้าหาแต่เทคโนโลยีล้ำสมัย หันมาให้ความสำคัญกับทุนมนุษย์ หรือก็คือคนมากขึ้น เพราะเห็นแล้วว่า ‘คน’ โดยเฉพาะ ‘เยาวชน’ ต่างหากคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ถ้าจะสร้างเมืองที่ยั่งยืนได้จริง ต้องเริ่มจากการมี ‘Smart People’ ก่อนจะไปถึง Smart City และ Smart Technology
คนจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
และเป็นคนอีกนั่นแหละที่ทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปอีกขั้น
เป็นเหตุผลว่าทำไม TTALAB จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ ในยุคสมัยที่คนเริ่มหลงลืมความเป็นคนลงอย่างช้า ๆ หันไปพึ่งพาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ในอีกซอกหลืบหนึ่งของสังคม ยังมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่พวกเขาไม่มีโอกาส อย่าว่าแต่เทคโนโลยีเลย แม้แต่โอกาสทางการศึกษาก็มีน้อยนิด พวกเขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอดในสังคม และหันหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อแสวงหาโอกาสอย่างเลี่ยงไม่ได้
TTALAB คือ ห้องทดลอง ที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กและเยาวชนทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแค่ไหน ขอแค่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ‘กล้า’ เข้ามาแชร์ความคิด ได้ลองทุกอย่างเท่าที่เด็กคนหนึ่งอยากจะทำ โดยมีผู้ใหญ่คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง เพื่อต่อยอดไปสู่การออกแบบเมืองสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง
นี่คือโจทย์ของพีเจตลอดเวลาหนึ่งปีเศษ และเธอก็ไม่ทำให้คนที่ส่งไม้ต่อมาให้ดูแลห้องทดลองแห่งนี้ผิดหวัง เพราะความสำเร็จของเธอ ผลิดอกออกผลออกมา จนได้รับรางวัล Corporate of the Year สาขา Strategic Impact & Collaboration Awards จาก The People มาครอง
กว่าจะถึงวันนี้ ใช่ว่าเส้นทางการเป็น Managing Director ของเธอจะราบรื่นเสียทีเดียว เพราะตำแหน่งนี้ต้องแลกมาด้วยเวลาชีวิต แบกความหวัง และความฝันของเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ พ่วงด้วยความรับผิดชอบที่สูงลิ่ว แถมยังต้องดูแลสุขภาพจิตทั้งของตนเองและเพื่อนร่วมทีม คอยประคองไม่ให้แหลกสลายลง
และนี่คือเรื่องราวของ ‘พีเจ - หริสวรรณ ศิริวงศ์’ Managing Director ของโครงการ TTALAB ที่จะมาบอกเล่าบทเรียน 7 ปีที่เธอได้เรียนรู้ผ่านการทำงาน จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีได้สำเร็จ
“พีเจกล้าพูดเลยว่า ตอนที่ขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ ๆ ตอนนั้นร้องไห้ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ” เธอเล่าให้ฟังถึงช่วงขึ้นมารับตำแหน่ง Managing Director ในโครงการใหม่แกะกล่องของคุณกึ้ง และยกตำแหน่งการตัดสินใจทุกอย่างให้กับพีเจ ทำให้เธอถึงกับชะงัก เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเด็กที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีจะได้รับความไว้วางใจถึงเพียงนี้
“ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตั้งใจร้องไห้ต่อหน้าคุณกึ้งหรอก แต่น้ำตามันไหลเอง ซึ่งเขาก็รับฟังเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม
“จริง ๆ แล้วมายด์เซ็ตของคุณกึ้งเขาเป็นคนที่เห็นโอกาสที่แตกต่าง มันคือวิสัยทัศน์ของคุณกึ้ง เขามองว่าถ้าทำเท่าเดิมก็ได้เท่าเดิม แล้วทำไมเราไม่ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ดู”
สิ่งใหม่ ๆ ที่พีเจหมายถึง คือความเชื่อใจระหว่างผู้บริหารและพนักงาน และเธอก็คือสิ่งใหม่ที่คุณกึ้งอยากจะลองทุ่มให้จนสุดตัว “ตอนที่เราเข้าประชุมแล้วมีผู้บริหารระดับสูงหลายคนเข้ามา คุณกึ้งก็จะเปิดโอกาสให้พนักงานร่วมกันเสนอความคิดเห็น แล้วพีเจก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ความคิดของพีเจจะค่อนข้างต่างจากพี่ ๆ คนอื่นในบอร์ด ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปิดโอกาสไม่ให้เราเสนอนะ เขาเปิดใจ รับฟังเสมอ ทั้ง ๆ ที่ไอเดียของเรามันอาจจะเป็นจริงได้ยาก”
การได้เสนอความคิดในที่ประชุมซึ่งเต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูง ทำให้เด็กอย่างเธอมีความมั่นใจ แม้ช่วงแรกจะสะดุดอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็มีคนรับฟังเสียงเล็ก ๆ ของเธอโดยปราศจากอคติ
“บอกตามตรงว่าช่วงแรกอยากลาออกหลายรอบมาก (หัวเราะ) เรายังเด็กอยู่ ไม่รู้ว่าสิ่งไหนพูดได้หรือไม่ได้ เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดออกไปมันจะได้มั้ย มันทำให้เราติดอยู่กับความกลัว ความกังวล แต่เชื่อไหมว่าคุณกึ้งเป็นคนที่เปิดรับมาก ๆ เขามักจะหันมาถามพีเจตลอดว่า แล้วพีเจคิดว่ายังไง ไอเดียนี้โอเคมั้ย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเองก็มีคุณค่าในสายตาผู้บริหารเหมือนกันนะ
“แต่มันติดที่ความคิดของพีเจเองมากกว่า บางทีเราอยากทำโปรเจกต์นี้ เราก็ไม่มั่นใจหรอกว่ามันจะถูกหรือผิด เราแค่รู้สึกว่าอยากทำ คุณกึ้งเองก็เห็น และเขาเป็นคนที่สอนงานแบบถีบลงน้ำ ไม่ได้ประคบประหงมนะ ไม่เลย แต่เราก็ว่ายน้ำแข็งขึ้น เพราะว่าเขาถีบพีเจลงน้ำนี่แหละ กลายเป็นว่าการสอนของเขาทำให้พีเจมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะเป็นคนที่คอยมองเรา ให้ความมั่นใจกับเราว่า ‘พีเจทำได้’ ‘พีเจลองทำดูก่อน’ และการสอนของเขานี่แหละทำให้พีเจ เป็นพีเจอย่างในทุกวันนี้”
ซึ่งหลังจากได้พูดในสิ่งที่คิดอย่างตรงไปตรงมา เธอเองก็เข้าใจแล้วว่า กว่าทุกคนจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ล้วนต้องผ่านประสบการณ์ที่เคยอยากพูดบนโต๊ะประชุม แต่ ‘ไม่กล้า’ เหมือนอย่างเธอมาก่อน โดยเฉพาะคุณกึ้งที่เป็นคนเห็นศักยภาพ และทำให้เธอกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ
“คุณกึ้งเอง ก็คงเติบโตมาแบบเด็กคนนั้น เคยเป็นเด็กคนนั้น ที่ได้รับโอกาส จึงส่งต่อให้เด็กอย่างพีเจ และเราก็อยากส่งต่อไปให้คนอื่นอีกเรื่อย ๆ”
จากเด็กจบใหม่ที่ครั้งหนึ่งไม่กล้าแม้แต่จะเสนอความคิดเห็น หลังจากทำงานร่วมกับ TTA มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปี เธอก็กลายเป็นสาวแกร่งที่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกความท้าทาย
