11 ธ.ค. 2568 | 18:47 น.

นับตั้งแต่การมาของเทคโนโลยี AI นอกจากคนส่วนใหญ่เริ่มมีความกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน อีกสิ่งที่น่ากังวลกว่าหรือไม่น้อย คือการที่ AI สามารถ "เลียนแบบความเป็นมนุษย์" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะทั้งเสียง ใบหน้า และแม้แต่วิธีคิดที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังหลอกล่อเราอย่าง “เนียนสนิท” อย่างเช่น Deepfake ที่ก้าวหน้าจนสามารถปลอมแปลงใบหน้า Face recognition เพื่อหลอกแอปพลิเคชันธนาคารหรือระบบยืนยันตัวตนแบบเดิม ๆ ได้แล้ว
คำถาม คือในยุคที่สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นบนโลกออนไลน์ การรักษาความปลอดภัยเพียงใช้ "รหัสผ่าน" และ "หน้าตา" เพื่อเป็นเครื่องยืนยันตัวตนนั้นมีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่
เมื่ออาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้มาในรูปแบบของการ "แฮกระบบ" อีกต่อไป แต่เป็นการ "แฮกความเป็นมนุษย์"
ทำให้เราได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เริ่มมีความรุนแรงและแนบเนียนที่สุดเป็นประจำ
คำถามสำคัญต่อมาของวันนี้ คือ "เราจะแยกมนุษย์ออกจากบอตได้อย่างไร?"
งานสำรวจของ World ในประเทศไทยที่มีผู้ตอบมากกว่า 14,000 คนพบว่ากว่า 55% แสดงความกังวลต่อบอต, deepfake และข้อมูลผิด ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสะท้อนชัดว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความท้าทายในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานจำนวนมาก
อินเทอร์เน็ตในวันนี้ได้กลายเป็น “ระบบที่ไม่รู้ว่าใครเป็นมนุษย์” แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจำนวนมากยังคงเผชิญความยากลำบากในการแยกแยะระหว่าง “ผู้ใช้จริง” กับ “บอต” ที่ถูกสร้างขึ้นนับล้านบัญชี เพื่อปั่นกระแส ฉ้อโกง หรือแย่งชิงทรัพยากรดิจิทัล และเมื่อระบบไม่สามารถแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากกันได้ ผู้ใช้จริงอย่างเรากลับต้องเป็นฝ่ายรับความเสี่ยง
นี่คือโจทย์สำคัญไม่ใช่เฉพาะของประเทศไทย แต่เป็นความท้าทายของสังคมทั่วโลก ซึ่งไม่อาจแก้ไขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีการสนับสนุนในรูปแบบของ
ในบริบทเทคโนโลยีระดับโลก แนวโน้มเหล่านี้ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “Proof of Human” — ระบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปกป้องผู้ใช้งาน และลดอาชญากรรมดิจิทัล เมื่อถูกใช้อย่างเหมาะสมและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจัง
เทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์รุ่นใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อ:
ผลจากข่าวข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลและการถูกหลอกลวงซ้ำซาก ทำให้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการ "ยืนยันตัวตน" เข้ามา ซึ่งอาจดู “ล้ำเกินไป” ในความรู้สึกของผู้ใช้ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจมากขึ้น
จึงเป็นเรื่องไม่แปลก หากสังคมจะตั้งการ์ดสูงทันทีด้วยความกลัวว่า "ข้อมูลส่วนตัวของเราจะถูกขโมย" หรือ "ความเป็นส่วนตัวจะถูกละเมิด"
ความระแวงดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเราถูกความเชื่อที่ให้หวงแหนข้อมูลส่วนตัวมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยียุคใหม่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้บนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางเหมือนที่หลายคนกังวล แต่เป็นการออกแบบมาให้ทำงานเหมือน "เครื่องทำลายเอกสารที่เหลือไว้แต่รหัสผ่าน"
แต่ปัจจุบันมีความพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า Proof of Human หรือการยืนยันความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาจากโจทย์ที่ท้าทายที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ยืนยันได้ว่าเป็นคนจริง โดยที่ไม่ต้องรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร
ลองจินตนาการถึงระบบที่ใช้ภาพดวงตาและใบหน้าของคุณในการยืนยันความเป็นมนุษย์ โดยระบบจะเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพเหล่านั้นให้กลายเป็นรหัสตัวเลขเฉพาะ และลบภาพต้นฉบับทิ้งในทันที
โดยยังมีการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูงที่เรียกว่า Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) อธิบายแบบเห็นภาพง่าย ๆ คือ เหมือนคุณสามารถยื่นบัตรประชาชนให้ยามดูเพื่อยืนยันว่า "ฉันอายุถึงเกณฑ์" โดยที่ยามมองไม่เห็น ชื่อ-สกุล หรือที่อยู่ของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นเพียงไฟเขียวว่า "ผ่าน" เท่านั้น
ที่ผ่านมาการต่อต้านสแกมและมิจฉาชีพในปัจจุบัน เรามักแก้ที่ปลายเหตุคือการ "วิ่งไล่จับ" หรือการออกกฎหมายลงโทษ แต่ในโลกดิจิทัลที่ไร้พรมแดน อาชญากรอาจนั่งอยู่คนละซีกโลกและใช้ AI สร้างร่างอวตารนับล้านมาหลอกลวงเรา
การแก้ปัญหา โดยการหาทางออกเชิงระบบ ด้วยการสร้าง "โครงสร้างพื้นฐาน" ใหม่ ที่ทำให้บอตหรือ AI ไม่สามารถปลอมตัวเป็นคนได้
Proof of Human หรือการพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่ออุดรอยรั่วนั้น โดยมีหลักการสำคัญที่แตกต่างจากการยืนยันตัวตนแบบเดิม (KYC) อย่างสิ้นเชิง นั่นเพราะจุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ คือ
เรียกได้ว่านี่คือนวัตกรรมที่พยายามสร้าง "บัตรผ่านดิจิทัล" ที่ยืนยันว่าคุณเป็นคนจริง โดยที่คุณไม่ต้องแลกมาด้วยข้อมูลส่วนตัว
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในระดับโลก คือการใช้ "ม่านตา" เป็นกุญแจในการยืนยันความเป็นมนุษย์
หากมีคำถามว่าทำไมต้องม่านตา?
นั่นเพราะม่านตามีความซับซ้อนสูงมากและปลอมแปลงยากกว่าลายนิ้วมือหรือใบหน้า ที่ปัจจุบัน AI เริ่มเลียนแบบได้แล้ว
แต่สิ่งที่คนเข้าใจผิดมากที่สุด คือคิดว่าบริษัทเทคโนโลยีจะ "เก็บรูปตาม่านตา" ของเราไป ในความเป็นจริง เทคโนโลยีนี้เป็นการพัฒนาในระดับมาตรฐานโลกยุคใหม่ ซึ่งใช้วิธีการที่เรียกว่า "Digital Shredder" โดยมีกระบวนการทำงานดังนี้คือ
สิ่งที่เหลืออยู่ คือรหัสตัวเลขที่ไม่สามารถแปลงกลับเป็นรูปตาได้อีก สิ่งนี้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) ซึ่งเปรียบเสมือนการที่คุณสามารถยืนยันกับระบบได้ว่า "ฉันคือนาย A ตัวจริง" โดยที่ระบบไม่รู้ข้อมูลอื่นใดของคุณเลย ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้หน้าตา หรือข้อมูลระบุตัวตนอื่น ๆ รู้เพียงแค่ว่ารหัสนี้ถูกต้อง
แล้วประโยชน์ที่เราได้จากเทคโนโลยีนี้ คืออะไร
ความปลอดภัย ที่เคารพความเป็นส่วนตัว เพราะเราสามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องแจกเบอร์โทรหรือเลขบัตรประชาชนพร่ำเพรื่ออีกต่อไป
เมื่อรวมเสียงของผู้ใช้งานจริงเข้ากับทิศทางของเทคโนโลยีระดับโลก เราเริ่มเห็นภาพที่ชัดขึ้นว่า สังคมไม่ได้ “กลัวเทคโนโลยี” เพียงอย่างเดียว แต่กำลัง “มองหาเครื่องมือที่พึ่งพาได้”
สำหรับผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมาก เทคโนโลยีอย่าง World ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นและทำให้โลกออนไลน์ปลอดภัยขึ้น
แต่ “ความเข้าใจ” ของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณชน เพื่อให้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ โดยเฉพาะในวันที่มิจฉาชีพและระบบอัตโนมัติกำลังพัฒนาไปไกลกว่าที่เคย
แม้เทคโนโลยีพิสูจน์ความเป็นมนุษย์อาจต้องใช้เวลาในการศึกษาช่วงแรก ไม่ต่างจากวันที่ผู้คนเคยกังวลกับการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ แต่หากมองลึกไปถึงการออกแบบที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (privacy-preserving design) เราอาจค้นพบว่ามันไม่ใช่ภัยคุกคาม หากแต่เป็น “เกราะป้องกัน” สำคัญของสังคมในยุคที่ AI สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน