18 ก.ย. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
ใช่ว่าฮีโร่ทุกคนต้องใส่ผ้าคลุม บางครั้งพวกเขาใส่รองเท้าบู๊ตเปื้อนโคลน ถือจอบ และค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงโลกเงียบ ๆ ย้อนกลับไปในปี 2001 ‘หวัง เอินหลิน’ (Wang Enlin) ชาวนาวัย 44 ปี ที่ลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เพื่อออกมาทำงานหาเงินดูแลครอบครัว แต่เขาในกลับต้องเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่ ก้าวสู่ ‘นักกฎหมายจำเป็น’ อย่างเลี่ยงไม่ได้
หวัง เอินหลิน เริ่มศึกษากฎหมายจากตำราเรียนและพจนานุกรมเพียงเล่มเดียว มาเป็นเวลายาวนานถึง 16 ปี ก่อนจะยื่นฟ้องบริษัทในปี 2015 ตอนเขาอายุได้ 60 ปี เพื่อทวงคืนสิ่งที่เป็นของตนและคนในหมู่บ้านกลับคืนมา
ความพากเพียรของคุณลุงหวัง ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เอาใจช่วย เพราะมีน้อยคนนัก โดยเฉพาะคนที่เรียนจบแต่ชั้น ป.3 จะกล้าต่อกรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์ แต่เขาก็ทำให้เห็นแล้วว่า การเป็นผู้กล้าไม่จำเป็นต้องเรียนจบสูงส่ง หรือมีสถานะทางบ้านดีเลิศ หากใจยังไม่หมดหวัง และเชื่อในความยุติธรรม ทุกคนก็สามารถเป็นฮีโร่ได้
และนี่คือเรื่องราวพลังของคนธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ต่อการกระทำของผู้มีอำนาจ
หวัง เอินหลิน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอวี่ซู่ถุน (Yushutun) มณฑลเฮยหลงเจียง (Heilongjiang) ประเทศจีน ทำนาเป็นอาชีพหลักและอาชีพเดียวที่ทำให้เขาสามารถลืมตาอ้าปากในโลกที่โหดร้าย เช่นเดียวกับทุกคนในหมู่บ้าน พวกเขาทุ่มเททุกอย่างไปที่ผืนนาของตน
แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือน เมื่อ Qihua Group บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน ก่อตั้งในปี 1997 ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมวัสดุเคมีและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เช่น PVC และอีพ็อกซี่เรซิน เริ่มทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ต่างจากการทำลายชีวิตของคนในหมู่บ้าน หลังจากคณะกรรมการหมู่บ้านให้เช่าที่ดิน ราว 178 ไร่ แก่บริษัทในปี 2001 เพื่อใช้เป็นที่ทิ้งของเสียทางเคมี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากชาวบ้านในพื้นที่
จากผืนนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ คอยหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณของคนในครอบครัวและชุมชน กลับกลายเป็นผืนดินแห้งกรัง ปนเปื้อนไปด้วยคราบเคมี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งชีวิตพังพินาศไปในชั่วพริบตา พืชผลเหี่ยวเฉา อาชีพของชาวบ้านถูกทำลาย และที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือ ไม่มีใครดูแล แม้แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยังเพิกเฉย และชาวบ้านรวมถึงหวังเองดูเหมือนจะไร้ทางออก
หลังจากร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแต่ไม่เป็นผล หวังได้รับความช่วยเหลือในปี 2007 จาก ศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ประสบภัยมลพิษ (Centre for Legal Assistance to Pollution Victims) ซึ่งช่วยชาวบ้านรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องร้อง
ในปี 2013 การตรวจตัวอย่างระดับปรอทที่ดำเนินการโดย Green Beagle Institute องค์กรไม่แสวงกำไรในปักกิ่ง พบว่าที่ดินดังกล่าว ไม่เหมาะสมสำหรับการเกษตร กระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจีนได้บรรจุ Qihua อยู่ในรายชื่อคดีสิ่งแวดล้อม ในปี 2014
แต่กว่าคดีของหวังจะได้รับการพิจารณาเข้าสู่ระบบยุติธรรมของจีน ก็ต้องรออีกหนึ่งปี ‘หม่า จุน’ (Ma Jun) นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชื่อดังบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า แม้กระบวนการฟ้องร้องจะราบรื่นขึ้นหลังปี 2015 แต่คดีมลพิษทางสิ่งแวดล้อมยังใช้เวลาหลายปีกว่าจะถูกนำไปขึ้นศาล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ รัฐบาลท้องถิ่นยังคงให้การคุ้มครองบางส่วนแก่บริษัทที่ก่อมลพิษ