“เชื่อไหมว่า 7 ปี พีเจได้รับคำชมจากคุณกึ้งบอกว่า ‘พีเจเก่งมาก’ แค่ครั้งเดียว” แม้จะได้รับคำชมนับครั้งได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอท้อถอย ในทางการกลับกัน ยิ่งทำให้ไฟในใจของพีเจลุกโชน เธออยากจะทำให้ TTALAB เป็นโครงการที่ดีที่สุด ดีที่ต้องหมายถึงทุกคนเห็น รับรู้ และเข้าใจร่วมกัน คำชมจากผู้ใหญ่และรางวัลที่ได้รับ จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าทางที่เธอเดินมาถูกต้องแล้ว และเส้นทางของเธอจะโรยด้วยคำว่า ‘คุณค่า’ และ ‘โอกาส’ หากสิ่งไหนมีค่ามากพอก็จะขอทุ่มสุดตัว เพราะนั่นหมายถึงประโยชน์ที่จะเกิดต่อเด็กและเยาวชน รวมถึงสังคมไทยด้วยเช่นกัน
“เราให้คุณค่ากับการได้ทํามากกว่าการนั่งรอดูผลลัพธ์ เวลามีโอกาสอะไรเข้ามาพีเจก็เลยพร้อมตอบรับทุกอย่าง คำสอนของคุณกึ้งก็คือ ในอากาศมีโอกาสอยู่เสมอ และทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน วันนี้คุณได้รับโอกาสให้เป็นผู้นำ ถ้ามัวแต่กลัวโอกาสนี้มันก็จะหลุดไปเป็นของคนอื่น
“แต่ถ้าวันนี้โอกาสยังไม่ใช่ของคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องรอ ก็สร้างเวทีของคุณเองขึ้นมาเลยสิ ขึ้นไปแสดงด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องรอใครสร้างเวที สร้างเลย อยากทำก็สร้างมันขึ้นมา แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ความผิดพลาด อย่ากลัวที่จะพลาด ผิดพลาดไปก็ไม่เห็นเป็นไร แต่อย่าลืมให้คุณค่ากับความผิดพลาดนั้น นำกลับมาเป็นบทเรียน และอย่าลืมว่าใครที่อยู่เคียงข้างเราในวันที่เราพลาด อย่าลืมให้คุณค่ากับคนเหล่านั้นด้วย”
การให้คุณค่ากับคน คืออีกหนึ่งแนวคิดที่พีเจได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่อยู่ในองค์กรแห่งนี้ สอนให้เห็นและเข้าใจว่า ‘อย่ามองข้ามคุณค่าความเป็นคน’ เพราะว่าคนที่สำเร็จแต่เพียงผู้เดียวมีอยู่เพียงหยิบมือ และความสำเร็จนั้นจะไม่ยั่งยืน
“อย่าลืมคนที่ช่วยเหลือเรา อย่าลืมคนที่ยื่นไฟฉายมาให้เราในวันที่มืดมิด คนที่คอยเติมเต็มในวันที่เรารู้สึกว่างเปล่า อยากให้ผู้นำรุ่นใหม่ทํางานโดยยึดถือคุณค่าเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นม้าลําปางมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว โดยลืมมองคนรอบข้างตัวเอง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าเรายืนชื่นชมความสำเร็จของเราแค่คนเดียว แต่ไม่มีใครมาร่วมยินดีกับเราเลย”
พีเจยอมรับว่าเธอเองเติบโตมากับความกลัวไม่น้อย กลัวสารพัดอย่าง แต่ความกลัวก็ค่อย ๆ ทุเลาลง ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความมั่นใจ หลังจากเสียงของเธอไม่ถูกผู้บริหารเพิกเฉย นี่คือการสร้างความมั่นใจที่องค์กรมอบให้เสมอมา
“เอาจริง ๆ ตอนที่ได้รับมอบหมาย เราก็ไม่มีความมั่นใจหรอก ก็กลัวอยู่เหมือนกัน ฉันเป็นใครทำไมคุณกึ้งถึงไว้ใจยกโครงการมูลค่าขนาดนี้มาให้ ช่วงแรกมันไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้น ไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องแบบนี้นะ ๆ ทุกอย่างเต็มไปด้วยความกังวล แต่ว่าอย่างที่บอก เราให้คุณค่ากับการได้ทำมากกว่า พีเจก็เลยมีความมั่นใจมากขึ้น”
และด้วยความที่เธออายุยังน้อย ทีมงาน TTALAB จึงมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 27 ปี นับเป็นทีมคนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมไฟฝัน สมกับที่เธอจินตนาการไว้ตั้งแต่แรก พีเจยังบอกอีกว่าในการคัดเลือกทีมงาน ไม่ได้มองว่าคนคนนั้นจบสูงแค่ไหน หรือมีประสบการณ์การทำงานมากเพียงใด แต่สิ่งที่เธอให้คุณค่า คือ ความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะ TTALAB ต้องทำงานร่วมกับเด็กและเยาวชนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นหลัก ทำให้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในการทำงานกับเด็ก ๆ
“ส่วนใหญ่ทีมของพีเจจะจบไม่ตรงสายเลย มีทั้งจิตวิทยา สังคมสงเคราะห์ จบด้านภาษาก็มี ซึ่งเป็นสายสังคมทั้งหมมด เพราะพีเจให้คุณค่ากับเรื่องของความเป็นมนุษย์ทั้งในเชิงจิตวิทยาและเชิงสังคม ทุกคนจะมีความเข้าใจในวัฒนธรรม และการเติบโตของมนุษย์
“อย่างตอนสัมภาษณ์พนักงานใหม่เข้ามาทำงาน พีเจจะถามเลยว่าถ้ามีโปรเจกต์ที่ไม่เคยทำมาก่อนจะแก้ปัญหายังไง พีเจพยายามหาคนที่เขากล้าทำ กล้าเสี่ยง พีเจจะไม่ถามถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าคุณเป็นยังไง เรียนจบอะไรมา ทำกิจกรรมเยอะแค่ไหน พยายามหาคนที่มีทัศนคติและมายด์เซ็ตที่พร้อมไปกับเรามากกว่า”
และเธอก็ได้สุดยอดทีมงานทั้ง 12 คนมาอยู่ในความดูแล เรียกได้ว่าเป็นทีมที่พร้อมลุยไปด้วยกันทุกสถานการณ์ ไม่ว่าทางข้างหน้าจะดูลำบากแค่ไหน แต่ทุกคนก็พร้อมทุ่มใจให้กับพีเจ เพราะเชื่อมั่นว่าหัวหน้าอย่างเธอจะพาไปถึงฝั่งฝัน
เมื่อถามว่าเธอเป็นผู้นำแบบไหน พีเจนิ่งคิดก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ ว่าอันที่จริงเธออาจเป็นร่างก๊อปปี้ของคุณกึ้งก็ว่าได้ เพราะทัศนคติทุกด้านถูกหล่อหลอมมาจากผู้บริหารที่เปิดใจรับฟังเสียงของเด็กอย่างเธอในวันวานทั้งสิ้น
“เราวางไว้ตั้งแต่เดย์วันเลยว่าจะเป็นผู้นำที่พร้อมให้อิสระกับคนในทีม เรารู้ว่าบางทีการสอนงานของเรามันเจ็บนะ แต่ว่าเขาสามารถเรียนรู้ได้จริง แต่ในความอิสระเราก็มี KPIs เหมือนกัน แต่จะเน้นไปที่คอนเซ็ปต์มากกว่า ไม่ได้แบบว่าต้องจำนวนเท่านี้ ๆ อยากให้เขาทำงานเพื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาทำมันมีคุณค่า ให้ทุกคนเห็นภาพร่วมกันว่าเราจะเดินไปในทางนี้นะ
“ทีมของพีเจก็เลยสนิทกันมาก มีอะไรก็คุยกันทุกเรื่อง เราดีพทอล์คกันบ่อย อย่างวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์บางทีก็ไปเดินเล่นด้วยกัน ไปคอนเสิร์ตด้วยกัน ทุกคนเหมือนเพื่อนกันมากกว่า การทำงานของเราเลยสนุกกันมาก”
ซึ่งการให้อิสระในการทำงานของพีเจนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากองค์กรของเธอเสียส่วนใหญ่ ทำให้เธออยากจะส่งต่อวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ให้ทุกคนเห็นและเข้าใจตรงกัน
“องค์กรของพีเจเปลี่ยนไปเยอะมากนะ ถ้าพูดแบบเป็นกันเองเลย คือเราเป็นคอร์ปอเรทที่มีมายด์เซ็ตแบบสตาร์ทอัป การทำงานทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนทั้งหมด แต่มายด์เซ็ตในการทำงาน คือ ทำเลย กล้าที่จะลอง ถ้าอยู่ในที่ประชุมแล้วมีคนจากหลายองค์กรเสนอไอเดียกัน คนอื่นอาจจะเลือกไอเดียที่จับต้องได้ แต่ TTA จะเลือกไอเดียที่ทุกคนมองผ่าน เพราะเรากล้าเสี่ยง เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังต่อ ๆ กันมา
“แต่ถ้าเอาแบบสิ่งที่จับต้องได้เลย คือตัวเราเองที่มีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งการนำเสนอไอเดีย หรือว่าการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น ล้วนมาจากวัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนไป เพราะว่า TTA ได้ทดสอบพีเจมาตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัว และคุณกึ้งเขาก็พร้อมส่งเสริม เรียกได้ว่าช่องว่างระหว่างวัยมันถูกลดทอนลง ผู้ใหญ่ยินดีรับฟังเสียงของเด็กมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดตลอดเวลาที่พีเจอยู่ที่นี่
“หากถามว่าองค์กรใหญ่ควรปรับตัวยังไงให้คนรุ่นใหม่กล้าขึ้นมานำ อยากบอกว่ามันคือประสบการณ์จากการได้ลองทำ ไม่ต่างจาก TTALAB ที่เปิดเวทีให้เด็ก ๆ กล้าขึ้นมาเสนอไอเดียของเขา เพราะถ้ามัวแต่ตามหาคนที่มีประสบการณ์ แล้วเด็ก ๆ ที่อยากทำจะไปเริ่มหาเวทีที่ไหน แต่ถ้าลองเรียนรู้แบบที่เราทำใน TTALAB โดยผู้ใหญ่อย่างเราไม่ยึดติดกับความรู้เดิม (Unlearn) และพร้อมเปิดใจเรียนสิ่งที่เคยรู้ด้วยมุมมองใหม่ (Relearn) ไปพร้อมเด็ก ก็จะยิ่งส่งเสริมให้พวกเขามีความมั่นใจ เวลาหันกลับมา อย่างน้อยพวกเขาก็เห็นว่ายังมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง
“พีเจเคยอ่านหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People ของสตีเวน อาร์. โคเวย์ (Stephen R. Covey) หนึ่งในอุปนิสัยที่ช่วยให้คนประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิตและการทำงาน คือ Sharpen the Saw การลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ สมมติมีเวลา 10 วันในการบรรลุเป้าหมาย ก็ลับคมไปเลย 9 วัน แล้ววันที่ 10 ค่อยฟันลงไปเลย ไม่ใช่ไปฟันทุกวันทั้ง ๆ ที่มีดไม่คม มันจะเหนื่อยเปล่า เราอาจหมดแรงก่อนถึงเป้าหมาย
“องค์กรใหญ่เองก็ควรเตรียมลับคมแบบนี้ อย่างน้อยเป็นการปูพื้นฐาน สร้างความเชื่อใจ ทำให้ได้คนที่สามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพกว่าในระยะยาว มันอาจจะไม่สำเร็จ 100% มันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าในฐานะผู้นำควรเล็งเห็นตรงนี้ สร้างความมั่นใจให้ทีมว่าจะเดินไปทิศทางไหน โดยไม่หลงลืมดูแลสุขภาพกาย-ใจของคนในทีมด้วยนะ ไม่ใช่เราพุ่งไปข้างหน้าแต่กลับทำคนหล่นหายระหว่างทาง
ตลอดชีวิตการทำงานของพีเจ เธอมั่นใจว่าเข้าใจทุกกระบวนการอย่างกระจ่างชัด การจะให้ยอมรับ ‘ความไม่รู้’ ในฐานะผู้นำดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยากจะทำใจได้ แต่เพราะความไม่รู้ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และนี่คือบทเรียนล่าสุดที่เธอเพิ่งค้นพบ
“ยากเหมือนกันนะ กับการยอมรับว่าเราไม่รู้” เธอสารภาพ
“ถ้าให้คิดเร็ว ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่เลยที่พีเจได้เรียนรู้จากการขึ้นมาเป็นผู้นำ คือ การหาเพื่อนใหม่ ซึ่งการหาเพื่อนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเป็นการเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ เพื่อคอนเนคชั่นอย่างเดียว บางทีเพื่อนคนนั้นอาจมอบมุมมองใหม่ ๆ เปิดโลกของพีเจให้กว้างขึ้นได้ด้วย ทุกคนย่อมมีมุมที่เราไม่รู้มาก่อน เราก็ได้เรียนรู้จากความไม่รู้ตรงนั้น
“เมื่อก่อนพีเจค่อนข้างคิดเยอะ ว่าจะเข้าไปหาคนอื่นดีมั้ย เพราะมีชื่อขององค์กรติดตัวเรามาด้วย แต่พอมาทำ TTALAB เราเห็นเด็ก ๆ คุยกันได้อย่างอิสระ ไม่ได้สนว่าคนนั้นจะมีเพศ ศาสนา หรือว่าชาติพันธุ์อะไร ทุกคนคุยกันได้หมด เขาแค่รู้สึกว่าอยากรู้จักเลยเข้าไปทักทาย มันง่าย ๆ แค่นั้นเลย เด็กแต่ละคนมีความหลากหลายมาก เขาไม่ได้ติด ไม่ได้สนใจภูมิหลังของเพื่อนว่าเพื่อนคนนั้นจะมาจากที่ไหน
“พีเจเลยเห็นการเติบโตของเด็ก ๆ เขารู้จักคนเยอะมาก คอนเนคชั่นเขาก็เติบโตไปด้วย เขาไม่ต้องคิดเยอะเลยในการหาเพื่อนใหม่ เราก็เลยได้เรียนรู้จากเด็ก ๆ ไปด้วย ลองนำมาปรับใช้ดู เรายอมรับว่าทุกคนมีเรื่องที่ถนัดไม่เหมือนกัน พีเจอาจจะไม่ถนัดตรงนี้ แต่ก็พยายามนำมาปรับให้เป็นตัวของตัวเองที่สุด พอได้ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนใหม่ ๆ มันก็ทำให้โลกของเรากว้างขึ้น”
กลายเป็นภารกิจของ TTALAB ในการเป็นสะพานเชื่อมความฝันของเด็กทุกคนเข้าหากัน ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งยังทำให้โลกการทำงานของพีเจทอดยาวขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว “TTALAB ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมทุกความหลากหลาย ทุกความแตกต่างเข้าด้วยกัน เปลี่ยนทิฐิของผู้ใหญ่ให้หันมาเห็นความสำคัญของเด็กมากขึ้น ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ TTALAB ทำได้ เราเชื่อมผู้ใหญ่ เด็ก และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน”
นอกจากโครงการที่ประสบความสำเร็จแล้ว อีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจคือ รางวัล Corporate of the Year สาขา Strategic Impact & Collaboration Awards จาก The People ซึ่งจะมอบให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรที่เข้ามาสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมไทย และภายใต้การนำของพีเจเธอก็ทำให้เห็นแล้วว่า พลังของเด็กและเยาวชนนี่แหละ คือสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุดในสังคม
“สิ่งที่พีเจภูมิใจมากที่สุดในการทำงาน คือ การสร้างทีมขึ้นมา เราได้เลือกคนโดยไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เรากำลังทำผิดหรือถูก แต่ทุกคนอดทนและพร้อมสู้ไปด้วยกัน พอพีเจย้อนกลับมามองมันคือสิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด จากทีมเล็ก ๆ สามารถสร้างอิมแพ็คกับเด็กนับร้อยนับพันคนได้ มันคือความภาคภูมิใจในวันที่เรากำลังจะอายุ 30 ปี”
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ผ่านการตกผลึกมานานกว่า 7 ปี จากเด็กจบใหม่ที่เคยไม่มั่นใจในบทบาทของตัวเอง กลายมาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่กล้าเขย่าวัฒนธรรมองค์กร เปิดพื้นที่ให้เสียงของเด็ก ๆ ดังขึ้นอีกเท่าตัว
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : พิชญุตม์ คชารักษ์