‘จานลูก้า วิอัลลี่’ แข้งอิตาลีที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตา ตำนานฮีโร่ทีมซามพ์โดเรียผู้ล่วงลับ

‘จานลูก้า วิอัลลี่’ แข้งอิตาลีที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตา ตำนานฮีโร่ทีมซามพ์โดเรียผู้ล่วงลับ

‘จานลูก้า วิอัลลี่’ นักเตะอิตาเลียน ฮีโร่แห่งสโมสรซามพ์โดเรีย และผู้เล่นที่โดดเด่นของทีมชาติอิตาลี จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2023 ชีวิตของเขามีเรื่องราวที่น่าจดจำซึ่งสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วไป

  • จานลูก้า วิอัลลี่ คือตำนานดาวยิงของสโมสรซามพ์โดเรีย ชุดประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์เซเรีย อา อิตาลี ครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสร
  • แม้เส้นทางในทีมชาติอิตาลีกับบทบาทนักเตะจะไปได้ไม่สุด แต่เมื่อทำหน้าที่เป็นทีมงานเบื้องหลัง เขามีส่วนกับผลงานทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 
  • วิอัลลี่ ได้รับวินิจฉัยเป็นมะเร็งตับอ่อนและเคยเอาชนะโรคร้ายมาได้ ก่อนจะต้องรับการรักษาอีกครั้ง เขาเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนมกราคม 2023

ในยุค 90s เป็นช่วงเวลาที่ทีมชาติอิตาลีกำลังพยายามไล่ล่าความสำเร็จบนเวทีลูกหนังหลังจากที่ขุนพลอัซซูรี่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปนมาครองได้นั้น ความหวังต่างพุ่งตรงไปที่นักฟุตบอลคนแล้วคนเล่า ซึ่งบางคนก็ไม่อาจรับกับความคาดหวังและความกดดันมหาศาลนี้ได้ แต่ไม่ใช่กับยอดดาวยิงอย่าง ‘จานลูก้า วิอัลลี่’ (Gianluca Vialli)

‘จานลูก้า วิอัลลี่’ เป็นกองหน้าชาวอิตาลีที่สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่จดจำจากการพาสโมสรซามพ์โดเรีย (Sampdoria) คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของอิตาลีในปี 1990-91 จากผลงานส่วนตัวของเจ้าตัวที่ยิงไปถึง 19 ประตูคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนประตูที่สโมสรซามพ์โดเรียทำได้ในฤดูกาลนั้น เรียกได้ว่าเจ้าตัวคือขวัญใจของกองเชียร์ชาวลาซามพ์อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านผลงานการเล่นทีมชาติของวิอัลลี่นั้นเจ้าตัวผ่านศึกฟุตบอลโลก 2 สมัยในปี 1986 และ 1990 แม้ว่าจะไม่สามารถพาทีมชาติอิตาลีในยุคนั้นขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของโพเดียม แต่อย่างน้อยวิอัลลี่ ก็เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของขุนพลอัซซูรีที่สามารถคว้าอันดับที่ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 1990 มาครองได้บนแผ่นดินเกิดของตัวเอง แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นที่ไม่น่าประทับใจแฟนบอลนักเมื่อเทียบกับความโดดเด่นของซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ และความร้อนแรงของโรแบร์โต บาจโจ ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวแทบไม่ได้รับการกล่าวถึงเลยก็ตาม

ช่วงเวลาการรับใช้ชาติของเจ้าตัวนั้น อาจไม่ได้ยาวนานหากเทียบกับนักฟุตบอลระดับโลกหลายคนที่รับใช้ชาติกว่า 10 ปี ผลงานอาจจะไม่ได้โดดเด่นจนถึงขนาดพาทีมชาติของตัวเองไปคว้าถ้วยระดับเมเจอร์อย่างฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) หรือยูฟ่า ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ (UEFA European Championship) แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกได้ว่า วิอัลลี่คือหนึ่งในยอดกองหน้าที่วงการฟุตบอลอิตาลีเคยมี

ชีวิตของวิอัลลี่นั้น ไม่ใช่มีแต่ความน่าสนใจบนผืนหญ้าเท่านั้น เจ้าตัวคือบุคคลหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและก็สามารถเอาชนะมาได้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง เป็นตัวอย่างของบุคคลที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น แม้ล่าสุดเจ้าตัวจะจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา แต่เรื่องราวของเขาก็ยังน่าจดจำเพื่อเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วไป

เส้นทางบนผืนหญ้า

จานลูก้า วิอัลลี่ เกิดในครอบครัวที่มีฐานะระดับหนึ่งในเมืองเครโมน่า และเจ้าตัวก็เริ่มต้นค้าแข้งกับสโมสรยูเนียเน่ สปอร์ติวา เครโมเนเซ่ (Unione Sportiva Cremonese) ในปี 1980 ด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น และสามารถพาทีมต้นสังกัดเลื่อนชั้นจากกัลโช่ เซเรียซี 1 ไปสู่กัลโช่ เซเรียบี ได้ และในเซเรียบี เจ้าตัวก็สามารถทำผลงานได้โดดเด่น สามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่องจนมีโอกาสซ้ายไปค้าแข้งกับสโมสรซามพ์โดเรียในปี 1984

วิอัลลี่ ค้าแข้งอยู่กับสโมสรซามพ์โดเรียเป็นระยะเวลากว่า 8 ปี (1984-1992) โดยผลงานเด่นที่ยังคงติดตาตรึงใจแฟนฟุตบอลในยุคนั้นก็คือการพาสโมสรแห่งก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอิตาลีหรือกัลโช่ เซเรียอา ได้อย่างน่าอัศจรรย์ในฤดูกาล 1990-91 ซึ่งแชมป์ดังกล่าวคือแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดครั้งแรกและครั้งเดียวของสโมสรซามพ์โดเรียตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาจวบจนทุกวันนี้

จานลูก้า วิอัลลี่ สร้างตำนานร่วมกับโรแบร์โต มันชีนี่ บนถิ่นลาซามพ์จนได้รับฉายาว่าคู่แฝดจอมถล่มประตู ทั้งคู่ยิงประตูรวมกันกว่า 31 ประตูในกัลโช่ เซเรียอา ฤดูกาลที่พวกเขาคว้าแชมป์ และวิอัลลี่ คือดาวยิงสูงสุดของลีกด้วยจำนวน 19 ประตูเฉือนโลธาร์ มัทเธอุส จากอินเตอร์ มิลานไป 3 ประตู เรียกได้ว่ายุคนั้นคือหนึ่งในภาพจำความรุ่งเรืองของสโมสรซามพ์โดเรียเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ วิอัลลี่ ยังมีส่วนสำคัญในการพาสโมสรของเขาคว้าแชมป์โคปา อิตาเลีย และซูเปอร์ โคปา อิตาเลียนา มาครองอีกด้วย

ด้านฟุตบอลสโมสรยุโรป วิอัลลี่ คือกำลังสำคัญในการพาสโมสรซามพ์โดเรียคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ คัพ 1989-1990 โดยในรอบชิงชนะเลิศเจ้าตัวเหมาคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ขุนพลลาซามพ์สามารถเอาชนะสโมสรอันเดอร์เลชท์ของเบลเยียมไปได้ 2-0 ขณะที่ในฤดูกาล 1991-92 เจ้าตัวก็พาสโมสรซามพ์โดเรียไปถึงการเป็นรองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปถ้วยใหญ่อย่างยูโรเปียน คัพ วิอัลลี่ คือหนึ่งในผู้ทำประตูใส่สโมสรโรเซนบอร์ก จากนอร์เวย์ในรอบแรก ก่อนที่ในรอบสองนัดที่ 2 เจ้าตัวจะมาระเบิดฟอร์มยิง 2 ประตูสำคัญช่วยให้ลาซามพ์ พลิกมาแซงเอาชนะสโมสรคิสเปสต์ ฮอนเวดจากฮังการีผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ

ในรอบแบ่งกลุ่มวิอัลลี่ ยังคงทำผลงานได้ร้อนแรงเจ้าตัวยิงไปทั้งสิ้น 3 ประตูในเกมเปิดบ้านเอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรดของยูโกสลาเวียและยิง 2 ประตูใส่อันเดอร์เลชท์จนสโมสรซามพ์โดเรียคว้าแชมป์กลุ่มและได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับสโมสรบาร์เซโลน่าจากสเปนและพ่ายแพ้ไป 0-1 ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศมาครอง และเป็นผลงานที่ดีที่สุดของสโมสรแห่งนี้ในถ้วยใหญ่ของทวีปยุโรป

หลังจากจานลูก้า วิอัลลี่ สร้างความสำเร็จไว้มากมายกับสโมสรซามพ์โดเรีย เจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 223 นัดยิงไป 85 ประตูก็ถึงเวลาที่เจ้าตัวจะขยับขยายไปสู่ทีมที่ใหญ่กว่าและยูเวนตุสคือคำตอบนั้น

วิอัลลี่ ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุสในช่วงปี 1992 และค้าแข้งอยู่จนถึงปี 1996 ลงสนามไปทั้งสิ้น 102 นัดยิงไป 38 ประตู โดยในฤดูกาล 1994-95 เขาคือดาวยิงสูงสุดของสโมสรในลีกสูงสุดของอิตาลีด้วยจำนวนทั้งสิ้น 17 ประตูและพาสโมสรยูเวนตุสคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครองได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น เป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีของสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งนี้

วิอัลลี่ ในวัย 32 ปีได้ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งเมื่อได้ย้ายออกจากลีกอิตาลีที่คุ้นเคยไปเปิดประสบการณ์ใหม่กับสโมสรเชลซีแห่งเกาะอังกฤษ ที่ในยุคนั้นแม้จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ใช่สโมสรยักษ์ใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้

เจ้าตัวมีส่วนกับความสำเร็จของสิงโตน้ำเงินคราม โดยตลอดระยะเวลาการค้าแข้งกว่า 3 ปี มีส่วนร่วมกับเชลซีในการคว้าแชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1996-97 ต่อด้วยลีกคัพ และยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ คัพในปีถัดมา โดยวิอัลลี่ ลงสนามในเชลซีไปทั้งสิ้น 58 นัดยิงได้ 21 ประตู ก่อนที่เจ้าตัวจะยุติเส้นทางการเล่นฟุตบอลลงในปี 1999 กับสโมสรแห่งนี้

รับใช้ชาติท่ามกลางความกดดัน

ด้านการลงสนามให้ทีมชาติอิตาลีนั้น วิอัลลี่ มีโอกาสเข้าร่วมฟุตบอลโลก 2 ครั้งในปี 1986 และ 1990 โดยเจ้าตัวลงสนามนัดแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในเกมที่ทีมชาติอิตาลีแข่งกับบัลแกเรียในฟุตบอลโลกปี 1986 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปในนาที 65 แทนที่ของบรูโน่ คอนติ และในเกมถัดมากับอาร์เจนติน่าก็เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันกับนัดแรก นัดสุดท้ายของรอบแรกที่อิตาลีเอาชนะเกาหลีใต้วิอัลลี่มีโอกาสลงสนามเพียง 2 นาทีสุดท้ายเท่านั้น

ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติฝรั่งเศส วิอัลลี่ถูกส่งลงสนามไปในนาที 58 แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และท้ายที่สุดทีมชาติอิตาลีแชมป์เก่าก็ต้องหยุดเส้นทางของตัวเองไว้ที่รอบนี้เมื่อขุนพลอัซซูรี่พ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสไป 0-2

วิอัลลี่ มายิงประตูในฟุตบอลรายการระดับเมเจอร์ของทีมชาติได้ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูฟ่า ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก โดยในการแข่งขันรอบแรกนัดที่ 2 ที่ทีมชาติอิตาลีลงสนามพบกับทีมชาติสเปนนั้น เจ้าตัวคือผู้ยิงประตูชัยในนัดดังกล่าวช่วยให้ทีมชาติอิตาลีเอาชนะสเปนไปได้ 1-0 ก่อนที่ในท้ายที่สุด ทีมชาติอิตาลีจะไปได้ไกลสุดในรอบรองชนะเลิศ พ่ายสหภาพโซเวียต 0-2 แต่ทีมชาติอิตาลีในชุดนั้นก็ได้รับความชื่นชมว่านี่แหละคือความหวังใหม่ และจะเป็นทีมที่พร้อมจะทำศึกฟุตบอลโลกในบ้านของตัวเองในอีก 2 ปีถัดมา

จานลูก้า วิอัลลี่ ยังคงมีชื่อติดทีมชาติอิตาลีเรื่อยมาโดยเฉพาะการถูกตั้งความหวังว่าจะต้องระเบิดฟอร์มได้ดีในศึกฟุตบอลโลก 1990 แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อกลับโชว์ฟอร์มไม่ออกและถูกรัศมีของซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ และโรแบร์โต บาจโจ บดบังจนแทบไม่มีคนกล่าวถึง

เจ้าตัวมีโอกาสลงสนามใน 2 นัดแรกที่อิตาลีพบกับออสเตรีย และสหรัฐอเมริกาแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้จนเป็นที่วิจารณ์ของสื่อมวลชน จากนั้นวิอัลลี่ ก็มามีโอกาสลงสนามอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศกับทีมชาติอาร์เจนติน่าแต่ก็ไม่สามารถสร้างความกดดันให้เกมรับของทีมแชมป์โลก 1986 ได้ จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกและส่งโรแบร์โต บาจโจมาลงสนามแทน ก่อนที่ในภายหลังอิตาลีจะคว้าอันดับที่ 3 มาครองได้

จานลูก้า วิอัลลี่ ยังคงลงสนามให้ทีมชาติอิตาลีในฟุตบอลยูฟ่า ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ 1992 รอบคัดเลือก แม้เจ้าตัวจะทำผลงานได้น่าพอใจแต่ก็ไม่สามารถพาทีมชาติอิตาลีผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่ประเทศสวีเดนได้ จากนั้นชื่อของเจ้าตัวก็หลุดจากทำเนียบทีมชาติไป

บทบาทใหม่ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

จานลูก้า วิอัลลี่ มีโอกาสทำหน้าในตำแหน่งผู้จัดการทีมของสโมสรเชลซีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 1998 หลังจากสโมสรตัดสินใจปลดรุด กุลลิท ออกจากตำแหน่ง โดยในขณะนั้นเจ้าตัวต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีม และก็สามารถพาสโมสรเชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และคว้าแชมป์ลีก คัพไปครองได้

จากนั้นในฤดูกาลถัดมาเจ้าตัวก็ได้ขึ้นมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มตัวก่อนจะพาสโมสรเชลซีเฉือนชนะสโมสรแอสตัน วิลล่า 1-0 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพไปครองในฤดูกาลดังกล่าว จากนั้นวิอัลลี่ ก็มีโอกาสไปคุมสโมสรวัตฟอร์ด ในช่วงฤดูกาล 2001-2002 แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก

วิอัลลี่ มาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะทีมงานของโรแบร์โต มันชีนี่ และก็อยู่เบื้องหลังในการพาทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ 2020 มาครองได้สำเร็จ เรียกศรัทธาจากแฟนฟุตบอลแดนมักกะโรนีให้กลับมาอีกครั้งเพราะก่อนหน้านี้ผลงานของทีมชาติอิตาลีนั้นดูไม่จืดเลยทีเดียว

ความสำเร็จดังกล่าวนอกจะให้แฟนบอลอิตาลีหัวใจกระชุ่มกระชวยแล้ว หัวใจของชายที่ชื่อจานลูก้า วิอัลลี่ก็เช่นกัน เพราะในที่สุดเขาก็มีส่วนร่วมในการพาทีมชาติอิตาลีประสบความสำเร็จเสียที

ความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของชายที่ชื่อวิอัลลี่

จานลูก้า วิอัลลี่ ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนและก็สามารถต้อสู้และรักษาให้หายได้ในช่วงเดือนเมษายน 2020 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากในช่วงเวลานั้น เจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับโรคร้ายและสามารถเอาชนะมาได้ไม่ต่างอะไรกับชัยชนะบนผืนหญ้า แต่ในช่วงเดือนธันวาคม 2022 เขาต้องกลับไปรักษาโรคดังกล่าวอีกครั้ง และหยุดปฏิบัติหน้าที่ในทีมชาติอิตาลีเป็นการชั่วคราว

การกลับไปรักษาในครั้งนี้หลายคนยังมีความเชื่อมั่นว่า วิอัลลี่ จะต้องผ่านพ้นมันไปได้อีกครั้ง แต่มนุษย์ทุกคนก็ไม่อาจฝืนกฏเกณฑ์ของธรรมชาติได้ แม้จิตใจจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในท้ายที่สุด เจ้าตัวก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เพียงแต่ความพ่ายในครั้งนี้มันคือความพ่ายแพ้ที่จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะจานลูก้า วิอัลลี่ ได้ผ่านความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายไปแล้ว

 

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (เต้นคุง)