19 ก.ย. 2568 | 18:30 น.
KEY
POINTS
“ออทิสติกก็เหมือนก๋วยเตี๋ยว เราไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวธรรมดา แต่เป็นก๋วยเตี๋ยวพิเศษ ที่มีทั้งลูกชิ้น เนื้อหมู และเส้นมากกว่าชามอื่น”
“ทุกอย่างคือความพิเศษที่หล่อหลอมให้เราเป็นเรา และเรารักในความพิเศษตรงนี้มาก”
‘จ๋า-ธัญจิรา วงศ์สม’ นักพากย์อิสระ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ แหนมตุ้ม (Naemtum) เปรียบภาวะออทิสติกของเธอกับชามก๋วยเตี๋ยว เพราะสำหรับเธอ ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรค แต่คือความพิเศษ ที่เปรียบเสมือนพลัง คอยส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ธัญจิรา คือ หนึ่งในสองผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นนักปลุกพลังจากแคมเปญ 'พลังคุณ...ทำได้กว่าที่คิด' จากกลุ่มธุรกิจ TCP โดย The People ร่วมกับกลุ่มธุรกิจ TCP ที่เชื่อว่า พลังจากความพยายามเล็ก ๆ ของใครสักคน สามารถส่งต่อแรงบันดาลใจ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในสังคมได้จริง
นี่คือเรื่องราวของธัญจิรา วงศ์สม นักพากย์อิสระผู้ไม่ยอมแพ้ต่อข้อจำกัด และไม่ได้มองว่าภาวะออทิสติกคืออุปสรรคในชีวิต หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของพลังที่ส่งต่อกำลังใจให้ผู้คน และตอกย้ำว่า “พลังคุณ... ทำได้กว่าที่คิด”
“เราตรวจเจอภาวะออทิสติกตั้งแต่อนุบาล”
“พ่อกับแม่สังเกตเห็นความผิดปกติ ท่านสงสัยว่าทำไมพฤติกรรมบางอย่างของเราแตกต่างจากเด็กคนอื่น เช่น เวลาเด็ก 3-5 ขวบ หมุนรอบตัวเองจะรู้สึกมึนหัว แต่เรากลับไม่รู้สึกแบบนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากนั้นที่บ้านเลยพาไปหาหมอ กลายเป็นว่าไม่ใช่แค่ออทิสติก แต่เรายังมีอาการสมาธิสั้นควบคู่มาด้วย”
“คุณพ่อคุณแม่ท่านก็อยากมั่นใจว่าลูกเป็นออทิสติกจริงหรือไม่ เลยพาไปทําพฤติกรรมบําบัด ทําแบบทดสอบทางด้านพัฒนาการและสติปัญญา จนสุดท้ายก็มั่นใจว่าเราเป็นออทิสติกจริง ๆ ท่านก็พาไปปรึกษากับคุณหมอด้านพัฒนาการ โรงพยาบาลสระบุรี ประมาณช่วงอนุบาลจนถึงชั้น ป. 1 รักษาไปประมาณ 10-12 ครั้งได้”
กว่าธัญจิราจะรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง เวลาก็ล่วงเลยมาหลายปี หลังจากแม่ตัดสินใจบอกความจริงว่าเธอมีภาวะออทิสติก
“เรารู้สึกว่าคำนี้ต้องเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ ต้องถูกคนมองไม่ดีแน่เลย คนจะเหมารวมว่าเรามีอาการทางจิตหรือเปล่า ส่วนใหญ่เป็นความคิดด้านแย่หมดเลย”
“แต่แม่ก็บอกว่า เราเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป แค่มีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ เราไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวธรรมดา แต่เราเป็นก๋วยเตี๋ยวพิเศษ มีทั้งลูกชิ้น เนื้อหมู ที่เพิ่มเข้ามาจนล้นชาม พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกว่ามันก็มีด้านดีอยู่เหมือนกันนะ ทำให้เราสบายใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นมากขึ้น”
“และเราก็ภูมิใจที่เป็นออทิสติกคนหนึ่ง ที่กำลังพยายามใช้ชีวิตอยู่ในสังคมคนปกติ”
แน่นอนว่าผู้มีภาวะออทิสติกย่อมมีพลังวิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ และพลังของธัญจิรา คือ เสียง
“เราค้นพบความถนัดของตัวเองช่วงประมาณ ป.3 ตอนนั้นเราชอบดูการ์ตูนมาก เสพสื่อเยอะ พ่อกับแม่เองก็ชอบดูหนัง วันหยุดก็จะไปเช่าหนังมาดูกันทั้งครอบครัว พอดูเยอะ ๆ ก็รู้สึกว่าอยากอ่านออกเสียง อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง เลยลองพูดดู พอได้ลองทำก็เป็นอะไรที่สนุกมาก มีความสุขมาก ๆ มันเหมือนกับการอ่านหนังสือ แค่เปลี่ยนจากอ่านในใจมาอ่านออกเสียงแทน”
ผึ้งจดหมาย ส่งหัวใจ ใส่ความทรงจำ (Tegami Bachi) ผลงานของนักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ฮิโรยูกิ อาซาดะ (Hiroyuki Asada) คือบันไดขั้นแรกที่พาธัญจิราก้าวเข้าสู่โลกการพากย์เสียง โดยอนิเมะเรื่องนี้เคยออกอากาศทางช่อง Animax Asia บน ทรูวิชันส์ ช่อง 77 เมื่อปี 2554
“ตอนนั้นเราอยู่ชั้น ป.4 จำได้ว่าไปดูการ์ตูนที่บ้านเพื่อน แล้วในช่วงนั้นช่องการ์ตูนพากย์ไทยมีไม่เยอะ ส่วนใหญ่ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น ไม่มีการพากย์ไทยหรืออะไรเลย จะมีแค่แบบซับไตเติ้ลอย่างเดียว แล้วเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เจอแต่ตัวอักษร”
“จนกระทั่ง ได้ดูเรื่องผึ้งจดหมาย เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนนึงที่อยากจะส่งจดหมายให้กับคนที่ช่วยเขาไว้ โดยเป็นการส่งต่อความหวัง ความรู้สึก ความทรงจําของคนเขียน ส่งกลับไปยังผู้รับปลายทาง แม้จะต้องเจออุปสรรคอะไรก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้”
“มันเป็นการ์ตูนที่ให้แรงบันดาลใจกับเรามาก ๆ พอได้ดูก็ยิ่งรู้สึกอยากพากย์ เลยลองใส่เสียงพากย์ไปว่าจะเป็นยังไง ช่วงแรกที่ลองคืออ่านไม่ทัน เพราะซับไปไวมาก แต่ก็พยายามพากย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น ทําให้เราเข้ามาสู่วงการพากย์มาตั้งแต่นั้นเลย”
พลังวิเศษของเธอเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ กระทั่งผลิดอกออกผล กลายเป็นพลังที่ช่วยให้คนรอบข้างมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และนี่คือบันไดขั้นที่สองของการก้าวเข้าสู่วงการพากย์ ส่งพลังแห่งเสียงไปถึงใจคน
“ถ้าครั้งแรกที่รู้สึกถึงพลังเล็ก ๆ ของตัวเองเลยก็คงเป็นช่วงมัธยมต้น เราชอบไปห้องสมุด นั่งอ่านหนังสือจับกลุ่มกับเพื่อน แล้วอยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์บรรณารักษ์ก็เข้ามาคุยด้วย ท่านเห็นว่าเรามาห้องสมุดบ่อย เลยถามว่าห้องสมุดโรงเรียนมีกิจกรรมเล่านิทานให้เด็กฟังอยู่ด้วยนะ สนใจเข้าร่วมมั้ย”
“เราก็เลยชวนเพื่อนสนิท 2-3 คนมาทำกิจกรรมด้วยกัน เป็นนิทานหุ่นมือ เราขออาสาเป็นคนพากย์ แล้วให้เพื่อนขยับหุ่นไปมา”
“กลายเป็นว่าเด็ก ๆ ชอบกันมาก ทุกคนส่งเสียงหัวเราะ เป็นบรรยากาศที่สนุกมาก เราก็ได้แต่คิดว่า โห! การเล่านิทานของเรามันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ เลยเป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังของตัวเอง และดีใจกับสิ่งที่ทำมาก ๆ”
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ธัญจิราให้คำมั่นกับตัวเอง ว่าจะต้องเข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ให้ได้ กระทั่งสามารถสอบเข้าหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้สำเร็จ
“ตอนเด็ก ๆ เราไม่รู้เลยว่ามีอาชีพนี้อยู่” เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ถ้าถามถึงความฝันนะ เราเคยฝันว่าอยากเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน (หัวเราะ) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักพากย์เลย” เธอว่า
ก่อนจะเล่าถึงแนวคิดความฝันกับความเป็นจริงให้เราฟังอย่างน่าสนใจ เธอบอกว่า อันที่จริง ชีวิตคนเรา รวมถึงตัวเธอเอง ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับฝันใดฝันหนึ่งเท่านั้น การไม่ได้ทำตามความฝันวัยเด็กไม่ใช่สิ่งที่ล้มเหลว หากแต่เป็นสิ่งที่เจ้าของชีวิตได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว
“ความฝันกับความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องบรรจบกันเสมอไป”
“ความฝันเราเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เราจะยึดกับสิ่งที่ฝันวัยเด็กตลอดไปก็ไม่ได้ ถ้ายึดมั่นกับฝันมากไป มันจะกลายเป็นการทรมานตัวเองเปล่า ๆ”
คำตอบแสนเรียบง่าย แต่กระแทกใจคนฟังเข้าอย่างจัง
นี่คงเป็นพลังวิเศษอีกอย่างของธัญจิรา นั่นคือการทำให้คนรอบข้างสบายใจ
ถึงเธอจะบอกว่า กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ เธอเคยไม่เข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ บางครั้งถูกตำหนิ แต่ก็ไม่รู้ว่านั่นคือการแสดงออกถึงความไม่พอใจ ธัญจิราไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาใคร การมองหน้าคนที่คุยด้วย คือสิ่งที่เธอเลี่ยงมาโดยตลอด แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน จนชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง และกลายเป็นเธอในเวอร์ชันที่ทรงคุณค่าอย่างในวันนี้
“มีคนเคยบอกอยู่เหมือนกันว่าเราทำให้เขาสบายใจ (หัวเราะ)”
“อาจจะเป็นเพราะเราใช้ชีวิตมาในแบบที่พ่อกับแม่ไม่เคยกดดันอะไร ท่านบอกแค่ว่าอยากจะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง อย่าไปคิดมากกับอะไรที่มันกลับไปแก้ไขไม่ได้ ไม่ต้องกดดันตัวเอง เพราะโลกทุกวันนี้ก็กดดันเรามามากพอแล้ว ถ้าสิ่งไหนทำแล้วไม่มีความสุข ก็อยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้น นี่คือสิ่งที่ท่านสอนเรามาตลอด”
ความสุข คือสิ่งเดียวที่ธัญจิรายึดถือในการใช้ชีวิต และเธออยากจะส่งต่อพลังแห่งความสุขนี้ไปสู่ผู้คนที่กำลังรู้สึกหลงทาง หรือหาทางออกในชีวิตไม่เจอเช่นกัน
ซึ่งพลังแห่งความสุขที่เธอส่งออกไป ก็ได้ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ ธัญจิราก้าวเข้าสู่บันไดขั้นที่สามของการทำงานพากย์ และขั้นนี้ทำให้ชื่อเสียงของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์
“ความรู้สึกแรกที่ทํางานพากย์อย่างจริงจัง เป็นอะไรที่ไม่คาดคิดมาก ตอนนั้นเราอยู่ชั้นปีที่ 3 เทอมสอง บังเอิญเจอเข้ากับคลิปนึง เป็นคลิปตลกของต่างประเทศ เกี่ยวกับวิธีการใช้คำหยาบอย่างไรให้เข้ากับทุกสถานการณ์”
“เราก็คิดว่ามันน่าจะสนุกดีนะ ยังไม่มีใครเคยพากย์เลย ก็ลองเขียนสคริปต์เอง แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เขียนบทอะไรต่าง ๆ ลงไป ทำให้เข้ากับบริบทไทยมากที่สุด แล้วก็อัพลงเฟซบุ๊กส่วนตัว”
“พอเช้าวันถัดมา เปิดดูคลิปที่ตัวเองลง มีคนกดแชร์ไปประมาณ 55 ครั้ง ก็งงว่าทำไมคนแชร์เยอะ ส่วนใหญ่คนบอกว่าตลกมาก หัวเราะกันเต็มเลย ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เราเห็นว่าเสียงของเราทำให้คนอื่นมีความสุข”
ล่าสุดคลิปวิดีโอลงเสียงพากย์ครั้งแรกของเธอ มีคนกดถูกใจไปกว่าหกพันคน และแชร์ไปอีกห้าหมื่นกว่าครั้ง ใครจะคิดว่าแค่ลงเสียงพากย์เล่น ๆ ครั้งนั้น จะทำให้ธัญจิราเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์
ซึ่งเคล็ดลับการพากย์สไตล์ของเธอ ไม่ได้มาจากปรมาจารย์ชั้นครู แต่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่มักจะสังเกตวิธีการพากย์ของคนในวงการ และนำมาปรับให้เหมาะสมกับตัวเอง ถึงจะเคยลองไปฟังเทคนิคการพากย์กับวิทยากรอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแค่ครั้งเดียว และไม่เคยลงเรียนที่ไหนอีกเลย
“เราโตมากับการดูรายการต่างประเทศ ดูการ์ตูน ซีรีส์ รายการเกมโชว์ โดยเฉพาะโซนฝั่งญี่ปุ่น อเมริกา เราก็จะมานั่งฟังว่าคนพากย์เขาพากย์ยังไง ทำไมเขาพากย์เก่งจัง บางท่านพากย์ได้หลายเสียง เราก็รู้สึกทึ่งมากว่าเขาทำได้ยังไง ก็ลองฝึกกดู จนได้ออกมาเป็นสไตล์ของตัวเอง”
“เลยกลายเป็นว่าวิธีการพากย์ของเรา เรียกได้ว่าครูพัก ลักจำมากกว่า” เธอสรุป
หลังจากยืนอยู่ในบันไดขั้นที่สามมาได้ระยะหนึ่ง เวลาเพียงไม่นานเธอก็ก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สี่อย่างรวดเร็ว เมื่อได้เข้าร่วม โครงการเสียงนี้เพื่อน้อง เมื่อปี 2566 ของหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดขึ้นที่โรงเรียนสอนคนตาบอดสันติจินตนา อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ โดยผู้ที่มาเป็นวิทยากรพิเศษของโครงการ คือ แยม-วรรญา ไชยโย หรือ แยม WANYAYAM เจ้าของช่อง แชปครองโลก นักพากย์เสียงที่ใครหลายคนยกให้เป็นบุคคลสร้างแรงบันดาลใจ
การเข้าร่วมโครงการทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับนักพากย์มืออาชีพครั้งแรก อีกทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมพากย์เคียงข้างนักพากย์ในดวงใจคนนี้อีกด้วย
“เราอยากใช้เสียงให้เป็นประโยชน์ มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจว่าอย่างน้อย เสียงของเรา สามารถทำให้ใครสักคนมีความสุขได้ แล้วยิ่งมาเจอกับพี่แยม ซึ่งจะมาเป็นวิทยากรในงานก็ยิ่งดีใจเข้าไปอีก”
“ระหว่างเราทำกิจกรรม ก็ได้พูดคุยกับน้องนักเรียนที่เป็นผู้พิการทางสายตา น้องเขาบอกว่า ‘เสียงพี่เพราะจังเลย’ เขารู้สึกมีความสุขที่ได้ยินเสียงเรา จนถึงช่วงอาหารกลางวัน ก็จะมีกิจกรรมแจกของขวัญ พี่แยมเขาก็มาชวนให้เราไปร่วมพากย์กับเขา ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ก็พากย์กันสองคนท่ามกลางเด็ก ๆ สิบกว่าคน”
“พอจบกิจกรรม ก็มีน้องคนนึงบอกขึ้นมาว่า หนูอยากเป็นนักพากย์ ถึงหนูจะมองไม่เห็น แต่อย่างน้อยก็อยากให้เสียงของตัวเองมีใครสักคนฟัง แล้วรู้สึกมีความสุข อยากเป็นนักพากย์ให้ได้เหมือนเรา”
“ต้องขอบคุณโครงการนี้ ที่ทําให้เราได้เห็นมุมมองของเด็ก ๆ ว่าเขาเองก็มีความฝันที่อยากจะเป็นเหมือนคนทั่วไป มันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ถึงแม้ว่าในอนาคตเขาอาจจะเป็นหรือไม่ได้เป็น แต่ขอแค่เขามีความสุขที่ได้ฟังเสียงของเรา มีความสุขในสิ่งที่เราทําก็ภูมิใจแล้ว”
แม้จะไม่รู้ว่าบันไดเส้นทางการเป็นนักพากย์ของธัญจิราจะสิ้นสุดที่ขั้นไหน แต่อย่างน้อย ทุกย่างก้าวของเธอก็ได้สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และทำให้ใครบางคนกล้าที่จะ ‘ฝัน’ แม้จะอยู่ในโลกที่เลือนรางก็ตาม พลังแห่งเสียงของเธอ จึงไม่ต่างจากการรดน้ำให้ต้นกล้า ได้เติบโตขึ้นอย่างงดงาม
อีกทั้ง เธอยังคิดมาตลอดว่าพลังเล็ก ๆ ของเธออาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก เป็นเพียงการใช้เสียงช่วยเชื่อมต่อความฝัน ปลอบประโลมใจให้ใครบางคนที่อ่อนล้าได้กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่ง ทำให้เธอตระหนักว่า เสียงเล็ก ๆ นี้ มีความหมายเกินกว่าที่คิดไว้มาก
“เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง คนว่าจ้างให้โจทย์มาว่า อยากได้อะไรมาเยียวยาจิตใจ เพราะตอนนี้สภาพจิตใจพี่เขาไม่โอเคมาก ๆ เขาบอกว่าปัญหาที่เขาเจอมันทำให้รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาทับอก มันหนักอึ้งจนไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง เขาขอแค่อะไรก็ได้ช่วยให้กำลังใจเขาหน่อย”
“ลูกค้าเขาก็มีตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมา เหมือนเราต้องทำหน้าที่สวมบทบาทเป็นตัวละครตัวนั้น แล้วทำหน้าที่ปลอบใจคนที่กำลังเศร้า นั้นก็คือลูกค้าท่านนั้น ซึ่งเราก็พยายามเขียนบท ใส่ความรู้สึกห่วงใยลงไป เพื่อให้ตัวบทมันสมบูรณ์ที่สุด แล้วก็อัดเสียงส่งไป ทันทีที่เขาได้ยินเสียงของเรา เขาก็บอกว่า เขาดีใจมาก เหมือนได้ยินเสียงของตัวละคร เข้ามาปลอบเขาจริง ๆ และเขาก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว”
“เหตุการณ์ครั้งนั้น มันทําให้เรารู้สึกว่า เสียงของเรามีพลังขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่คิดเลยว่าเสียงของเรา จะทําให้ใครสักคนรู้สึกมีกําลังใจได้ขนาดนี้ แต่พอมาลองคิดไปคิดมา เสียงแค่ไม่กี่ประโยคของเรา ไม่แน่มันอาจจะไปสร้างแรงกระเพื่อมในใจของใครสักคนให้มันดีขึ้นก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ”
นี่คือเสน่ห์ของงานพากย์ที่ธัญจิราได้สัมผัส
และบันไดแต่ละขั้นที่ธัญจิราเดินผ่านมา เธอก็ได้โปรยเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขผ่านเสียงเล็ก ๆ ของเธอไว้ตลอดทาง
เชื่อว่าในอนาคตเราคงได้เห็นดอกผลแห่งความสุข เบ่งบานขึ้นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
“งานพากย์เป็นอะไรที่ต้องใช้ใจในการทำสูงมาก การลงเสียงแต่ละครั้ง ต้องใส่ความรู้สึกเข้าไป ซึ่งความรู้สึกก็เป็นสิ่งสําคัญที่เราจะต้องจริงใจกับมันมากจริง ๆ ถ้าเราไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง แล้วเข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้น คนอื่นอาจจะสัมผัสไม่ถึงความรู้สึกที่ตัวละครตัวนั้นต้องการสื่อออกมา”
“ฉะนั้นความรู้สึกเลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างบอบบาง และอ่อนไหวเป็นพิเศษ คนบางคนโดนตำหนินิดหน่อยก็เฉาไปแล้ว ดังนั้นเราเลยคิดว่า การถ่ายทอดความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นคําพูด หรืออะไรก็ตามแต่ มันถือว่าเป็นพลังสําคัญ ที่จะทําให้ใครสักคนหนึ่ง เดินต่อไปข้างหน้า หรือมีชีวิตต่อไปได้”
ธัญจิรายังบอกอีกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา การถูกป้ายแปะว่ามีภาวะออทิสติก ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกด้อยค่า ตรงกันข้าม มันกลับกลายเป็นพลังที่ทำให้เธอเป็นเธอในวันนี้
"การเป็นออทิสติก ใช่ว่าจะไม่ดีหรือแย่เสมอไป ตราบใดที่เรานําจุดด้อยของความเป็นออทิสติก นำมาแปรเปลี่ยนปรับปรุงให้เป็นข้อดีของเรา เชื่อเถอะว่า คุณจะเป็นคนธรรมดาที่วิเศษแน่นอน"
เสียงของธัญจิราอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายล้านเสียงบนโลกใบนี้ แต่กลับทำให้เราเห็นว่า ความแตกต่างที่เธอมีไม่ใช่อุปสรรค หากแต่คือพลังที่รอวันถูกค้นพบ และพลังเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอไป บางครั้งแค่ ‘เสียง’ ก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ การเชื่อมั่นใน "พลังคุณ... ทำได้กว่าที่คิด" เพียงเท่านี้ ก็อาจจุดประกายความหวัง และเปลี่ยนโลกทั้งใบของใครบางคนให้ส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง
สามารถรับชมผลงานและตามไปให้กำลังเธอกันได้ที่
Youtube : กีกี้แก๊กสตูดิโอ
Tiktok : JustJarnaemtum
Facebook : Thanjira Wongsom
ภาพ : ธัญจิรา วงศ์สม