21 ม.ค. 2568 | 16:30 น.
KEY
POINTS
เริ่มต้นปีกันด้วยลมหนาวที่ทำได้สมศักดิ์ศรีฤดูหนาวเสียจนหลายคนสะท้านไปทั้งตัว แต่สิ่งที่ตามมาท่ามกลางอากาศหนาวกลับมีมัจจุราชคอยง้างเคียวอยู่ไม่ห่างกาย โดยปรากฎในคราบของ ‘ฝุ่น PM 2.5’ วิกฤตทางอากาศที่คนไทยเริ่มตระหนักมาได้ระยะหนึ่งแล้ว นำไปสู่การผลักดันจนเกิดเป็น ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ) ซึ่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการชุดใหญ่ และ อนุกรรมาธิการ 2 ชุด แต่ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างว่า แล้วเมื่อไหร่กันหนอที่ประชาชนจะมีสิทธิได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปได้เต็มปอดเสียที
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่เผชิญหน้ากับวิกฤตฝุ่น รายงานประจำปีของ IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ระบุว่า ในปี 2023 มีแค่ 7 ประเทศจาก 124 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่มีคุณภาพอากาศดีตลอดปี ขณะที่ 2 อำเภอของไทย คือ อ.พาน จ.เชียงราย (เฉลี่ยต่อปี 51.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และ อ.เมือง จ.เชียงราย (เฉลี่ยต่อปี 50.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ติดอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 เมืองอากาศแย่สุดในเอเชีย
โดย 7 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศดีและอยู่ในเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) คือทั้งปีค่าฝุ่นไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ได้แก่ ออสเตรเลีย เอสโตเนีย ฟินแลนด์ เกรเนดา ไอซ์แลนด์ มอริเชียส และนิวซีแลนด์
“ในปี 2023 มลพิษทางอากาศยังคงเป็นหายนะด้านสุขภาพระดับโลก” แฟรงค์ แฮมเมส (Frank Hammes) ซีอีโอของ IQAir Global บอกถึงความกังวล
“จากรายงานของ IQAir เป็นสิ่งเตือนใจถึงความสำคัญต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น และบ่งบอกถึงความจำเป็นในการหาวิธีแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพอากาศ เราเห็นแล้วว่ามลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อทุกชีวิต และโดยปกติแล้ว ประเทศที่มีมลพิษเกินค่ามาตรฐาน มีส่วนทำให้อายุขัยของผู้คนลดลง 3-6 ปี”
นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนแล้ว มลพิษทางอากาศยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาคเกษตรกรรม เนื่องจากอากาศที่ปนเปื้อนนั้นมีส่วนมาจากผงฝุ่นเขม่าดำ (Carbon Black) เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล การเผาขยะและพืชไร่ รวมไปถึงปัญหาควันไฟป่า
เมื่อผงฝุ่นเล็ก ๆ รวมตัวกันทางอากาศในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ความมั่นคงทางอาหารสั่นคลอนอย่างรุนแรง เนื่องจากคราบเขม่าดำจะเข้าไปดักการสังเคราะห์แสง และอุณหภูมิของพืชพรรณแต่ละชนิดจะอยู่ในระดับสูงเกินกว่าปกติ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกมันก็จะตายลงอย่างช้า ๆ ไม่ต่างจากคนอีก 60% ทั่วโลกที่จะต้องเผชิญกับภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
นี่คือตัวเลขภาพรวมจากทั้งโลก แต่จะขอขยับให้เข้าใกล้คนไทยมากขึ้นอีกนิด จากจำนวนประชากรราว 2,500 ล้านคน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าประชากรกว่า 90% หายใจเอามลพิษเข้าไปจนเต็มปอด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรหลายล้านคนในแต่ละปี
“ถึงแม้ว่ามลพิษทางอากาศจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างใหญ่หลวง แต่ข่าวดีก็คือ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ เราทราบวิธีลดมลพิษทางอากาศ เหลือเพียงอย่างเดียว คือ ลงมือทำเท่านั้น”
เดเชน เซริง (Dechen Tsering) ผู้อำนวยการภูมิภาคและตัวแทนโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกล่าว
ผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย ส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองในปี 2021 รองจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ จีน (2.3 ล้านคน), อินโดนีเซีย (221,600 คน), เมียนมาร์ (101,600 คน), เวียดนาม (99,700 คน) และฟิลิปปินส์ (98,200 คน)
เมื่อพิจารณาจากรายงานของ UNEP ศึกษาแนวโน้มมลพิษทางอากาศในกัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย พบว่ามีปริมาณมลพิษสะสมในอากาศ 5 ชนิดด้วยกัน คือ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ PM2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และแอมโมเนีย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
รายงานจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) วิเคราะห์แนวโน้มมลพิษทางอากาศในกัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย พบว่ามลพิษทางอากาศส่วนใหญ่มาจากสารประกอบ 5 ชนิดหลัก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ ฝุ่น PM2.5 ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และแอมโมเนีย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ แต่หากทั้งสามประเทศดำเนินมาตรการลดมลพิษอย่างจริงจัง คาดการณ์ว่าชีวิตประชาชนรวมกว่า 230,000 คนจะได้รับการช่วยเหลือจากผลกระทบของมลพิษทางอากาศ
“หลายประเทศมักกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการลดมลพิษทางอากาศ แต่ข้อมูลจาก UNEP ชี้ชัดว่าการเพิกเฉยต่อปัญหานั้นมีต้นทุนมหาศาล ทั้งในแง่ของชีวิตและงบประมาณ” เซริง ผู้แทนจาก UNEP กล่าว พร้อมแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาในประเทศไทยว่าควรลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พัฒนาระบบจัดการขยะและห้ามเผาขยะในที่โล่ง รวมถึงพืชผลทางการเกษตร และสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงเชื้อเพลิงสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติ สำหรับการปรุงอาหาร มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในระยะยาว
“หลายประเทศควรจริงจังกับการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางประเทศที่ก้าวหน้าไปบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เราจำเป็นต้องเร่งดำเนินการอย่างมากเพื่อปลดล็อกศักยภาพของภูมิภาคนี้ และช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีขึ้น”
หันกลับมาที่ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมถึงประชาชนร่วมทำงานที่บ้านหรือ ‘Work From Home’ (WFH) ระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม 2025 และขยายมาถึงวันที่ 24 มกราคมเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM2.5 ที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหนาแน่นหลายจุด เช่น ย่านรัชโยธิน ไปจนถึงย่านสาทร และย่านพระราม 3
แน่นอนว่าหลังจากประกาศมีหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมกับกรุงเทพมหานคร เป็นภาคีเครือข่าย Work from home แล้วประมาณ 100,000 คน บางโรงเรียนตัดสินใจว่าปิดการเรียนการสอน เพื่อไม่ให้อนาคตของชาติต้องรับฝุ่นพิษเข้าปอดมากไปกว่านี้ ขณะที่ประชาชนบางกลุ่มไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ ‘จำใจ’ ต้องออกไปใช้ชีวิตหาเงินมาเลี้ยงดูตนเองและคนในครอบครัวในสถานการณ์ฝุ่นถล่มเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดย 5 อันดับ ของค่าฝุ่น PM2.5 เขตสูงสุดในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตหนองแขม 71.9 มคก./ลบ.ม., เขตภาษีเจริญ 66.7 มคก./ลบ.ม., เขตคลองสามวา 65.5 มคก./ลบ.ม., เขตหนองจอก 64 มคก./ลบ.ม., เขตบางขุนเทียน 62.6 มคก./ลบ.ม.
ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นจากการนำวาทะอันทรงพลังของ ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ที่บันทึกไว้ราวสี่สิบปีก่อนว่า
“ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ”
ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ (อ่านที่มาของวาทะอันทรงพลังได้ที่นี่) ในเมื่อ คำกล่าวของป๋วย อึ้งภากรณ์ คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาการทำงานภาครัฐ (Government Service) เมื่อ พ.ศ. 2508 และได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในวาระ 100 ปีชาตกาล เมื่อ พ.ศ. 2559 ก็ยังคงถูกหยิบยกมาพูดซ้ำผ่านทางหน้าสื่อให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และยังคงสอดประสานกับยุคสมัยปัจจุบันได้ราวกับเรื่องอากาศไม่เคยได้รับการเหลียวแล มีแต่ย่ำแย่ลงทุกวัน ดังจะเห็นได้จากอากาศขมุกขมัวจนบดบังทัศนวิสัย จนกรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องขอความร่วมมือแต่ละหน่วยงานให้ทำงานที่บ้านกันไป
ถึงจะไม่รู้อีกนานแค่ไหน ได้แต่หวังว่าเราคงได้เห็น ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ในเร็ววัน ก่อนที่คำพูดของ ดร.ป๋วย จะกลายเป็นจริง “เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือ ตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Nation Photo และ IQAir
อ้างอิง