เส้นทางซามูไร กว่าญี่ปุ่นจะเฉิดฉายในฟุตบอลโลก พวกเขาทำอะไรบ้าง มีใครอยู่เบื้องหลัง?

เส้นทางซามูไร กว่าญี่ปุ่นจะเฉิดฉายในฟุตบอลโลก พวกเขาทำอะไรบ้าง มีใครอยู่เบื้องหลัง?

ญี่ปุ่น ทำผลงานศึก ฟุตบอลโลก 2022 ด้วยผลช็อกโลก แซงชนะ เยอรมนี 2-1 ก่อนชนะสเปน 2-1 ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ กว่าที่ทีมซามูไรสีน้ำเงินจะสร้างประวัติศาสตร์ พวกเขาผ่านเส้นทางขรุขระมาก่อน ไม่ต่างจากชาติอื่น

การแข่งขันฟุตบอลฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) หรือ ฟุตบอลโลก ในปี 2022 นี้ ยังคงสร้างความช็อกโลกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ทีมชาติญี่ปุ่น เจ้าของแชมป์เอเชีย หรือ เอเอฟซี เอเชียน คัพ (AFC Asian Cup) 4 สมัย สามารถพลิกแซงทีมชาติเยอรมนี เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย (1954, 1974, 1990, 2014) ไปได้อย่างสนุก 1-2 ในการแข่งขันนัดแรกของกลุ่มอี ณ สนามคาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม เมืองอัล รายยาน ประเทศกาตาร์ เมื่อ 23 พฤศจิกายน 2022

ในเกมนี้ทีมชาติเยอรมนีได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในครึ่งเวลาแรกจากการยิงลูกจุดโทษของ อิลคาย กุนโดกัน กองกลางจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ ลีกของอังกฤษ เกมการแข่งขันในครึ่งเวลาหลังเยอรมนียังคงทำเกมบุกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถยิงบอลผ่านมือของ ชูอิจิ กอนดะ ผู้รักษาประตูทีมชาติญี่ปุ่นของสโมสรชิมิสุ เอส-พัลส์ ไปได้

จากนั้นในนาที 75 ทีมชาติญี่ปุ่นก็มาตีเสมอได้จาก ริตสึ โดอัน ตัวสำรองจากสโมสรเอสซี ไฟร์บวร์ก ในศึกบุนเดสลีกาของประเทศเยอรมนี ที่เพิ่งลงมาแทน อาโอะ ทานากะ ได้ไม่นาน

นาทีที่ 83 นาทีแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึงเมื่อ ทาคุมะ อาซาโนะ กองหน้าจากสโมสรโบคุ่ม ในบุนเดสลีกาอีกเช่นกัน สามารถวิ่งสปีดแซง นิโค ชล็อตเทอร์เบค เข้าไปซัดประตูอย่างสวยงาม ให้ทีมชาติญี่ปุ่นขึ้นนำทีมชาติเยอรมนีไป 2-1 ก่อนจะจบลงด้วยผลการแข่งขันนี้

นับเป็นผลงานที่เกินความคาดหมายเพราะแม้ญี่ปุ่นจะเป็นทีมที่ดี แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบครับว่าทีมชาติเยอรมนี คืออดีตแชมป์โลกและคือทีมเต็งอันดับต้น ๆ ทุกครั้งเมื่อฟุตบอลโลกมาถึง

อัปเดต: ขณะที่เกมนัดที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่มญี่ปุ่น สะดุดแพ้คอสตา ริกา ก่อนกลับมาเล่นนัดชี้ชะตา และถึงกับเอาชนะสเปน อดีตแชมป์โลกเมื่อปี 2010 ด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ในฐานะแชมป์กลุ่มอี

ชัยชนะเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ความสำเร็จครั้งแรกของทีมชาติญี่ปุ่นในเวทีฟุตบอลโลก แต่ก็นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เพราะสามารถโค่นอดีตแชมป์ฟุตบอลโลกลงได้ และความสำเร็จของทีมชาติญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยแต่อย่างใด แต่มันคือผลผลิตของความมุ่งมั่น อดทน และทุ่มเทของทีมชาติญี่ปุ่น

บทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปย้อนดูเรื่องราวที่น่าสนใจของ ‘ซามูไรบลู’ ยอดทีมแห่งทวีปเอเชียกันครับ

นักเตะทีมชาติญี่ปุ่นดีใจกับผลการแข่งขันนัดแรกในฟุตบอลโลก 2022 ขณะที่ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ผู้เล่นทีมชาติเยอรมนี พบความผิดหวัง

คราบน้ำตานาทีบาปที่กาตาร์

ทีมชาติญี่ปุ่นได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส หรือที่เรียกกันว่า ฟรองซ์ 98 แต่แท้จริงแล้วที่ชาติญี่ปุ่นเองนั้น เกือบจะได้แข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ดันเกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มในนาทีบาปเสียก่อน

การแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ทีมชาติญี่ปุ่นสามารถเอาชนะทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บังกลาเทศ ศรีลังกา และไทย ได้ในการแข่งขันรอบคัดเลือกรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกจนสามารถขึ้นเป็นแชมป์กลุ่มและผ่านเข้าไปสู่รอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของทวีปเอเชียได้สำเร็จ

โดยในรอบสุดท้ายนี้ญี่ปุ่นยังคงทำผลงานได้ดีและลุ้นเข้ารอบอยู่กับทีมชาติเกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และอิรัก ซึ่งเกมการแข่งขันนัดสุดท้ายที่ถือว่าเป็นนัดชี้ชะตาของทุกทีมเกิดขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคม ปี 1993

ก่อนการลงสนามนั้นทีมชาติญี่ปุ่นคือจ่าฝูง มีด้วยกันทั้งหมด 5 คะแนนเท่ากับทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ตามมาด้วยเกาหลีใต้ อิหร่าน และอิรักที่มี 4 คะแนน และทีมชาติเกาหลีเหนือมี 2 คะแนนตามลำดับ

ในยุคนั้นทีมชนะจะได้ 2 คะแนน เสมอจะแบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน ส่วนทีมที่แพ้จะไม่ได้คะแนน โดยทีมชาติญี่ปุ่นจะลงสนามพบกับทีมชาติอิรัก ซึ่งหากญี่ปุ่นสามารถเอาชนะได้ก็จะการันตีผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทันทีโดยไม่ต้องสนใจผลของคู่อื่น

เกมการแข่งขันที่สนามอัล อาห์ลี ที่ประเทศกาตาร์ ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทีมชาติญี่ปุ่นออกนำทีมชาติอิรักไปก่อน 1-0 จากการยิงของ คาซูโยชิ มิอูระ (ภายหลังเรียกกันว่า คิงคาซู) ในนาทีที่ 5 ของการแข่งขันและก็รักษาผลการแข่งขันนี้ไว้ได้จนจบครึ่งเวลาแรก

ครึ่งหลัง แม้ทีมชาติอิรักจะมาตามตีเสมอได้ แต่ขุนพลซามูไรบลูก็ออกนำไปอีกในนาที 69 จากการยิงของ มาซาชิ นากายามา เกมการแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีสุดท้าย เหลือแค่เพียงกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันเท่านั้น ทีมชาติญี่ปุ่นจะผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทันที

แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็มาถึงเมื่อ จัฟฟาร์ ออมราน (Jaffar Omran) สามารถยิงประตูตามตีเสมอให้ทีมชาติอิรักได้ในนาทีบาปนี้ ก่อนที่ผลการแข่งขันจะจบลงด้วยสกอร์ 2-2 ทำให้ทีมชาติซาอุดิอาระเบียที่สามารถเอาชนะอิหร่าน และทีมชาติเกาหลีใต้ที่สามารถเอาชนะเกาหลีเหนือได้ ทำคะแนนแซงทีมชาติญี่ปุ่นไปและคว้า 2 โควต้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกไปแบ่งกันชนิดที่เรียกว่าคนญี่ปุ่นเศร้ากันไปทั้งประเทศ

แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับไม่ได้ทำให้ทีมชาติญี่ปุ่นเกิดความท้อแท้แต่อย่างใด ในทางกลับกันทีมชาติญี่ปุ่นกลับมุ่งมั่นและทุ่มเทมากกว่าเดิมเพื่อยกระดับมาตรฐานฟุตบอลภายในประเทศและทีมชาติให้มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลกให้ได้

ทีมชาติญี่ปุ่น ก่อนเกมนัดแรกของฟุตบอลโลก 1998 พบกับอาร์เจนติน่า

เส้นทางจากความเสียใจที่กาตาร์ในวันนั้น สู่ความสำเร็จที่กาตาร์ในวันนี้

ทีมชาติญี่ปุ่นสามารถผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส และลงสนามนัดแรกพบกับทีมชาติอาร์เจนติน่า ก่อนที่จะพ่ายแพ้ไปแบบฉิวเฉียด 0-1 จากลูกยิงของกาเบรียล บาติสตูตา และนัดต่อมาญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้อีกครั้ง โดยขุนพลซามูไรบลูแพ้ทีมชาติโครเอเชียไป 0-1 จากการยิงของดาวอร์ ซูเคอร์

นัดสุดท้ายทีมชาติญี่ปุ่นพบกับทีมชาติจาไมกา ซึ่งก็เป็นอีกทีมที่ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ทั้งสองทีมสู้กันอย่างเต็มที่เพื่อต้องการที่จะคว้าคะแนนประวัติศาสตร์นี้ให้ได้ แต่ในท้ายที่สุดก็เป็นทีมชาติจาไมกาที่สามารถเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่นไปได้ 1-2 คว้า 3 คะแนนแรกไปครอง

ส่วนญี่ปุ่นแม้ฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเค้าจะจบลงด้วยการพ่ายแพ้รวดทั้ง 3 นัด แต่ มาซาชิ นากายามา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนยิงประตูแรกให้กับทีมชาติญี่ปุ่นในฟุตบอลโลก

ฟุตบอลโลกครั้งต่อมาในปี 2002 ญี่ปุ่นผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ และก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อสามารถไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้

โดยในรอบแรกญี่ปุ่นเปิดตัวด้วยการเสมอกับทีมชาติเบลเยียมไปก่อน 2-2 ก่อนที่จะมาเอาชนะทีมชาติรัสเซียไปได้ 1-0 จากการยิงของ จุนอิจิ อินาโมโตะ และในรอบแรกนัดสุดท้ายญี่ปุ่นก็มีชัยเหนือทีมชาติตูนิเซีย ไป 2-0 จากการยิงของฮิโรอากิ โมริชิมะ และ ฮิเดโตชิ นากาตะ คว้าไปทั้ง 7 คะแนนและเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม

ผู้เล่นทีมชาติญี่ปุ่นดีใจกับ จุนอิจิ อินาโมโตะ ผู้ทำประตูชัยเหนือรัสเซีย ในฟุตบอลโลก 2002

ในรอบที่ 2 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายญี่ปุ่นต้องโคจรไปพบกับทีมชาติตุรกีหรือก็คือตุรเคียในปัจจุบัน และก็เป็นทีมชาติตุรกีที่สามารถทำผลงานได้ดีกว่าเอาชนะไปได้ 0-1 หยุดเส้นทางของทัพซามูไรบลูไว้เพียงแค่รอบนี้ ซึ่งในการแข่งขันครั้งนั้นต้องยอมรับว่าตุรกีคือทีมม้ามืดที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและภายหลังก็สามารถคว้าอันดับที่ 3 ไปครองได้

ปี 2006 ฟุตบอลโลกจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ทีมชาติญี่ปุ่นยังคงสามารถทำผลงานผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน แต่การแข่งขันในรอบสุดท้ายครั้งนี้ญี่ปุ่นทำผลงานได้ไม่ดีนัก นัดแรกโดนทีมชาติออสเตรเลียที่ยังอยู่ในโซนโอชีเนียถล่มไปก่อน 1-3 ก่อนจะสามารถแบ่งคะแนนกับทีมชาติโครเอเชียไปได้หลังเสมอกัน 0-0 แต่ในรอบแรกนัดสุดท้ายทีมชาติญี่ปุ่นต้องโคจรมาพบกับยอดทีมอย่างบราซิลดีกรีแชมป์เก่า และเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว 5 สมัย ซึ่งก็แน่นอนว่าทีมชาติญี่ปุ่นโดนถล่มไป 1-4 ตกรอบแรกไปแบบหมดลุ้น

ฟุตบอลโลกครั้งถัดมาในปี 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ทีมชาติญี่ปุ่นที่เก็บความชอกช้ำไว้กว่า 4 ปีมารอบนี้ไฉไลกว่าเดิม เมื่อสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 2 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อีกครั้ง โดยในรอบแรกทีมชาติญี่ปุ่นเริ่มจากการเอาชนะแคเมอรูนไปก่อนในนัดแรก 1-0 จากการยิงประตูชัยของ เคซูเกะ ฮนดะ ก่อนที่ในนัดต่อมาขุนพลซามูไรบลูจะไปพลาดท่าพ่าย ‘อัศวินสีส้ม’ เนเธอร์แลนด์ไป 0-1

รอบแรกนัดสุดท้ายทีมชาติญี่ปุ่นภายใต้การนำของกุนซือ ทาเกชิ โอกาดะ ต้องชี้ชะตากับทีมชาติเดนมาร์ก อดีตแชมป์ยุโรปในปี 1992 เกมในนัดนี้เป็นไปอย่างสนุก เคซูเกะ ฮนดะ ยิงให้ญี่ปุ่นขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากนั้น ยาซูฮิโตะ เอ็นโด ก็มาซัดให้ทีมชาติญี่ปุ่นขึ้นนำไป 2-0 ก่อนหมดครึ่งเวลาแรกด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังทั้งสองทีมพยายามแก้เกมมาสู้กันอย่างหนักโดยเดนมาร์ก ได้ประตูตีตื้นมาในนาที 81 จาก ยอน ดาห์ล โทมัสสัน แต่สุดท้ายแล้ว ชินจิ โอกาซากิ ก็มายิงประตูตอกย้ำชัยชนะให้ทีมชาติญี่ปุ่นมีชัยเหนือทีมชาติเดนมาร์กไป 1-3 ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์

แต่พวกเค้าก็ต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดายหลังจากพ่ายแพ้การดวลจุดโทษต่อทีมชาติปารากวัยไป 3-5 หลังจากที่ในเวลา 120 นาทีเสมอกัน 0-0

ปี 2014 ฟุตบอลโลกที่ประเทศบราซิลทีมชาติญี่ปุ่นทำผลงานได้ไม่ดีนักตกรอบแรกไปโดยเก็ได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น โดยนัดเปิดสนามโดนทีมชาติโกตดิวัวร์ (Cote d'Ivoire) ยิงแซงในครึ่งหลังเอาชนะไปได้ 1-2 ทั้งที่ในครึ่งแรก เคซูเกะ ฮนดะ ยิงประตูให้ทัพซามูไรบลูออกนำไปก่อน นัดที่สองทีมชาติญี่ปุ่นสามารถแบ่งแต้มกับอดีตแชมป์ยุโรปอย่างทีมชาติกรีซได้โดยเสมอกันไป 0-0 และนัดสุดท้ายทีมชาติญี่ปุ่นต้านความแข็งแกร่งของทีมชาติโคลอมเบียไม่ไหวแพ้ไป 1-4 ตกรอบแรกไปแบบหมดลุ้น

ปี 2018 ฟุตบอลโลกจัดขึ้นที่ประเทศรัสเซียและก็เป็นฟุตบอลโลกที่น่าจดจำของแฟนฟุตบอลประเทศญี่ปุ่น ขุนพลซามูไรบลูของกุนซือ อากิระ นิชิโนะ สามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยนัดแรกสามารถล้างตาเอาชนะทีมชาติโคลอมเบียไปได้ 2-1 จากการยิงของ ชินจิ คางาวะ และ ยูยะ โอซาโกะ จากนั้นในนัดที่สองทีมชาติญี่ปุ่นก็มาไล่ตามตีเสมอกับทีมชาติเซเนกัลไปอย่างสนุก 2-2 จากการยิงของ ทากาชิ อินูอิ และ เคซูเกะ ฮนดะ และนัดสุดท้ายมาแพ้ทีมชาติโปแลนด์ไป 0-1

ทีมญี่ปุ่นผ่านเข้าสู่รอบที่ 2 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อีกครั้ง แต่รอบนี้ก็เหมือนรอบอาถรรพ์ เพราะไม่ว่าสุดท้ายแล้วทีมชาติญี่ปุ่นจะทำผลงานได้ดีเพียงใดก็ไม่สามารถผ่านรอบนี้ไปได้เสียที และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อทีมชาติญี่ปุ่นต้องโคจรมาพบกับทีมชาติเบลเยียม และทีมชาติญี่ปุ่นก็ขึ้นไปได้ก่อนถึง 2-0 แต่ในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของการแข่งขันก็เป็นทีมชาติเบลเยียมที่มายิงคืน 3 ลูกรวดแซงเอาชนะไป 2-3 สร้างความช้ำใจให้ทัพซามูไรบลูอีกครั้ง

และล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ฟุตบอลโลก 2022 ทีมชาติญี่ปุ่นสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซเมื่อสามารถแซงเอาชนะทีมชาติเยอรมนีเจ้าของแชมป์โลก 4 สมัย ไปได้ 1-2 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ โดยชัยชนะในนัดนี้เป็นชัยชนะนัดที่ 6 ของทีมชาติญี่ปุ่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 29 ปีนับตั้งแต่ความผิดหวังที่โดนอิรักยิงประตูตีเสมอ 2-2 ในช่วงนาทีบาป อดไปแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1994 จนมาถึงนัดเปิดสนามของฟุตบอลโลก 2022 ในครั้งนี้ จุดเริ่มต้นคราบน้ำตาแห่งความเสียใจที่สนามฟุตบอลในประเทศกาตาร์วันนั้น สู่คราบน้ำตาแห่งความยินดีที่มีชัยชนะเหนือเยอรมนีในวันนี้ ทีมชาติญี่ปุ่นต้องผ่านเรื่องราวความผิดหวังต่าง ๆ มามากมาย

22 นัดในเวทีฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ทัพซามูไรบลูต้องเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ไปถึง 11 นัด กว่าจะมาถึงวันนี้

รากฐานจากเยอรมันสู่การเอาชนะเยอรมนี

โครงสร้างของฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นในวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลผลิตมาจากการถ่ายทอดความรู้ของ เดทท์มาร์ คราเมอร์ ปรมาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมันที่มารับหน้าที่ในการฝึกสอนและพัฒนาทีมชาติญี่ปุ่นในยุค 1960 ตั้งแต่การอบรมและพัฒนาโค้ช รวมทั้งบุคลากรฟุตบอลในด้านต่าง ๆ

เดทท์มาร์ คราเมอร์ ยังเป็นบุคคลสำคัญในการช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นจัดตั้งฟุตบอลลีกของตนเองโดยเริ่มจากลีกกึ่งอาชีพ แจแปน ซอคเกอร์ ลีก (Japan Soccer League) หรือ เจเอสแอล (JSL) ที่เป็นทีมฟุตบอลของบริษัทหรือโรงงานต่าง ๆ ก่อนจะพัฒนามาเป็นฟุตบอลเจลีก (J League) อย่างในปัจจุบัน และเป็นรากฐานแห่งความมั่นคงทางฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่น

เดทท์มาร์ คราเมอร์ (คนที่ 2 จากขวา) ขณะฝึกสอนนักฟุตบอลญี่ปุ่น เมื่อ 1974

ฟุตบอลแจแปน ซอคเกอร์ ลีก หรือ เจเอสแอลนั้น เริ่มต้นจัดการแข่งขันกันตั้งแต่ ปี 1965 จนถึงปี 1992 โดยในยุคแรกนักฟุตบอลจะต้องทำงานหลักในบริษัทหรือโรงงานที่ตัวเองสังกัดอยู่ แล้วก็ซ้อมฟุตบอลไปด้วยในช่วงเช้าหรือเย็น แต่ถ้าเป็นผู้เล่นต่างชาติก็จะมีหน้าที่แค่เล่นฟุตบอลอย่างเดียวเท่านั้น 

ฟุตบอลลีกของญี่ปุ่นในยุคเริ่มต้นนั้น แม้จะเป็นแบบกึ่งอาชีพแต่ก็ถือว่าสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับวงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี หลายทีมในยุคนั้นก็พัฒนาโครงสร้างมาเป็นทีมฟุตบอลอาชีพในวันนี้ อย่างทีมมาสด้า ก็คือซานเฟรซ ฮิโรชิม่าอดีตต้นสังกัดของธีรศิลป์ แดงดา 

มิตซูบิชิ มอเตอร์ ก็คือทีมอูราวะ เรด ไดมอนส์

ยันมาร์ ดีเซล ที่วิทยา เลาหกุล นักฟุตบอลทีมชาติไทยเคยไปเล่นก็คือทีมเซเรโซ่ โอซาก้า

ฟูชิตะ ก็คือทีมโชนัน เบลมาเร่

ทีมนิสสัน มอเตอร์ก็คือทีมโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ที่ธีราทร บุญมาทัน เคยไปคว้าแชมป์เจลีกร่วมกับทีมนี้มาแล้ว

และก็ยังมีอีกหลายทีมครับ เช่น ยามาฮ่าก็คือจูบิโล่ อิวาตะ มัตซึชิตะอดีตทีมของวิทยา เลาหกุล ก็คือกัมบะ โอซาก้าในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีนักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นมากมายหลายต่อหลายคนที่ไปค้าแข้งยังศึกบุนเดสลีกาของประเทศเยอรมนีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มจาก ยาซูฮิโกะ โอคุเด กองกลางทีมชาติญี่ปุ่นได้เป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกที่ไปเล่นฟุตบอลอาชีพในบุนเดสลีกาโดยเซ็นสัญญากับสโมสรเอฟซี โคโลญจน์ 

หรืออย่างล่าสุด ริตสึ โดอัน และ ทาคุมะ อาซาโนะ 2 นักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติญี่ปุ่นพิชิตทีมชาติเยอรมนีได้ในนัดนี้ก็ค้าแข้งอยู่กับทีมเอสซี ไฟร์บวร์ก และ โบคุ่ม ในศึกบุนเดสลีกา นักเตะอย่าง ชินจิ คางาวะ ก็เคยทำผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 

นอกจากนี้นักฟุตบอลญี่ปุ่นเองก็ยังเดินทางไปเล่นฟุตบอลลีกที่มีคุณภาพมากมายในทวีปยุโรป ในอดีตที่โด่งดังก็คงหนีไม่พ้น ฮิเดโตชิ นากาตะ ที่เคยเล่นในกัลโช่ เซเรียอา ของอิตาลี กับสโมสรเปรูจา และโรม่า หรือแม้แต่ เคซูเกะ ฮนดะ ก็เคยลงสนามและยิงประตูให้กับสโมสรเอซี มิลานมาแล้ว

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้จากรากฐานทางฟุตบอลที่แข็งแรงที่ เดทท์มาร์ คราเมอร์ มีส่วนช่วยในการวางรากฐานไว้ให้แทบทั้งสิ้น

อีกทั้งสมาคมฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่น หรือ เจเอฟเอ (JFA) ก็มีการบริหารงานที่เป็นระบบ ให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายแบบสะท้อนความเป็นจริงและทุกอย่างไปทีละขั้นตอนอย่างเป็นระบบ พวกเค้าเริ่มจากการพัฒนาทีมชาติให้ประสบความสำเร็จในเวทีโอลิมปิกเกมส์อย่างต่อเนื่องก่อนเพื่อเป็นรากฐานที่ดีในฟุตบอลโลก

สมาคมฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่นอยู่บนพื้นฐานความจริงและเรียนรู้ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อนที่จะก้าวข้ามไปสู่ระดับถัดไป ไม่มีการลัดขั้นตอนเพราะนั่นคือรากฐานที่ไม่มั่นคง

นี่คือเรื่องราวเพียงส่วนหนึ่งของทีมชาติญี่ปุ่นเท่านั้น บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางและพัฒนาการของทีมชาติญี่ปุ่นกว่าจะสามารถเอาชนะยอดทีมของโลกอย่างเยอรมันนีได้ ทางเดินที่เริ่มต้นด้วยความผิดหวังจนพัฒนามาสู่ความสำเร็จในวันนี้ และนี่คือ เส้นทางเดินของ ซามูไรบลู ทีมชาติญี่ปุ่นอีกหนึ่งความภูมิใจของชาวเอเชีย

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)