อันที่จริง หวังอาจยอมก้มหน้า น้อมรับชะตากรรม ใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ยอมเปลี่ยนอาชีพมาทำงานรับจ้างทั่วไปก็ย่อมได้ เพราะเขาลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โอกาสที่คนอย่างเขาจะชนะบริษัทมหาศาลนั้นดูแทบเป็นศูนย์ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีคำว่า ‘ถอย’ หรือ ‘ยอมแพ้’ อยู่ในหัวใจของสุดแกร่งของชายคนนี้
ตลอด 6 ปี หวังเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้รู้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างถ่องแท้ โดยอาศัยการเรียนด้วยตัวเอง ถึงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนแทบจะไร้การศึกษาอย่างเขา จะเข้าใจคำศัพท์ทางกฎหมาย แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผลของความพยายามไม่เคยทรยศใคร เพราะเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมนำกลับมาสู่มือทุกคน
“ในประเทศจีน เบื้องหลังของการเกิดมลพิษทุกอย่าง ล้วนมีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นเสมอ” หวังกล่าว
และเขามีความศรัทธาอย่างแรงกล้าว่าจะทำให้ Qihua Chemical Group (หรือ Heilongjiang Haohua Chemical) ต้องรับผิดชอบผลของการกระทำ
ทุกวันนี้ คุณลุงหวังจัดทำเอกสารทางกฎหมายเอง และเปิดบ้านจัดประชุมทุกวันให้ชาวบ้านที่ต้องการเรียนรู้สิทธิของตน แม้ว่าเขาจะป่วยเป็นโรคปอดและต้องใช้ยาเพื่อช่วยให้หายใจอยู่ก็ตาม แต่เขายังไม่ลืม และจะไม่มีวันลืมการกระทำอันโหดร้ายของ Qihua ที่แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ต่อปัญหา ที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด
คุณลุงหวังเล่าว่า ตำรวจมักแวะเวียนมาหาที่บ้าน เพื่อกดดันให้เขาไม่เอาเรื่องบริษัท และหยุดให้สัมภาษณ์สื่อ แต่อย่างที่รู้ เขาไม่มีวันหยุด…
“พวกเราเป็นแค่ชาวนา ไม่มีทั้งทรัพยากรหรืออำนาจ” หวัง เป่าชิน (Wang Baoqin) หนึ่งในสมาชิกทีมผู้สูงอายุพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของหวัง เอินหลิน (ไม่ได้เป็นญาติกับคุณลุงหวัง) กล่าว
“ต่อสู้กับรัฐบาลเราไม่มีทางชนะ ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทุจริตเรายิ่งไม่มีทางชนะ ดังนั้นเราจึงเลือกสู้กับนายทุนแทน”
ตามข้อมูลของ ‘ราเชล สเติร์น’ (Rachel Stern) ผู้เขียนหนังสือ Environmental Litigation in China: A Study in Political Ambivalence จำนวนคดีใหม่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ศาลประชาชนสูงสุดของจีนรับฟังคดีลักษณะนี้ถึง 133,000 คดีในปี 2017
ผู้ร้องบางรายประสบความสำเร็จ โดยในปี 2015 บริษัทยักษ์น้ำมันแห่งหนึ่งถูกสั่งให้จ่ายเงิน 1.68 ล้านหยวน (ประมาณ 9.2 ล้านบาท) ให้ชาวประมง 21 คนที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน เมื่อผู้สื่อข่าวเอเอฟพีไปเยือนโรงงานของ Qihua ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2017 พบว่าโรงงานไม่ได้ดำเนินการผลิต ที่ดินแห้งแล้งปกคลุมด้วยหญ้าขึ้นรก ไม่มีสระน้ำเสียขนาดใหญ่เหมือนก่อน
แต่ หวัง เป่าชิน คาดการณ์ว่า ที่ดินตรงนั้นจะไม่สามารถปลูกพืชได้อีกแล้ว
“เราอาจไม่ได้เห็นความยุติธรรมในชีวิตของเราเอง
“แต่เราทำสิ่งนี้เพื่อคนรุ่นหลัง”
เดือนกุมภาพันธ์ 2017 หวังและทีมผู้สูงอายุพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ได้รับชัยชนะครั้งสำคัญ เมื่อศาลท้องถิ่นมีคำสั่งให้ Qihua เก็บกวาดกากของเสียทางเคมีที่อยู่ติดกับที่ดินของเกษตรกร และจ่ายเงินชดเชยรวม 820,000 หยวน (ประมาณ 4.5 ล้านบาท) ให้ครัวเรือนชนบทที่ได้รับผลกระทบ 55 ครัวเรือน
แต่คำตัดสินดังกล่าวถูกศาลสูงกว่าเพิกถอน และหวังกำลังเตรียมต่อสู้ในศาลอีกครั้ง
“เราต้องชนะอย่างแน่นอน กฎหมายอยู่ข้างเรา” คุณลุงหวังบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อปี 2017
แม้คดีระหว่างชาวบ้านธรรมดากับบริษัทยักษ์ใหญ่ยังไม่สิ้นสุด และยังไม่มีรายงานผลคำตัดสินขั้นสุดท้ายจากศาลอุทธรณ์เผยแพร่ออกมา แต่ตราบใดที่ยังมีคนอย่างคุณลุงหวัง ความหวังก็ยังคงหยั่งรากลึกอยู่บนผืนแผ่นดินไม่จากไปไหน
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง