ในวันที่ AI เริ่มโกหกเนียนกว่ามนุษย์ เราจะพิสูจน์อย่างไรว่า "เราคือคนจริงๆ"?

ในวันที่ AI เริ่มโกหกเนียนกว่ามนุษย์ เราจะพิสูจน์อย่างไรว่า "เราคือคนจริงๆ"?

เมื่อ AI เลียนแบบมนุษย์ได้แนบเนียน ทั้งบอทและ Deepfake เพิ่มความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ คำถามสำคัญคือเราจะพิสูจน์ “ความเป็นมนุษย์จริง” ได้อย่างไรในยุคที่ความเชื่อมั่นถูกท้าทายทุกวัน?

ข้อความแชทที่ทักมายืมเงิน เสียงปลายสายที่โทรมาอ้างว่าเป็นคนคุ้นเคย หรือแม้แต่คอมเมนต์ด่าทอที่เห็นในโซเชียลมีเดีย เหล่านี้เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าอีกฝั่งหนึ่งคือ "มนุษย์" จริงๆ หรือเปล่า?

นับตั้งแต่การมาของเทคโนโลยี AI นอกจากคนส่วนใหญ่เริ่มมีความกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน อีกสิ่งที่น่ากังวลกว่าหรือไม่น้อย คือการที่ AI สามารถ "เลียนแบบความเป็นมนุษย์" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

เพราะทั้งเสียง ใบหน้า และแม้แต่วิธีคิดที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังหลอกล่อเราอย่าง “เนียนสนิท” อย่างเช่น Deepfake ที่ก้าวหน้าจนสามารถปลอมแปลงใบหน้า Face recognition เพื่อหลอกแอปพลิเคชันธนาคารหรือระบบยืนยันตัวตนแบบเดิม ๆ ได้แล้ว 

คำถาม คือในยุคที่สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นบนโลกออนไลน์  การรักษาความปลอดภัยเพียงใช้ "รหัสผ่าน" และ "หน้าตา" เพื่อเป็นเครื่องยืนยันตัวตนนั้นมีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ 

เมื่ออาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้มาในรูปแบบของการ "แฮกระบบ" อีกต่อไป แต่เป็นการ "แฮกความเป็นมนุษย์" 

ทำให้เราได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เริ่มมีความรุนแรงและแนบเนียนที่สุดเป็นประจำ

คำถามสำคัญต่อมาของวันนี้ คือ "เราจะแยกมนุษย์ออกจากบอตได้อย่างไร?"
 

งานสำรวจของ World ในประเทศไทยที่มีผู้ตอบมากกว่า 14,000 คนพบว่ากว่า 55% แสดงความกังวลต่อบอต, deepfake และข้อมูลผิด ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสะท้อนชัดว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความท้าทายในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานจำนวนมาก

อินเทอร์เน็ตในวันนี้ได้กลายเป็น “ระบบที่ไม่รู้ว่าใครเป็นมนุษย์” แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจำนวนมากยังคงเผชิญความยากลำบากในการแยกแยะระหว่าง “ผู้ใช้จริง” กับ “บอต” ที่ถูกสร้างขึ้นนับล้านบัญชี เพื่อปั่นกระแส ฉ้อโกง หรือแย่งชิงทรัพยากรดิจิทัล และเมื่อระบบไม่สามารถแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากกันได้ ผู้ใช้จริงอย่างเรากลับต้องเป็นฝ่ายรับความเสี่ยง

นี่คือโจทย์สำคัญไม่ใช่เฉพาะของประเทศไทย แต่เป็นความท้าทายของสังคมทั่วโลก ซึ่งไม่อาจแก้ไขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีการสนับสนุนในรูปแบบของ

  1. การสื่อสารสาธารณะและความรู้เท่าทันดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเทคโนโลยีใดปลอดภัย และเทคโนโลยีใดอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง
  2. เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ได้ โดยยังคงเคารพความเป็นส่วนตัว

ในบริบทเทคโนโลยีระดับโลก แนวโน้มเหล่านี้ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “Proof of Human” — ระบบที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปกป้องผู้ใช้งาน และลดอาชญากรรมดิจิทัล เมื่อถูกใช้อย่างเหมาะสมและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจัง

เทคโนโลยียืนยันความเป็นมนุษย์รุ่นใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อ:

  • ไม่เปิดเผยตัวตน แต่พิสูจน์ว่าเป็นมนุษย์จริง
  • ลดบอท–บัญชีปลอมได้ตั้งแต่ระบบต้นทาง
  • ป้องกัน deepfake และ AI ปลอมตัวได้ดีขึ้น
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์โดยไม่ละเมิดสิทธิ
  • ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่เคารพความเป็นส่วนตัว
  • ผสานเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันสแกมระดับประเทศได้
  • ให้ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวไปพร้อมกัน

เทคโนโลยี คือภัยคุกคามจริงหรือ?

ผลจากข่าวข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลและการถูกหลอกลวงซ้ำซาก ทำให้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการ "ยืนยันตัวตน" เข้ามา ซึ่งอาจดู “ล้ำเกินไป” ในความรู้สึกของผู้ใช้ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจมากขึ้น

จึงเป็นเรื่องไม่แปลก หากสังคมจะตั้งการ์ดสูงทันทีด้วยความกลัวว่า "ข้อมูลส่วนตัวของเราจะถูกขโมย" หรือ "ความเป็นส่วนตัวจะถูกละเมิด"

ความระแวงดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเราถูกความเชื่อที่ให้หวงแหนข้อมูลส่วนตัวมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยียุคใหม่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้บนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางเหมือนที่หลายคนกังวล แต่เป็นการออกแบบมาให้ทำงานเหมือน "เครื่องทำลายเอกสารที่เหลือไว้แต่รหัสผ่าน"

แต่ปัจจุบันมีความพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า Proof of Human หรือการยืนยันความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาจากโจทย์ที่ท้าทายที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ยืนยันได้ว่าเป็นคนจริง โดยที่ไม่ต้องรู้ว่าคน ๆ นั้นคือใคร

ลองจินตนาการถึงระบบที่ใช้ภาพดวงตาและใบหน้าของคุณในการยืนยันความเป็นมนุษย์ โดยระบบจะเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพเหล่านั้นให้กลายเป็นรหัสตัวเลขเฉพาะ และลบภาพต้นฉบับทิ้งในทันที

โดยยังมีการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูงที่เรียกว่า Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) อธิบายแบบเห็นภาพง่าย ๆ คือ เหมือนคุณสามารถยื่นบัตรประชาชนให้ยามดูเพื่อยืนยันว่า "ฉันอายุถึงเกณฑ์" โดยที่ยามมองไม่เห็น ชื่อ-สกุล หรือที่อยู่ของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นเพียงไฟเขียวว่า "ผ่าน" เท่านั้น

 

ทำไมไทยต้องเปิดใจเรียนรู้ระบบนิเวศใหม่นี้? 

ที่ผ่านมาการต่อต้านสแกมและมิจฉาชีพในปัจจุบัน เรามักแก้ที่ปลายเหตุคือการ "วิ่งไล่จับ" หรือการออกกฎหมายลงโทษ แต่ในโลกดิจิทัลที่ไร้พรมแดน อาชญากรอาจนั่งอยู่คนละซีกโลกและใช้ AI สร้างร่างอวตารนับล้านมาหลอกลวงเรา

การแก้ปัญหา โดยการหาทางออกเชิงระบบ  ด้วยการสร้าง "โครงสร้างพื้นฐาน" ใหม่ ที่ทำให้บอตหรือ AI ไม่สามารถปลอมตัวเป็นคนได้

Proof of Human หรือการพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่ออุดรอยรั่วนั้น โดยมีหลักการสำคัญที่แตกต่างจากการยืนยันตัวตนแบบเดิม (KYC) อย่างสิ้นเชิง นั่นเพราะจุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ คือ

  • ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคุณคือใครด้วยระบบ ไม่จำเป็นต้องขอชื่อ นามสกุล หรือเลขบัตรประชาชน
  • หน้าที่ของ Proof of Human คือการแค่ยืนยันว่าเป็น "มนุษย์" และ "ไม่ซ้ำกับคนอื่น" เพื่อป้องกันการปั๊มบัญชีปลอม

เรียกได้ว่านี่คือนวัตกรรมที่พยายามสร้าง "บัตรผ่านดิจิทัล" ที่ยืนยันว่าคุณเป็นคนจริง โดยที่คุณไม่ต้องแลกมาด้วยข้อมูลส่วนตัว

 

เจาะลึก การทำงานของเทคโนโลยี 'ม่านตา' แท้จริง

หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในระดับโลก คือการใช้ "ม่านตา" เป็นกุญแจในการยืนยันความเป็นมนุษย์

หากมีคำถามว่าทำไมต้องม่านตา? 

นั่นเพราะม่านตามีความซับซ้อนสูงมากและปลอมแปลงยากกว่าลายนิ้วมือหรือใบหน้า ที่ปัจจุบัน AI เริ่มเลียนแบบได้แล้ว

แต่สิ่งที่คนเข้าใจผิดมากที่สุด คือคิดว่าบริษัทเทคโนโลยีจะ "เก็บรูปตาม่านตา" ของเราไป ในความเป็นจริง เทคโนโลยีนี้เป็นการพัฒนาในระดับมาตรฐานโลกยุคใหม่ ซึ่งใช้วิธีการที่เรียกว่า "Digital Shredder" โดยมีกระบวนการทำงานดังนี้คือ 

  1. สแกนม่านตาเพื่ออ่านค่าความแตกต่าง
  2. แปลงภาพนั้นเป็น "ชุดรหัสตัวเลขทางคณิตศาสตร์"  หรือ IrisCode ทันที
  3. "ลบภาพต้นฉบับทิ้ง" อย่างถาวร

สิ่งที่เหลืออยู่ คือรหัสตัวเลขที่ไม่สามารถแปลงกลับเป็นรูปตาได้อีก สิ่งนี้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) ซึ่งเปรียบเสมือนการที่คุณสามารถยืนยันกับระบบได้ว่า "ฉันคือนาย A ตัวจริง" โดยที่ระบบไม่รู้ข้อมูลอื่นใดของคุณเลย ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้หน้าตา หรือข้อมูลระบุตัวตนอื่น ๆ รู้เพียงแค่ว่ารหัสนี้ถูกต้อง

 

ในวันที่ AI เริ่มโกหกเนียนกว่ามนุษย์ เราจะพิสูจน์อย่างไรว่า "เราคือคนจริงๆ"?

 

แล้วประโยชน์ที่เราได้จากเทคโนโลยีนี้ คืออะไร 

  1. ป้องกันบอทปั่นกระแส โซเชียลมีเดียจะสะอาดขึ้น หากทุกบัญชีได้รับการยืนยันว่าเป็นคนจริง เพราะระบุได้เพียงหนึ่งคน หนึ่งบัญชีเท่านั้น
  2. ยุติการแย่งชิงทรัพยากรกับเทคโนโลยี นั่นคือหมดปัญหาบอทกดบัตรคอนเสิร์ต หรือบอทแย่งสิทธิ์สวัสดิการรัฐ

ความปลอดภัย ที่เคารพความเป็นส่วนตัว เพราะเราสามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องแจกเบอร์โทรหรือเลขบัตรประชาชนพร่ำเพรื่ออีกต่อไป

เมื่อรวมเสียงของผู้ใช้งานจริงเข้ากับทิศทางของเทคโนโลยีระดับโลก เราเริ่มเห็นภาพที่ชัดขึ้นว่า สังคมไม่ได้ “กลัวเทคโนโลยี” เพียงอย่างเดียว แต่กำลัง “มองหาเครื่องมือที่พึ่งพาได้”

สำหรับผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมาก เทคโนโลยีอย่าง World ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นและทำให้โลกออนไลน์ปลอดภัยขึ้น

แต่ “ความเข้าใจ” ของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณชน เพื่อให้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบ โดยเฉพาะในวันที่มิจฉาชีพและระบบอัตโนมัติกำลังพัฒนาไปไกลกว่าที่เคย

 

แม้เทคโนโลยีพิสูจน์ความเป็นมนุษย์อาจต้องใช้เวลาในการศึกษาช่วงแรก ไม่ต่างจากวันที่ผู้คนเคยกังวลกับการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ แต่หากมองลึกไปถึงการออกแบบที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (privacy-preserving design) เราอาจค้นพบว่ามันไม่ใช่ภัยคุกคาม หากแต่เป็น “เกราะป้องกัน” สำคัญของสังคมในยุคที่ AI สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน